บทที่ 4
สถานการณ์บีบบังคับ (1)
@สนามแข่งรถพีเจสปอร์ต
บนอัฒจันทร์ส่วนตัวของนักแข่งรถที่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงเตรียมตัวเพื่อลงแข่งในแมตช์ต่อไป ซึ่งหนึ่งในผู้ร่วมลงแข่งก็คือภาคิน เขาตัดสินใจลงแข่งในวันนี้ด้วยเนื่องจากได้รับคำท้าทายจากเลย์คู่อริคนสำคัญที่มีปัญหากันมานาน
“ถ้าเฮียรู้ว่าลงแข่ง มึงเตรียมตัวโดนบ่นหูชาได้เลยไอ้คิน” ภูผาเอ่ยเสียงเรียบขณะที่กำลังเดินลงจากอัฒจันทร์ไปยังสนามแข่งรถพร้อมกับภูริ
เนื่องจากในเดือนหน้าภาคินมีแมตซ์สำคัญระดับประเทศ หากเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้ต้องส่งผลกระทบต่อบริษัทและอนาคตของเขาแน่ แต่ไม่ว่าเพื่อนสนิทจะเตือนเท่าไหร่เจ้าตัวก็ไม่ยอมฟัง แถมยังลงแข่งโดยไม่บอกกล่าวใครอีก
ทั้งภาคิน ภูริ และภูผาเดินลงมาที่สนามแข่งรถตามด้วยเสียงเชียร์ของคนรอบสนาม การปรากฏตัวของสามนักแข่งรถชื่อดังในวันนี้ทำให้ผู้เข้าชมการแข่งขันเยอะกว่าปกติ อีกทั้งการเดิมพันยังมียอดสูงถึงยี่สิบล้าน
“การแข่งขันในแมตช์นี้ค่อนข้างดุเดือดและเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากเลยนะครับ เพราะทั้งสองเป็นถึงนักแข่งรถชื่อดังด้วยกันทั้งคู่...” เสียงพิธีกรเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสงไฟสปอตไลต์ที่สาดส่องไปยังผู้เข้าแข่งขันและรถแข่งคู่ใจ
เลย์ก็เป็นนักแข่งรถที่กำลังเป็นที่จับตามองมากในตอนนี้เขาเป็นนักแข่งที่อยู่ในสังกัดคู่แข่งของพีเจสปอร์ตอีกทั้งยังได้รับรางวัลนักแข่งยอดเยี่ยมอีกด้วย
“...นั่นก็คือ ภาคินแห่งพีเจสปอร์ต และเลย์แห่งไลท์เอาท์สปอร์ตครับ!!” เสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามพร้อมกับแสงไฟที่เริ่มมืดลงบ่งบอกว่าการแข่งขันกำลังจะเริ่มต้นในอีกไม่ช้า
ภูริและภูผาจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับแข่งรถให้กับภาคินอย่างชำนาญมือ โดยที่ภูริเตรียมหมวกกันน็อกคู่ใจและถุงมือหนังสีดำสำหรับการแข่งขันส่วนภูผาก็คอยตรวจเช็กสภาพรถหลังจากที่ให้ทีมงานคอยจัดการก่อนหน้านั้น
ทีมงานของสนามแข่งจะเป็นคนจัดการเรื่องความเรียบร้อยของรถที่จะใช้แข่งและอุปกรณ์อะไหล่ต่าง ๆ ทั้งหมด เนื่องจากป้องกันการเล่นตุกติกของทุกฝ่าย โดยที่ผู้เข้าแข่งขันและคนอื่น ๆ ห้ามยุ่งเกี่ยวในหน้าที่นี้และรวมถึงผู้แข่งขันอีกฝ่ายด้วย แม้ว่าสนามแข่งรถนี้จะเป็นของพีเจสปอร์ตแต่ก็หายกังวลได้เลย เพราะเรื่องความโปร่งใสในการแข่งขันที่นี่เคร่งครัดมากที่สุด
ถึงแม้ว่าจะเป็นนักแข่งในสังกัดก็ไม่สามารถที่จะจัดการรถตัวเองได้นอกจากทีมงานที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ซึ่งการแข่งขันทุก ๆ แมตช์จะไม่มีเบื้องหลังแน่นอน
แสงแฟลชจากกล้องสาดกระหน่ำมาที่ผู้เข้าแข่งขันทั้งสอง เนื่องจากการแข่งขันครั้งนี้นับว่าเป็นการแข่งขันที่กะทันหันและน่าสนใจอย่างมาก หากไม่ใช่สายวงในจริง ๆ ก็ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่านักแข่งชื่อดังทั้งสองได้ตกลงประลองฝีมือกัน
