ตอนที่หนึ่ง คืนเหงา ดาวอับแสง 1

1459 คำ
เสียงพลุดังกึกก้องติดต่อกันหลายนัดแต่คนที่นั่งอยู่ให้ห้องคนเดียวกลับไม่ได้มีทีท่าว่าจะสนใจออกไปดูแสงสีจากพลุงามเลย ร่างอ้อนแอ้นในชุดนอนสีไข่มุกได้แต่ทอดถอนใจ งานเฉลิมฉลองระดับจังหวัดที่ครอบครัวเธอไปร่วมงานกันยกบ้านต้องขาดเธอไปเพราะไม่มีแก่จิตแก่ใจที่จะไปไหนจึงอ้างว่าไม่สบายออกไป นึกไปแล้วน่าเสียดายเธอน่าจะออกไปเปิดหูเปิดตาดูสิ่งต่างๆบ้าง จะได้ไม่ต้องมาทนนั่งเหงาอยู่คนเดียว แล้วก็ต้องถอนหายใจอีกครั้งเมื่อสายตาหันไปปะทะการ์ดสีหวานบนโต๊ะหัวเตียง ตติยาภาแยกแยะไม่ออกระหว่างความเสียใจ เจ็บปวด หรืออกหัก มันร้าวไปหมด ได้การ์ดมาเมื่อกลางวันนี้ เธอก็ยังนั่งมองมันอยู่อย่างนั้น เหมือนจะช่วยตอกย้ำให้ตัวเองเจ็บ... มันสะใจดี เธอคงเป็นพวกมาโซคิสม์ที่ชอบความเจ็บปวดถึงได้ย้ำตัวเองอยู่ตลอด แวบหนึ่งเธอก็สงสัยตัวเองว่าเธอทำไมไม่ร้องไห้ฟูมฟาย ไม่โทษใครที่ทำร้ายหัวใจเธอแล้วเหยียบย่ำให้จมดิน... แต่ทำอย่างนั้นก็คงไม่ใช่เธอ... คงเป็นเพราะเธอเจ็บมากจนด้านชา และระบบป้องกันหัวใจตัวเองสร้างให้เธอเข้มแข็ง เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน... เธอบอกตัวเองและมองที่การ์ดนั่นเพื่อตอกย้ำ ดี เจ็บมากๆ จะได้ลืมง่ายๆ ไม่ต้องอาลัยอะไร เธอบอกกับตัวเองอย่างนั้น... เพราะมัวแต่มองการ์ดอย่างแล้วจมอยู่ในห้วงของความเจ็บปวดจึงไม่ได้รับรู้ว่ามีคนเดินเข้ามาภายในห้อง แล้วหยุดมองเธออย่างพิจารณา “มัวแต่นั่งเหม่ออยู่ได้ คนเข้ามาทั้งคนยังไม่รู้อีก นี่ถ้าเป็นโจรคงโดนข่มขืนไปแล้ว” ผู้เข้ามาใหม่กล่าวประชดออกมา ทำให้คนที่นั่งทอดอาลัยอยู่บนเตียงสะดุ้งแทบทันที “คุณเข้ามาทำไม” ตติยาภาตกใจ เขาไม่ได้ไปงานเลี้ยงกับบิดาของเขาหรือทำไมมาโผล่ที่ห้องได้ ไม่มีมารยาทเอาเสียเลย คงเป็นเพราะเธอคิดว่าไม่มีใครอยู่บ้านจึงไม่ได้ล็อคห้องนอนทำให้เขาบุกรุกเข้ามาได้ “มีเรื่องคุย” เขาตอบห้วนๆ “ไปรอที่ห้องรับแขกได้เลย เดี๋ยวฉันจะตามลงไป” เธอลุกขึ้นเตรียมหยิบเสื้อคลุมมาสวม แม้ว่าชุดนอนที่สวมอยู่จะไม่ได้บางอะไรเลย หากประสบการณ์ที่อยู่บ้านหลังนี้หลายเดือนกว่าทำให้ตติยาภารับรู้ว่า ผู้ชายคนนี้ไม่ปลอดภัย ต้องให้เขาออกจากห้องนี้ให้ได้ ถ้าหากอยู่กันเพียงลำพังอย่างนี้โจรที่ข่มขืนเธอก็คงจะเป็นเขานี่แหล่ะ ต่อหน้าคนอื่นเขาดูเป็นคนดีที่หลายคนนับหน้าถือตา