“ปลามันว่ายเร็วเกินไป พวกเราจับไม่ได้หรอกพี่สาว” เจียวจ้านตอบพลางกลืนน้ำลาย ใช่ว่าตนไม่อยากกิน แต่กินไม่ได้ต่างหาก
“เหอะ!!” ฉู่หลิงสบถในลำคอ ส่งสายตาเหยียดหยามให้เด็กๆ คราวหนึ่ง แล้วรีบเดินข้ามลำธารสายเล็กไปยังอีกฝั่ง จัดการปลดตะกร้าบนหลังวางไว้กับพื้น
“เดี๋ยวพวกเจ้าคอยดู” หญิงสาวก้าวอาดๆ ไปริมลำธาร เลือกถอดรองเท้าผ้าปักลายสีสันสดใสวางไว้บนที่แห้ง แล้วยกชุดกระโปรงขึ้นสูงเดินลุยน้ำไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ ท่ามกลางการลุ้นระทึกของเด็กทุกคน
ฉู่หลิงใช้สายตาอันเฉียบคมของตนมองหาเป้าหมายได้ตัวหนึ่ง นางใช้มือเปล่าเพียงข้างเดียวคว้าหมับลงไปใต้น้ำ!
“ห๊ะ!!” หญิงสาวแตกตื่นจนถึงขีดสุด นางไม่เคยพลาดเป้าเลยสักครั้งนี่นา!
ใบหน้างามหันมามองใบหน้าเหยเกของเด็กๆ แล้วก็อดหน้าแดงด้วยความอับอายไม่ได้ ปลาตัวใหญ่สองตัวแหวกว่ายมาตอดนิ้วเท้าของหญิงสาวคล้ายเป็นการเย้ยหยัน ทำให้หญิงสาวโมโหสุดขีดยกขาข้างหนึ่งกระทืบลงไปใต้น้ำที่สูงเพียงเข่าอย่างแรง
“ซ่า!”
“ว้าก!”
“ตูม!”
“เพ่ย!”
เด็กสิบคนตัดสินใจนั่งลงกับพื้นดิน นั่งชมภาพการต่อสู้ระหว่างพี่สาวคนงามกับฝูงปลาที่พากันแหวกว่ายมาท้าทายหญิงสาวอย่างไม่กลัวเกรงด้วยความสนุกสนาน อีกใจก็ช่วยกันลุ้นให้พี่สาวคนสวยจับปลาขึ้นมาได้จริงๆ
"ทำไมอ่อนแอขนาดนี้กันนะ เจ็บใจจริงเชียว!!” ฉู่หลิงเข้าใจสถานการณ์ของตัวเองมากขึ้น นางขาดสายตาที่เฉียบคมราวกับงูพิษ ขาดความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ที่สำคัญเวลานี้นางขาดความเย่อหยิ่งจองหองเหลือเพียงความพ่ายแพ้ที่น่าอดสูเป็นที่สุด นางแพ้ปลา!!
“พี่สาว ท่านขึ้นจากน้ำมาก่อนเถิดเจ้าค่ะ เปียกปอนหมดแล้วเดี๋ยวจะไม่สบายเอาได้ พวกเรากินแต่ผักมาตั้งนานไม่เห็นเป็นไรเลย เราไม่กินปลาก็ได้เจ้าค่ะ” หลิ่วจีสงสารพี่สาวคนงามเป็นที่สุด
ฉู่หลิงก้มมองสภาพที่เปียกปอนไปทั้งตัวตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าก็ยิ่งรู้สึกสังเวชใจ ยินยอมเดินกลับขึ้นฝั่งมาด้วยดวงตาแดงก่ำน้ำตาพลันไหลออกมาด้วยความทุกข์ระทม
“มีเลือดก็กินไม่ได้ มีปลาให้เห็นตรงหน้าก็ยังจับไม่ได้อีก อดตายก่อนจะครบสามปีเสียแล้วกระมังเรา" แวมไพร์สาวสะอึกสะอื้นก้มลงดึงสายสะพายตะกร้าผักเตรียมยกขึ้นใส่หลัง
ความรู้สึกหนักอึ้งและอบอุ่นเข้ามาประชิดร่างงามอย่างรวดเร็วจนฉู่หลิงตื่นจากความเศร้า
“พี่สาวอย่าร้อง พวกเราเลี้ยงดูท่านได้” กลุ่มเด็กชายหญิงล้อมวงมากอดร่างงามเอาไว้ตรงกลาง ส่งเสียงปลอบใจกันยกใหญ่
ภาพความทรงจำที่นางหลงลืมไปนานพลันย้อนกลับเข้ามาในสมองของแวมไพร์สาว นางเคยเป็นเด็กที่มีพ่อแม่ดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี เมื่อแวมไพร์บนแผ่นดินโลกมีเพิ่มมากขึ้น พ่อและแม่ช่วยกันต่อเติมบ้านให้มิดชิดและยังสร้างห้องลับซุกซ่อนนางไว้ภายในอยู่นานนับปี
ทุกวันพ่อและแม่จะหายตัวไปเพื่อหาอาหารและมักจะกลับมาในช่วงค่ำมืด ถึงเวลากลางคืนพวกเขาก็จะเข้ามานอนในห้องลับเพื่อกอดตนเอาไว้พร้อมกับเสียงปลอบให้คลายความหวาดกลัวเหมือนเช่นเวลานี้
หัวใจที่เคยแข็งแกร่งไม่แยแสผู้ใดมาเนิ่นนานของฉู่หลิงถึงกับสั่นสะเทือนไปจนถึงเบื้องลึกของจิตใจ แต่นางก็พยายามขัดขืนไม่ยินยอมเป็นผู้อ่อนแอ
“ลุกขึ้น ข้าต่างหากที่ต้องเลี้ยงดูพวกเจ้า” หญิงสาวพยายามยืนยันความคิดเดิมเอาไว้ให้มั่น นางต้องเลี้ยงดูเด็กกลุ่มนี้ให้เติบโตจะได้มีเลือดสดๆ หอมหวานเอาไว้ดื่มในยามที่ฟื้นตัวจากฤทธิ์ยา
ได้ยินคำมั่นที่ทรงพลังยิ่งนักในความคิดของเด็กๆ พวกเขาเม้มปากทำตัวเข้มแข็งแบบเดียวกับพี่สาวหลิงหลิงทำ แต่ละคนลุกเดินไปเก็บผักและฟืนที่ถือติดมากันคนละกองขึ้นจากพื้น นำทางฉู่หลิงกลับไปยังหอหงไถต่อไป
“เราพาพี่สาวกลับเข้าไปทางประตูด้านหลังจะดีกว่า จะให้ผู้อื่นเห็นพี่สาวในสภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาด” จูเจียวหยุดเดินแล้วชี้มือไปยังทิศทางหนึ่ง
ด้านหน้าอีกไม่ไกลเท่าใดนักก็จะเข้าสู่เขตบ้านเรือนของชาวบ้าน แม้จะไม่หนาแน่นเหมือนอย่างในตัวเมือง แต่ก็มีคนพลุกพล่านพอสมควร
อีกด้านหนึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องเดินผ่านที่ดินเพาะปลูกของชาวบ้าน ระยะทางอ้อมไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นแต่ปลอดภัยกว่าเส้นทางหลักหลายเท่าตัว เจียวจูไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าในหอหงไถมีสตรีงดงามมาอาศัยอยู่ในเวลานี้
“เจ้ากลัวพวกชาวบ้านจะมาทำร้ายข้าสินะเจียวจู” ฉู่หลิงทักขึ้นมาอย่างรู้ทัน
เจียวจูเบิกตาโพลงไม่คิดฝันว่าพี่สาวหลิงหลิงที่สติไม่ค่อยจะดีเท่าใดสามารถคิดเห็นได้แม่นยำราวกับอ่านใจตนออก
“ดีแล้ว เจ้ารอบคอบมากสมควรแล้วที่ข้าคิดจะให้เจ้าเป็นสมุนมือหนึ่งของข้า” หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้เด็กสาวคราวหนึ่ง ท่าทางภูมิอกภูมิใจอย่างหนัก
แต่กิริยายกนิ้วกับคำกล่าวทะแม่ง ๆ ของพี่สาวหลิงหลิง ก็ทำให้เจียวจูต้องหัวตกลงไปอีกครั้ง ต่อให้ฉลาดแล้วอย่างไร พี่สาวก็ยังเป็นคนแปลกพิลึกอยู่ดี
……….
