“น้ำหวาน ไม่กินยามันขม ไม่เอา”
เสียงร้องโวยวายของเด็กหญิงวัยไม่กี่ขวบที่นอนอยู่บนเตียงในห้องพิเศษของโรงพยาบาลดังลั่นห้อง ผู้ใหญ่หลายๆ คนที่ล้อมรอบเด็กหญิงตัวผอมบางอยู่บนเตียงผู้ป่วยต่างถอนใจกับฤทธิ์เดชของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ ที่ไม่ยอมร่วมมือกับการรักษาใดๆ เพราะกลัวโรงพยาบาลจับจิต แต่ต้องมานอนแหง่วอยู่เช่นนี้เพราะมีอาการโรคหัวใจ
เด็กหญิงน้ำหวานเพิ่งได้รับการผ่าตัดหัวใจเพื่อรักษาอาการกล้ามเนื้อหัวใจรั่ว... เจ้าตัวมีเรี่ยวมีแรงขึ้นหลังจากการผ่าตัด อาการตัวเขียวเพราะเลือดเสียไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกายจากการผิดปรกติของหัวใจนั้นหายไปอย่างสิ้นเชิง อาการที่ดีขึ้นเกิดจากการผ่าตัดหัวใจของนายแพทย์สหภพ วิชาเวชย์เจริญกิจ ผู้ที่ยืนทำสีหน้าลำบากใจอยู่ข้างเตียงพักฟื้นของเด็กหญิงน้ำหวานเพราะไม่ชินกับการกล่อมเด็ก เนื่องจากเขาไม่ค่อยชอบเด็กนัก
“หนูต้องกินยานะ ไม่งั้นจะป่วยจนไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ไม่ได้ แล้วต้องนอนในห้องนี้คนเดียวถ้าไม่ให้หมอตรวจ” นพ. สหภพ แพทย์หนุ่มเจ้าของไข้บอกข้อเท็จจริงกับเด็กหญิง แต่แทนที่เด็กหญิงน้ำหวานจะยินยอมกลับร้องไห้จ้าขึ้นมาทันที เพราะกลัวต้องนอนอยู่ในห้องไม่มีโอกาสไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ อย่างที่คุณหมอหน้าดุบอก
“แกดื้ออย่างนี้ล่ะครับ ปกติจะมีพี่เลี้ยงกล่อม แต่วันนี้พี่เลี้ยงลากลับต่างจังหวัด ผมก็เอาไม่อยู่ครับ” ผู้เป็นบิดาบอกอย่างเกรงใจหมอ
สหภพถอนใจ นี่แหล่ะสังคมปัจจุบันพ่อแม่ไม่มีเวลาสนใจลูก ฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยงมัวแต่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ดูอย่างรายนี้เป็นตัวอย่าง พ่อเป็นถึงเจ้าของไร่ดอกไม้แห่งใหญ่ของเชียงใหม่ แต่กลับไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยง ผลออกมาก็อย่างที่เห็น คนเป็นพ่อแท้ๆ ยังเอาไม่อยู่ ลูกสนิทกับพี่เลี้ยงไว้ใจพี่เลี้ยงมากกว่า คนที่กำราบลูกได้เลยกลับกลายเป็นพี่เลี้ยงเสียอย่างนั้น
“ครับ ผมเข้าใจ” แม้จะนึกตำหนิแต่ด้วยหน้าที่เขาก็ทำได้เพียงตอบยิ้มๆ
“เดี๋ยวผมจะลองคุยกับแกดูอีกทีนะครับ” คนเป็นพ่ออาสา
“ไม่ต้องหรอกครับ” นายแพทย์หนุ่มรีบปราม เมื่อหันไปเห็นเด็กหญิงเริ่มคลายสะอื้นไปแล้ว ถึงให้พูดก็คงไม่สำเร็จ นี่ก็รอบที่สามแล้วที่พ่อเลี้ยงคนนี้วิงวอนขอร้องทั้งหลอกล่อให้เด็กยอมกินยาและให้หมอตรวจ แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