แต่ฉากหลังอันเลวร้ายของเขามีเพียงเธอที่เห็นว่า เขาน่ะเป็นซาตานในคราบเทพบุตรชัดๆ “ไม่หรอกน่า เราต้องคุยกันยาวนะน้องสาว” เขายังยืนกอดอกพิงกรอบประตู สายตาคุกคามอย่างเห็นได้ชัด ห้องนอนของเธอไม่ได้เล็ก แต่พอมีเขามายืนอยู่ด้วยทำให้ดูอึดอัดขึ้นมาทันตา หวังว่าเขาคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกับเธอหรอกนะ คงไม่มีใครมาช่วยเธอไว้ทัน และถ้าต่อสู้กับเขาเพียงลำพังเธอก็คงไม่มีทางเอาชนะร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาได้ “อย่าเรียกฉันว่าน้องสาว” แม้จะกลัวเขา แต่เธอก็ยังกล้าตวาดแว้ดใส่เขา เพราะอดไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าคมเข้มฉายแววกวนโมโหออกมา “ฉันไม่นับคนอย่างคุณเป็นพี่ชาย มีอะไรก็รีบพูดมา ฉันง่วงแล้ว” เธอบอก นึกอยากหัวเราะที่เขาเรียกเธอว่าน้องสาว ที่เขาทำมันทำให้ความนับถือที่เธอมีให้เขาก่อนที่จะมาร่วมชายคากันหดหายไปไม่เหลือหลอเลย เขาคือนายแพทย์สหภพ นายแพทย์หนุ่มผู้มีชื่อเสียง เขาเป็นหมอผ่าตัดหัวใจฝีมือระดับต้นๆ ของประเทศ เธอเป็นเพียงหมอที่เรียนต่อในวอร์ดเด็กที่โรงพยาบาลเดียวกันกับเขา วิถีชีวิตเธอกับเขาไม่มีทางที่จะได้มาข้องเกี่ยวใกล้ชิดกว่าการเป็นเพื่อนร่วมงานกันเลย ถ้าวันหนึ่งมารดาเธอไม่มาบอกว่าจะแต่งงานใหม่กับเจ้าของโรงพยาบาลที่เธอทำงานอยู่ซึ่งเป็นบิดาของสหภพนี่เอง มารดาของเธอตัดสินใจขายบ้านแล้วพาลูกทั้งสามมาอยู่ในบ้านหลังใหญ่ของเขา เธอจึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา แต่ก็ไม่ได้สนิทสนมอะไรมากนัก เพราะเธอยังปรับตัวกับครอบครัวใหม่ไม่ได้ หรืออีกทางหนึ่งคือไม่คิดจะปรับนั่นเอง สำหรับเขาคงจะเป็นแค่สมาชิกร่วมบ้าน ถ้าวันหนึ่ง เขาไม่ได้เข้ามาคุยกับเธอแล้วพยายามจะให้เธอเรียกบิดาเลี้ยงว่าพ่อ แต่เธอไม่ได้ยอมเขาจึงเยาะเย้ยมาว่าเธอเป็นเด็กมีปัญหา ทำให้ผู้ใหญ่ปวดหัว เธอทนไม่ไหวจึงตบเขาซะหน้าหัน พร้อมกับก่นด่าเขาไม่เป็นภาษา แล้วเขาก็ปิดปากเธอด้วยการคุกคามด้วยจุมพิตลงเพื่อทัณฑ์ทันทีเพราะเขาไม่รู้ว่าจะทำร้ายเธอตอบด้วยวิธีไหน เมื่อเห็นว่าเป็นวิธีเดียวที่กำราบเธออยู่เขาก็ถือเป็นวิธีการต่อสู้ที่ได้ผล ต่อมาหลังจากนั้นเธอก็ยังไม่ยอมรับเข้าเป็นครอบครัวกับเขาอย่างที่เขาต้องการ เขาจึงเอาความแข็งแรงกว่ามาข่มเหงเธออย่างไม่น่าเชื่อว่าคนที่ท่าทางน่าจะเป็นคนดีอย่างเขาจะทำ.. แต่เธอก็ไม่มีทางยอมแพ้ หลังจากนั้นเมื่ออยู่กันสองคนเขาก็จะแกล้งเข้ามาทำรุ่มร่ามเสมอ จนเธอแทบจะทนไม่ไหว พยายามหลบหน้าเขาตลอดเวลา สำหรับตอนนี้สถานะเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว จากสมาชิกร่วมบ้าน เป็นคนที่เธอเกลียดเข้าไส้ “ไม่เป็นน้องสาว เป็นอย่างอื่นแทนมั้ย” เขายังไม่หยุดยั่ว ตติยาภาอยากจะหาอะไรเขวี้ยงเขานัก “พูดที่คุณต้องการจะพูดมา” เธอบอก เขาเอื้อมมือไปล็อคห้องเสียงดังกริ๊ก ก่อนจะสาวท้าวมาใกล้ เธอกระโดดลงจากเตียงแทบไม่ทัน นึกไม่ถึงว่าเขาจะเล่นบทกระโจนเข้าหาอย่างรวดเร็วขนาดนี้ จนเขาทำจริงๆ เธอก็หนีเขาไม่ทันแล้ว “จะเข้ามาทำไม ยืนคุยตรงนั้นก็ได้” เธอถามเสียงสั่นเมื่อเขามายืนอยู่ต่อหน้า โดยที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะก้าวหนีเมื่อเห็นสายตาคุกคามของเขาเธอจึงแข็งใจพูดออกไป “จะพูดอะไร ก็พูดมาสิ” “ผมอยากถามเรื่องเดิม เมื่อไหร่คุณจะเรียกพ่อผมว่า พ่อซักที” “ฉันเคยบอกคุณแล้วว่า ฉันมีพ่อคนเดียว ฉันจะเรียกพ่อคุณว่าอามันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร แล้วที่สำคัญคุณก็ไม่เห็นต้องเดือดร้อนอะไรเลย พ่อคุณเองยังไม่เคยว่าฉันสักคำ” เธอบอกตรงกับใจจริง ลืมนึกไปว่าจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจกับคำตอบของเธอหรือไม่ “ไม่ว่าสักคำ แต่กลุ้มใจจนความดันขึ้นน่ะสิ ปีนี้คุณก็ยี่สิบสี่แล้วนะ ทำไมผมถึงเห็นคุณเหมือนเด็กหกขวบจัง มิน่าเล่าถึงได้ไปทำงานที่วอร์ดเด็ก หาเพื่อนนี่เอง” เขาพูดแล้วหัวเราะกับความคิดของตัวเอง ตติยาภาแทบทนไม่ไหว อยากยกมือจะตบหน้าคมๆ ให้ได้รอยมือนัก ก็รู้อยู่ว่าเธอไม่ชอบให้ว่าเป็นเด็กมีปัญหา เขาก็ตอกย้ำอยู่ได้ “อ๊ะ อ๊ะ อย่านะ จำไม่ได้เหรอคราวที่แล้วคุณตบผม แล้วผมทำอะไรคุณกลับ ไอ้คนอย่างผมนี่นะจะทำร้ายผู้หญิงกลับมันก็ไม่ใช่วิสัย สงบสติอารมณ์มาคุยกันดีๆ สิ ไม่งั้นโดนจูบจนขาดใจผมไม่รับรองนะ” “คุยกันดีๆ คุณก็ช่วยพูดดีๆ กับฉันด้วยสิ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วอย่ามาว่าฉันเป็นเด็กมีปัญหา” “ก็คุณเป็น” เขายังมิวายเถียง “โอ๊ย คุณ...คุณนี่มัน” เธอกำกำปั้นเกร็งจนตัวสั่น อยากทำอะไรให้เขานอนหมอบแทบเท้าจริงๆ “พอๆ เรามาว่ากันด้วยเหตุผลดีกว่า” เขาเลิกทำหน้ากวนมาจริงจังอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม