“มีอะไรหรือเปล่าคะคุณฟรานเซส”
เมริษาเอ่ยถามเมื่อเดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนใหญ่พันไว้รอบอกหลังจากอาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดสะอ้านทุกซอกทุกมุมส่งผลให้เรือนร่างเธอตอนนี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่ราคาแพงติดอยู่ทั่วเรือนร่างงาม มือบางขยี้ผมที่เปียกปอนหลังจากที่สระแล้วยังไม่แห้งดีจนต้องใช้ผ้าขยี้อย่างที่เห็น
“ผมให้เวลาคุณสิบนาทีในการแต่งตัวแล้วเราจะไปหาคุณยายกัน”
“สิบนาที!”
เมริษาทวนคำด้วยอาการตกใจเล็กน้อย เพราะเวลาสิบนาทีมันน้อยเกินไปสำหรับเธอ อย่าว่าแต่แต่งตัวเลยแค่ผมก็ไม่รู้จะแห้งทันหรือเปล่าด้วยซ้ำ
“ใช่สิบนาที ก็น่าจะพอ อันที่จริงผมบอกคุณไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่าเราจะไปหาคุณยายแต่คุณทำเสียเรื่อง เมาซะก่อน”
น้ำเสียงตำหนิของเขาทำให้ใบหนน้างามชาวาบขึ้นมาเสียเฉยๆ แค่ทำงานวันแรกเธอก็ทำตัวแย่แล้วและแบบนี้มาเฟียอย่างเขาจะทำโทษเธอยังไงนะ!
“ฉันขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อคืน ฉันไม่ได้ตั้งใจดื่มไวน์จนเมาเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไร เรื่องมันผ่านไปแล้วถึงผมจะดุคุณก็กลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าผมให้เวลาสิบนาที หวังว่าคุณจะไม่มีปัญหาอีก”
“มีแน่ค่ะคุณฟรานเซส”
“มีปัญหาอะไร”
เสียงทุ้มเข้มห้วนเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าหญิงสาวแสดงท่าทีต่อต้านออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่เคยมีลูกน้องคนไหนหรือครั้งไหนที่ลูกน้องกล้าขัดคำสั่ง ไม่ว่าเขาจะสั่งอะไรไปคำพูดของเขาก็ศักดิ์สิทธิ์เสมอ แต่ตอนนี้เธอกำลังทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
“สิบนาทีไม่พอค่ะ ฉันขอเวลาอย่างต่ำครึ่งชั่วโมงในการแต่งตัว และทำผม”
เมริษาจำเป็นต้องพูดออกไปเผื่อเขาจะได้เข้าใจว่าเธอเป็นผู้หญิงไม่ใช่ลูกน้องผู้ชายที่ใช้เวลาแต่งตัวไม่ถึงนาทีอย่างที่เขาเคยชิน และเธอก็หวังว่าเขาจะเข้าใจและรับฟังเธอเหมือนที่เขาเคยบอกว่าหากเขาทำอะไรที่ไม่ควรก็ให้ชี้แนะเขาได้ตลอดเวลา
“ทำไมมันจะไม่ทัน”
ฟรานเซสเอ่ยก่อนจะก้าวมาหาเธอช้าๆแล้ววางมือลงบนไหล่มนทั้งสองข้างหนักๆ จากนั้นก็ใช้สายตาคมกริบกวาดมองเรือนร่างอรชรในผ้าขนหนูสีขาวผืนใหญ่อย่างละเอียดตั้งแต่หัวจรดเท้า โดยที่อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่เข้าใจว่าเขาจะทำอะไร
‘ตัวก็เล็กแค่นี้จะใช้เวลาอะไรหนักหนาตั้งครึ่งชั่วโมง’
“คุณจะทำอะไรคะ คุณฟรานเซส”
ถามออกไปเมื่อรู้สึกใจคอไม่ค่อยดีเวลาเขามองด้วยสายตาสงบนิ่งยากเกินจะเดาความคิดของเขาออก
“ช่วยแต่งตัว”
ฟรานเซสตอบเสียงหนักแน่น พร้อมยืนยันด้วยแววตาคมกริบของเขาแสดงออกมาชัดเจนว่าเขาหมายถึงอย่างที่พูดจริงๆ
“คุณเคยแต่งหน้าทำผมให้ผู้หญิงด้วยเหรอคะ”
เมริษาถามออกไปเพราะเธอไม่ค่อยมั่นใจในฝีมือเขาสักเท่าไหร่ แม้เธอจะเข้าใจว่าเกย์มีความสามารถพิเศษในการแต่งหน้าทำผมให้ผู้หญิงก็ตามที แต่กับเขาดูยังไงก็ไม่น่าจะทำเป็น
“ไม่เคย แต่กำลังจะลองกับคุณคนแรก”
“คะ…คุณฟรานเซส!”
เมริษาอุทานชื่อเขาเสียงหล่นเมื่อร่างบางเบาของเธอลอยลิ้วขึ้นจากพื้นมาอยู่บนอ้อมแขนแข็งแรงของคนตัวใหญ่ ก่อนที่จะถูกพามาวางลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งโดยที่ไม่รอให้เธอได้พูดหรือปฏิเสธอะไรออกมา
“อยู่เฉยๆ แล้วผมจะจัดการทุกอย่างเอง”
ชายหนุ่มออกคำสั่งก่อนจะใช้มือดึงผ้าขนหนูผืนเล็กบนหัวเธอไปวางไว้บนไหล่มนเปลือยเปล่าแทน จากนั้นก็ดึงไดร์เป่าผมจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งมาเสียบปลั๊กและเริ่มทำการเป่าผมให้เธอทุกการกระทำของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและระมัดระวังจนหัวใจดวงน้อยของเมริษาเต้นโครมคราม
‘ไหนบอกว่าอ่อนโยนกับผู้หญิงไม่เป็นยังไงละคะคุณฟรานเซส’
เมริษานั่งนิ่งให้เขาเป่าผมให้เธอจนเวลาล่วงเลยผ่านไปสักพักใหญ่ๆผมนุ่มสลวยก็ทิ้งตัวแผ่ลงเต็มแผ่นหลังแห้งสนิท
“ขอบคุณค่ะ”
เมริษาขอบคุณเสียงแผ่วเบาความขัดเขินปนประหม่าก่อเกิดขึ้นมาน้อยๆเวลาที่มองบุรุษหนุ่มที่กำลังตั้งอกต้องใจขณะกำลังหวีผมให้เธออย่างนุ่มนวลผ่านทางเงาสะท้อนของกระจก ใบหน้าหล่อเหลาตอนนี้ดูตั้งอกตั้งใจจนทำให้หัวใจเธอสั่นไหวแปลกๆ เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสจากเขาแต่กลับชอบที่เขาแสดงออกกับเธอแบบนี้
‘หรือฉันจะเปลี่ยนจากชอบกลายเป็นหลงรักคุณเข้าแล้วคะเนี่ย!’
“เสื้อผ้าคุณมีไหน”
เมริษาได้สติเมื่อเสียงทุ่มเอ่ยถามหาเสื้อผ้าเธอ หญิงสาวไม่ตอบแต่ชี้ไปที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ของตัวเองซึ่งยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้าใส่ตู้แต่อย่างใด ฟรานเซสก้าวยาวๆเดินไปเปิดกระเป๋าพร้อมหยิบชุดเดรสสั้นสีชมพูลายลูกไม้กับชุดชั้นในมาอีกหนึ่งชุดติดมือมาก่อนจะมาวางตรงหน้าเธอ
“ฉันแต่งเองก็ได้ค่ะ”
เมริษารีบบอกก่อนที่เขาจะจัดการแต่งให้เธอด้วยตัวเอง ซึ่งฟรานเซสก็ยอมแต่โดยดี แต่ก็มิวายยืนมองอยู่เงียบๆไม่ได้เดินหนีหรือหันหลังให้เธอแต่อย่างใด เมริษาก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวนใจอะไรกลับแต่งตัวต่อหน้าเอาอย่างไม่กระดากอายเลยสักนิดทำเหมือนอย่างที่แต่งตัวต่อหน้าเก้งกวางในกองถ่ายด้วยความเคยชิน
“เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนเหรอคะ”
เมื่อเห็นท่าทางอิดโรยดูอ่อนล้าของชายหนุ่ม เมริษาก็อดห่วงไม่ได้ หญิงสาวรู้ว่าเขาต้องรับผิดชอบงานหนักเพราะธุรกิจมากมายที่เขาต้องรับผิดชอบในฐานะผู้บริหาร
‘ถามได้ว่าไม่ได้นอนเหรอ…ก็เธอนอนยั่วทั้งคืนใครจะไปหลับลง!’
ฟรานเซสได้แต่แอบเก็บความขุ่นเคืองไว้ในใจโดยไม่ยอมพูดมันออกมา เพราะไม่อยากถูกมองว่าเป็นผู้ชายหื่นกามโรคจิตและไม่น่าไว้วางใจ
“อืม”
พยักหน้าตอบเพียงสั้นๆเพื่อเลี่ยงการสนทนาถึงเรื่องเมื่อคืน ตั้งแต่เกิดมาสาบานได้เลยว่าเขาไม่เคยต้องอดทนต่อเรือนร่างเปลือยเปล่าของผู้หญิงเท่านี้มาก่อน
“คุณจะหลับก่อนก็ได้นะคะ ถ้าตื่นแล้วเราค่อยไปหายายคุณก็ได้”
เมริษาเอ่ยถามเพราะความห่วงใยจากส่วนลึก หญิงสาวไม่อยากให้เขาโหมงานหนักเกินไปเพราะอาจจะสงผลกระทบต่อสุขภาพเขาในระยะยาว แต่ชายหนุ่มกลับส่ายหน้าไม่สนใจความห่วงใยเธอเลยสักนิด
“ไม่เป็นไร ผมไหว”
“ไม่เป็นไรผมไหว… นึกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์หรือไงกัน ชีวิตคนนะไม่ใช่เครื่องจักร เกิดเจ็บป่วยขึ้นมาไม่มีอะไหล่เปลี่ยนนะยะฉันจะบอกให้”
“กรุณาพูดภาษาอังกฤษ เมริษา”
ฟรานเซสเอ่ยเตือนด้วยความหวังดีเมื่อจู่ๆหญิงสาวก็จ้องหน้าเขาร่ายยาวเป็นภาษาไทยซึ่งเขาฟังไม่ออกสักคำ เมื่อวานเขาก็ให้เธออ่านประวัติเขาแล้วซึ่งในนั้นก็เขียนชัดเจนว่าเขาไม่สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยได้หากแต่ทำไมเธอยังพูดภาษาไทยใส่เขา เพราะเธอไม่ได้อ่านทำความเข้าใจข้อมูลของเขาหรือต้องการยั่วโมโหเขากันแน่
“ขืนฉันพูดภาษาอังกฤษคุณก็รู้สิว่าฉันกำลังด่าคุณอยู่ ใครจะโง่พูดกันเดี๋ยวก็โดนยิงไส้แตกกันพอดี”
“ถ้ายังไม่หยุดพูดภาษาไทยผมจะปิดปากคุณด้วยปากของผมเดี๋ยวนี้!”
น้ำเสียงห้วนสั้นหนักแน่นทำให้เมริษาต้องหยุดพูดในทันที เธอไม่ได้กลัวคำขู่เขาหากแต่สะกิดใจกับประโยคที่เขาพูดกับเธอมากกว่า
‘นี่ฉันหูฝาดไปหรือเปล่าเนี่ยที่เกย์ขู่ปิดปากฉันด้วยการจูบ’
“แต่งตัวเสร็จแล้วใช่ไหม งั้นก็รีบไปได้แล้ว”
“ยังค่ะ ฉันรูดซิบไม่ได้”
เมริษาพูดพร้อมทิ้งมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัวรู้สึกยอมแพ้เมื่อความพยายามรูดซิบตรงใต้รักแร้สิ้นสุดเลย ชุดนี้เธอไม่ได้สวมใส่มานานไม่คิดว่าพอหยิบมาสวมอีกทีมันจะรูดซิบยากเย็นถึงเพียงนี้
“ไหนหันมานี่สิ”
ฟรานเซสเอ่ยพลางจับร่างบางของเธอให้หันข้างมาให้ก่อนที่จะก้มลงมาจะจับซิบช่วยรูดขึ้น โดยที่เมริษายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี หญิงสาวยกแขนขึ้นเพื่อเขาจะได้รูดซิบสะดวก
“คุณอ้วนขึ้นหรือเปล่าถึงได้แน่นขนาดนี้”
ฟรานเซสพึมพำถามขณะที่กำลังพยายามดึงซิบให้เธออยู่ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคำพูดของตัวเองจะไปสะกิดใจดำของใครเข้า
“คุณฟรานเซสคะ ไม่เคยมีใครบอกคุณเรื่องการพูดถึงรูปร่างของผู้หญิงเลยหรือไงคะว่าเวลาที่พูดกับผู้หญิงไม่ควรใช้คำว่าอ้วน”
“ถ้าไม่ให้ใช้คำนี้แล้วจะให้ใช้คำไหนล่ะ ก็ในเมื่อผมพูดความจริง”
ฟรานเซสโพล่งถามออกไปตรงๆด้วยน้ำเสียงแข็งอย่างไม่อ้อมค้อมและมันคงจะตรงเกินไป
ม่านตาของคนถูกถามไหววูบ เมริษาหายใจหอบถี่ขึ้นมาด้วยความโกรธใบหน้าขาวเนียนค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมเข้าใจหัวอกความเป็นผู้หญิงของเธอสักที
“ถึงจะเป็นความจริงก็ไม่ควรพูด”
เสียงหวานเถียงกลับพร้อมถอยห่างออกจากร่างใหญ่ต่อต้านเขาทันที นัยน์ตาคมกริบจับจ้องอยู่กับปฏิกิริยาของหญิงสาวนิ่งเหมือนเขาเพิ่งจะรู้ตัวแล้วว่ากำลังพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
“นี่คุณกำลังโกรธผมอยู่เหรอเมริษา”
“ฉันกำลังหลงใหลได้ปลื้มคุณอยู่มั่งคะ”
เมริษาประชดพร้อมสะบัดหน้าหันไปอีกทาง