กลับจากทำงานกับสามี พลอยใสก็เรียกเด็กในบ้านมาหาตนเองแล้วก็ให้เดินตามตนขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน เอากุญแจไขประตูห้องนอนรับแขกที่ห้องติดกับห้องนอนลูกชายเข้าไปพร้อมสั่งให้เด็กทำความสะอาดให้เรียบร้อย เพราะพรุ่งนี้เป็นต้นไปห้องนี้จะมีแขกมาอยู่ด้วยสามเดือน
“แม่พลอยทำอะไรครับ” เหี้ยมเดินพ้นบันไดบ้านมาเห็นแม่ที่เดินออกมาจากห้องรับแขกที่ติดกับห้องนอนตนเองก็ถามอย่างสงสัยและแปลกใจ เพราะถ้าจะมีแขกมาพักบ้านคงเป็นไปไม่ได้ บ้านหลังนี้น้อยนักจะมีแขกมาเยี่ยมเยียน และที่สำคัญญาติของพ่อกับแม่ของเขาก็อยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศกันทั้งนั้น
“แม่ให้เด็กมาทำความสะอาดไว้ให้น้องปุณณ์น่ะลูก พรุ่งนี้น้องจะมาอยู่กับเรา”
คำตอบของผู้เป็นแม่ยิ่งทำให้เขามึนและงงไปใหญ่ น้องไหน? แล้วปุณณ์ไหน? ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ไม่มีญาติฝ่ายไหนของพ่อกับแม่ที่ชื่อนี้เลยด้วยซ้ำ
“น้อง? ตั้งแต่จำความได้ เราไม่มีญาติชื่อนี้ไม่ใช่เหรอครับแม่พลอย”
“มีสิลูก แม่ก็บอกอยู่นี่ไง เหี้ยมไม่รู้จักหรอก เพราะแม่เองก็ไม่เคยเห็นหนูปุณณ์เหมือนกัน แต่ว่าเขาเป็นญาติห่างๆ ของแม่น่ะลูก เป็นลูกสาวของญาติห่างๆ แม่เอง เธอจะมาอยู่กับเราสักพัก” นางบอกลูกชาย แล้วเหี้ยมก็พยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะยิ้มหวานทรงเสน่ห์ที่ขัดกับหน้าตาและบุคลิกภายนอกให้แม่แล้วโน้มหน้าไปยื่นปลายจมูกโด่งหอมแก้มแม่เบาๆ
“เหี้ยมไปอาบน้ำก่อนนะครับ วันนี้เหนื่อยมาก แล้วพ่อหาญยังไม่กลับเหรอครับ”
“อยู่ในครัวน่ะลูก วันนี้พ่อหาญของลูกจะโชว์ฝีมือให้เราทานกัน”
“อิ่มท้องลำบากตูดอีกแล้ววันนี้”
“พูดไปนั่น ไปอาบน้ำเถอะเหี้ยม พรุ่งนี้กลับบ้านไวๆ ด้วยล่ะลูก ให้การต้อนรับน้องปุณณ์หน่อยนะ เธอมาวันแรกแม่อยากให้น้องประทับใจครอบครัวเรา และอยากให้เขาสัมผัสถึงความอบอุ่นของบ้านเราน่ะ”
“ครับ จะพยายาม”
“จ้ะ ไปเถอะ แม่จะไปดูพ่อหาญของลูกแล้ว ไม่รู้ว่าครัวแม่พังไปเยอะแค่ไหนแล้วตอนนี้”
หึหึ
“รู้ว่าตัวเองทำไม่อร่อย แต่พ่อหาญก็ยังพยายามเนอะแม่พลอย”
“นั่นสิลูก”
ฮ่าๆๆ
แล้วสองแม่ลูกก็ประสานเสียงกันหัวเราะร่าจนสาวใช้ทำความสะอาดหยุดการทำงานหันมาสนใจเสียงหัวเราะของเจ้านายแล้วอดยิ้มตามกับภาพของสองแม่ลูกไม่ได้