“ผมว่าให้หมอหรือพยาบาลวอร์ดเด็กที่หลอกเด็กเก่งๆ มาช่วยคุยดีกว่านะครับ เขามีจิตวิทยากับเด็ก คงพอคุยกันได้” เขายิ้มให้พ่อเลี้ยงหนุ่ม ให้ผ่อนคลายความเครียด ก่อนจะสั่งให้หมอเรสสิเดนท์ไปตามใครสักคนมาจากวอร์ดเด็กมาช่วยกล่อมให้เด็กหญิงน้ำหวานยอมให้เขาตรวจร่างกายโดยละเอียด
ตติยาภาได้รับสายติดต่อภายในเรียกตัวมาที่ห้องพักผู้ป่วยวีไอพีเพื่อมาดูแลเด็กหญิงตัวน้อย... เธอเลือกเรียนต่อเฉพาะทางในวอร์ดเด็กเพราะว่าชอบเด็ก ชอบเห็นวิวัฒนาการของเด็ก
แม้บางคนจะบอกว่าคนที่ชอบเด็กอยู่วอร์ดเด็กแล้วจะรำคาญเด็กไปเลยเนื่องจากตอนเด็กป่วยนั้นมักจะชอบทำตัวไม่น่ารัก แต่สำหรับเธอกลับไม่คิดเช่นนั้น ยามเมื่อเธอเห็นเด็กไม่สบายเธอยินดีที่จะดูแลพวกเขาเพื่อเรียกรอยยิ้มและความสดใสกลับคืนมา เธอมักจะมีความสุขเสมอเมื่อยามที่ส่งเด็กที่รักษาโรคจนหายแล้วกลับบ้าน หญิงสาวใจดีกับทุกคนมากจนได้รับฉายาว่าเป็นนางฟ้าแห่งวอร์ดเด็กไปแล้ว...
เมื่อเจ้าของร่างเล็กในชุดฟอร์มสีขาวเดินเข้ามาที่ห้องพักผู้ป่วยแล้วก็ถึงกับสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นนายแพทย์สหภพ เขายืนสูงตระหง่านอยู่ข้างเตียงคนไข้... ดวงตาคมหรี่มองเธอลอดแว่นมา ทำให้เธอแทบเสียสติเมื่อเผลอคิดถึงเหตุการณ์ใกล้ชิดระหว่างเธอกับเขาเมื่อเช้าก่อนที่เขาจะกลับห้องนอนของตนเอง...
ไม่นะ ตอนนี้มันเวลาทำงาน อย่าไปคิดเรื่องบ้าๆ อย่างนั้น... หญิงสาวส่ายหัวก่อนจะเดินยิ้มเข้าไปหาเขาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
“เด็กไม่ยอมทานยา” เขากระซิบบอกเธอใกล้ๆ
ตติยาภาหันไปยิ้มให้เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังมองเธออย่างสนใจเนื่องจากเธอสวย แล้วยังอยู่ในชุดสีขาวที่เธอมักใส่มาทำงานแล้วสวมทับด้วยเสื้อกาวน์สีขาวทำให้ตัดกับใบหน้าอ่อนหวานที่แต่งแต้มจนงดงามราวกับว่านางฟ้า เด็กหญิงตัวน้อยจึงให้ความสนใจมากกว่าป้าพยาบาลสูงอายุและกลุ่มแพทย์ที่มีแต่ผู้ชายตัวโตร่างยักษ์ที่อยู่ก่อนหน้านี้
แล้วกลุ่มคนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องก็ค่อยๆ พากันถอยออกมา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตติยาภา
“นางฟ้าตัวน้อยๆ ชื่ออะไรคะ”
เด็กหญิงมีท่าทางลังเลนิดหน่อย ก่อนจะยิ้มตอบกลับพี่หมอคนสวยแล้วริมฝีปากรูปกระจับเล็กๆ นั้นก็ตอบกลับ