เส้นทางจากป่าจนมองเห็นกำแพงอิฐสูงที่เจียวจ้านชี้บอกกับฉู่หลิงว่าสถานที่แห่งนั้นคือหอหงไถ หญิงสาวคะเนคร่าวๆ ว่าระยะทางรวมทั้งหมดน่าจะไม่เกิน 5 กิโลเมตร แต่กว่าจะมาถึงนางก็แทบจะคลานมาอยู่แล้ว หากไม่ได้เด็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะอ่อนแอกว่าตนสลับกันมาช่วยพยุงและให้กำลังใจ นางคงต้องเดินมาไม่ถึงเป็นแน่
“ถึงแล้วหรือนี่ ขอข้าพักสักเดี๋ยวได้หรือไม่ ข้าหายใจไม่ทัน” ฉู่หลิงทิ้งร่างลงกับพื้นดินอย่างไม่คิดจะเอาอะไรอีกแล้ว สภาพนางเวลานี้ด้วยเส้นผมและเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม เมื่อคลุกลงกับฝุ่นดินที่ล้มลุกคลุกคลานมาเกือบตลอดทางก็ยิ่งมอมแมมดูไม่ได้
“เจียวจ้าน เสื้อผ้าชุดนี้ข้ารับรองจะซักคืนเจ้าให้สะอาดเอี่ยมเลย ขอบใจมากนะ” ฉู่หลิงยอมแพ้ให้กับความมีน้ำใจของเด็กๆ นางนั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจขอโทษและกล่าวคำขอบคุณเด็กชายที่คอยดูแลตนไม่ห่างมาตลอดทาง
“ไม่เป็นไรพี่สาว เสื้อผ้าในหอหงไถมีตั้งมากมาย ท่านไม่ซักก็มีพอใส่ได้หลายเดือนเชียวล่ะ” เด็กชายยื่นหน้ามาใกล้พี่สาวคนงามทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มพูดคุยกับตนด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตรกว่าเก่า
“อืม เอาล่ะข้าดีขึ้นแล้ว พวกเราไปต่อกันเถิด อีกนิดเดียวก็จะถึงอยู่แล้วเชียวข้านี่แย่จริง” หญิงสาวสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ ส่งกำลังใจให้ตัวเองฮึดสู้ต่อ
เจียวจ้านและเด็กชายอีกสองคนวิ่งนำหน้ากลุ่มสตรีไปเปิดประตูต้อนรับสมาชิกใหม่ เด็กหญิงหลายคนรวมทั้งเจียวจูก็รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น พวกนางอยากจะอวดน้อง ๆ ที่อยู่ด้านในจะแย่อยู่แล้วว่าต่อจากนี้ไปจะมีพี่สาวเข้ากลับเข้ามาอยู่ในหอหงไถอีกครั้ง
“อ้าว! แล้วพี่สาวหลิงหลิงเล่า?” เจียวจูหันมองย้อนกลับมาหาฉู่หลิง แต่กลับไม่พบว่านางเดินตามมาแต่อย่างใด
เด็กเก้าคนที่เหลือซึ่งกำลังจะวิ่งไปส่งข่าวให้พี่น้องที่วิ่งสวนออกมาต้อนรับการกลับมาของพวกตน พลอยหยุดชะงักจนเกือบล้ม พวกเขาเดินออกไปนอกประตูไม้ด้านหลังอีกครั้ง
“พี่สาวหลิงหลิง ท่านกำลังทำอะไรอยู่เจ้าคะ” จูเจียวต้องอ้าปากตาค้างไปอีกรอบกับท่าทางแปลกประหลาดของพี่สาวคนงาม
ฉู่หลิงปลุกกำลังใจให้ตนเองฮึดสู้จนลืมตัวไปนิด แวมไพร์อย่างนางเคยกระโดดข้ามกำแพงได้สบายๆ ยิ่งในโลกที่ไม่มีมนุษย์หลงเหลืออยู่ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทผู้ดีอันใด นางไม่เคยเดินเข้าทางประตู!! แต่เวลานี้นางโดดข้ามกำแพงไม่ขึ้น!!
ภาพหญิงสาวผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เสื้อผ้าบนร่างกายทั้งสกปรกทั้งเปียกปอน กำลังยกมือสองข้างตะเกียกตะกายอยู่ข้างกำแพง ปรากฏต่อหน้าเด็กสิบคนแรก นอกจากนี้ยังมีเด็กชายหญิงอีกเก้าคนที่วิ่งย้อนออกมาจากด้านในตามมาสมทบอีกกลุ่มใหญ่
“หมดกัน!!” เด็กสิบคนกลุ่มแรก ยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเอง ออกเสียงพร้อมกับส่ายหน้าโดยพร้อมเพรียง
เกือบจะดีอยู่แล้วเชียวพี่สาว! เมื่อครู่ท่านยังแสดงท่าทางอ่อนโยน พูดคุยกับเจียวจ้านด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอยู่เลย เวลานี้เกิดคลุ้มคลั่งอะไรขึ้นมาอีกแล้วเล่า? ภาพหญิงงามที่พวกตนอยากให้น้อง ๆ ที่เหลือเห็น จบสิ้นกันพอดี!!
“ขอโทษ ข้าเข้าผิดทางไปหน่อย” ฉู่หลิงรู้ตัวแล้วว่าตนเองพลาดไปอีกครั้ง นางก้มหน้าจนปลายคางชิดกับอก เดินลากขากับรองเท้าที่มีแต่คราบดินมาหาเด็กๆ ด้วยความอับอายขั้นสุด
“ท่านอย่าพูดอะไรอีกเลยเจ้าค่ะพี่หลิงหลิง ท่านยิ่งอธิบายผู้อื่นก็ยิ่งสับสนไปกันใหญ่” หลิ่วจีเดินเอาศีรษะมาแนบกับท่อนแขนคนงามให้กำลังใจ ผิดทาง? พี่สาวไม่เข้าทางประตูแล้วมีทางอื่นให้เดินเข้าด้วยเช่นนั้นหรือ? หลิ่วจีรู้สึกว่าวันนี้ตนมีเรื่องให้คิดหลายเรื่องเหลือเกินแล้ว