“แม่โอบนะแม่โอบจะมาส่งก็ไม่ได้ นี่อะไรขับรถมาเองตามจีพีเอสจะหลงไหมเนี่ย” ปุณณ์บ่นขณะขับรถตามจีพีเอส แล้วก็ต้องจอดรถเมื่ออยู่ดีๆ ล้อรถยนต์ก็ส่ายไปส่ายมา พอจอดลงไปดูก็ปรากฏว่ายางรถแบนล้อหลังทั้งสองล้อ
กรี๊ดดดด
“มีอะไรอีกไหมยัยปุณณ์ ทำไมซวยแบบนี้ มือถือใช้โทรตามช่างก็ไม่ได้ นี่มันพิษณุโลก” เธอยืนเท้าสะเอวมองซ้ายมองขวาเผื่อว่าจะมีรถวิ่งผ่านมา แต่รอจนแล้วจนรอดก็เงียบ ถนนเส้นนี้แทบไม่มีรถวิ่งผ่าน แล้วดวงตาสวยก็เหลือบไปเห็นป้ายของอู่
“ยังถือว่าโชคดี โอ๊ย! ร้อนก็ร้อนจะบ้าตาย” รีบเอาโทรศัพท์มากดเบอร์ในป้ายเพื่อต่อสายหาอู่ แต่ที่ทำให้ต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกคือชื่ออู่ “อู่ไอ้เหี้ยมใจชมพู”
“ชื่ออู่หาดีๆ กว่านี้ไม่ได้เลยใช่ไหม แต่ช่างเถอะ ตอนนี้ร้อนจะตายอยู่แล้ว” พอกดเบอร์ครบกดต่อสายติดก็เดินกลับไปนั่งตากแอร์เย็นๆ ในรถยนต์คันหรูของตัวเองระหว่างรอปลายสายรับ และไม่นานการรอคอยก็สิ้นสุดลง
“สวัสดีค่ะ อู่ไอ้เหี้ยมใจชมพูยินดีให้บริการค่ะ” เสียงหวานกรอกมาในสายเมื่อกดรับสายลูกค้า
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...คือว่ารถดิฉันยางรั่วค่ะ ไม่ทราบว่าที่อู่มาดูให้ได้ไหมคะ” ยิ้มออกทันทีเมื่อเห็นว่าพนักงานของทางอู่พูดจาอ่อนหวานสุภาพ แม้จะขัดกับชื่ออู่ก็ตามเถอะ
“ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหนคะ เดี๋ยวทางอู่ให้พนักงานไปดูให้ค่ะ” เสียงใสตอบกลับมาอย่างยินดี
“เอ่อ...ยังไงดีล่ะคะ คือว่าดิฉันเพิ่งมาพิษณุโลกครั้งแรกค่ะ ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ตรงไหน” เธอบอก
“ลองบอกบริเวณรอบๆ หรืออะไรที่เป็นจุดสนใจได้ไหมคะ”
“อืม...” เธอมองไปรอบๆ นอกของรถก็มีแต่ท้องทุ่ง มีแต่ไร่นา
“พอจะบอกเราได้ไหมคะ” พนักงานของอู่ถามเมื่อเห็นว่าเธอเงียบไป
“อืม...ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ไหมนะคะ เพราะที่ที่ฉันอยู่ตอนนี้มีแต่ท้องทุ่ง ไร่นา แถมรถก็ไม่ค่อยมีผ่านมา แต่ว่ามีป้ายของทางอู่ติดใหญ่ๆ ตรงหน้าค่ะ”
“อ๋อ...รอสักสิบนาทีนะคะ เดี๋ยวพนักงานของเราไปถึงค่ะ ดิฉันพอจะรู้ค่ะว่าที่ไหน” ที่ที่มีป้ายของอู่ติดอยู่มีแค่ทางเข้ามายังอู่เท่านั้น
“จริงนะคะ รีบๆ มานะคะ ฉันกลัวค่ะ”
“ไม่นานค่ะ เดี๋ยวพนักงานของเราไปถึงค่ะ คุณลูกค้ารออยู่ตรงนั้นนะคะ”
“ค่ะ รีบๆ มานะคะ” แล้วเธอก็กดวางสายทันทีเมื่อทางอู่บอกว่าจะส่งเด็กมาดูให้