“ชื่อน้ำหวาน หรือเด็กหญิง ปุญญาพร ชิโนรสอรอร ค่ะ”
“น่ารักจังเลย น้ำหวานเบื่อทีแค่จะนอนห้องนี้และก็เบื่อที่จะทานยาแล้วใช่ไหมคะ”
“เบื่อค่ะ... เบื่อ หมอหน้าดุด้วย” เด็กหญิงชี้มือไปที่นายแพทย์สหภพที่ยืนตีหน้าไม่ถูกอยู่ ตติยาภาแทบจะหลุดหัวเราะออกมา หมอหน้าดุของน้องน้ำหวานนั้นที่จริงแล้วแสนร้ายกาจและกวนประสาทมาก ไม่ได้มีท่าทางเคร่งขรึมต่อหน้าคนอื่นตลอดเวลาอย่างนี้หรอก
“ถ้าเบื่อก็ต้องให้หมอตรวจและก็กินยาให้หายเร็วๆ แล้วหนูก็จะแข็งแรง ไม่ต้องมาเข้าโรงพยาบาล ไม่ต้องมากินยา และก็ไม่ต้องมาเจอคุณหมออีก เข้าใจไหมคะ”
“น้ำหวานไม่กินเพราะยาขม... ไม่ชอบหมอฉีดยาด้วย หลอกเด็กว่าเหมือนมดกัด แต่เจ็บจะตาย”
“แต่ยาที่กำลังจะกินนี้ไม่ขมนะคะ...” หญิงสาวหันไปมองยาที่เคลือบสารให้ความหวานเอาไว้เนื่องจากข้างในขมจัด เม็ดยาสีชมพูวาวสดใสแต่ก็เม็ดใหญ่เกินกว่าที่คนกลัวยากลัวหมอจะกินง่ายๆ ถูกยื่นมาต่อหน้าเด็กหญิง
“ยาไม่ขมเลย เอาลิ้นแตะดูสิคะ ถ้าขมพี่จะไม่บังคับให้กินเลย”
เธอพยักหน้าให้เด็กหญิงลอง น้ำหวานลองเอาลิ้นแตะดูก็ได้รับรู้รสหวานติดปลายลิ้น...
“หวานใช่ไหมล่ะ” เด็กหญิงพยักหน้า แล้วก็ยอมกินยาที่หมอจัดไว้ท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน
“ถ้างั้นให้หมอตรวจนะคะ ไม่มีใครทำหนูเจ็บอีกหรอกจ๊ะพี่รับรอง... ถ้าจะฉีดยาเดี๋ยวพี่จะบอกให้เค้าฉีดเบาๆ และก็ไม่เจ็บดีมั้ย ถ้าหนูไม่ดื้อจะได้กลับบ้านเร็วๆด้วยไงจ๊ะ”
เด็กหญิงพยักหน้ายอมรับ เธอหันไปพยักหน้าให้คนที่รอตรวจอยู่เข้ามา แต่ยังไม่ทันจะได้เดินไป มือเล็กๆ ก็คว้าแขนเธอเอาไว้
“อยู่เป็นเพื่อนกันได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะคนเก่ง” เธอยืนอยู่ไม่ห่างอย่างเอาใจเด็กน้อยระหว่างให้หมอดูอาการ เด็กหญิงปุญญาพรว่าง่ายแตกต่างกับตอนก่อนที่ตติยาภาจะมาอย่างเห็นได้ชัด จนพ่อเลี้ยงปุญญาพัทผู้เป็นบิดานั้นเผลอมองหมอสาวอย่างชื่นชม...
การที่มีคนมารุมเอาใจลูกสาวเขาไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน ใครที่จะเข้ามารักษาที่นี่ต้องจ่ายด้วยราคาแพงลิบลิ่วแลกกับได้รับการดูแลกลับมาดีจนน่าพอใจ แต่ว่าอาการที่ลูกสาวของตนนั้นให้การยอมรับกับหมอสาวคนนี้สิทำให้เขาเริ่มคิดอะไรขึ้นมา หลังจากที่แม่ของเด็กน้อยตายด้วยอุบัติเหตุเมื่อหกเดือนก่อนเด็กหญิงก็แทบที่จะไม่ยอมเปิดใจให้ใครได้เข้ามาสนิทชิดเชื้อเลยโดยเฉพาะผู้หญิง เห็นทีเขาต้องขอให้หมอคนนี้มาดูแลลูกสาวเป็นกรณีพิเศษแล้วกระมัง