สายตาคมกวาดมองคนคนหนึ่งด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เขาได้นัดให้เธอมาที่นี่เมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ไม่เห็นวี่แววคนตัวเล็กเลยสักนิด
“มองหาใคร” ภูริเอ่ยถามเพื่อนสนิทเมื่อเห็นว่าเขากำลังหาใครบางคน
“เลิกสนใจเรื่องอื่นได้แล้วไอ้คิน มึงต้องชนะให้ได้นะเว้ย” ภูผาย้ำเตือนสติ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับการลงแข่งครั้งนี้แต่เขาก็ไม่อยากเห็นเพื่อนสนิทพ่ายแพ้ให้กับคู่อริตัวฉกาจอย่างเลย์
“กูไม่เคยแพ้” ภาคินเอ่ยเสียงเรียบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาอยู่ในสนามมานานทำให้สามารถวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่งได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน เลย์มีจุดอ่อนกว่าเขาหลายอย่าง ซึ่งเขาจะใช้จุดอ่อนนี้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามให้แพ้ราบ
“เออ มั่นใจแบบนี้ก็ดี ถ้ามึงแพ้ก็เตรียมตัวโดนเฮียด่าได้เลย” ในเมื่อขัดคำสั่งประธานบริษัทแล้วหากนำความพ่ายแพ้กลับไป แน่นอนว่าสิ่งที่ได้กลับมาก็คือคำด่าของคนเป็นประธานบริษัทที่คอยย้ำเตือนตลอด
“อย่าบอกนะว่าคนมึงมองหาคือน้องคนนั้น” เสียงเรียบของภูริและสายตานิ่งจ้องไปมองยังหญิงสาวที่เดินอยู่ขอบสนามด้วยสีหน้าตื่นกลัว ท่าทางไร้เดียงสาของเธอช่างไม่เหมาะกับสถานที่แบบนี้เอาซะเลย
ทั้งภาคินและภูผาต่างหันไปมองยังร่างบางซึ่งเป็นจังหวะที่เธอกำลังมองมาทางเขาพอดี คนตัวเล็กหยุดยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเขาด้วยความประหม่า เหตุผลที่เธอมาที่นี่ก็เป็นเพราะคำขู่และภาพแบล็กเมล์ที่เขาจูบเธอ หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ เธอจะไม่ย่างกรายเข้ามาในที่แบบนี้เป็นแน่
“มึงจะทำอะไร” ภูผาถามขึ้นพลางมองภาคินและเนปจูนสลับกัน
เพื่อนสนิทอย่างเขาก็พอดูออกว่าภาคินนั้นถูกใจเด็กนักศึกษาฝึกงานคนนี้ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจเหตุผลที่เจ้าตัวทำเย็นชาและมึนตึงกับเธอแบบนี้ หากเป็นนิสัยเดิม ๆ ของภาคินแล้วหากเขาเกิดถูกใจใครเขาก็จะบุกเหมือนเสือร้ายที่หิวกระหายเหยื่อ
รอยสักรูปเสือที่ด้านหลังมือของภาคินบ่งบอกลักษณะนิสัยส่วนตัวของเขาได้เป็นอย่างดี เสือร้ายที่คอยกินเหยื่อด้วยความนิ่งเรียบเพื่อให้เหยื่อตายใจ แต่ถ้าหากได้กินเหยื่อแล้วเขาก็จะหาเหยื่อตัวต่อไปทันที
เพราะเสือร้ายอย่างเขาไม่ยอมขย้ำเหยื่อซ้ำ ๆ ให้เสียเวลา...
ร่างบางกระชับกระเป๋าคู่ใจที่สะพายไว้แน่นเมื่อรู้สึกประหม่าในสถานการณ์แบบนี้ เธอไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหน แค่คำขู่จากภาคินก็ทำให้เธอร้อนใจจนอยู่ไม่สุขแล้ว
คนตัวเล็กมองหาที่นั่งใกล้ ๆ หากการแข่งขันจบสิ้น เธอก็จะเข้าไปพูดคุยกับภาคินเพื่อขอให้ลบภาพที่เขาถ่ายแบล็กเมล์เธอเสียที
แต่ทว่า...
เสียงซุบซิบนินทาเริ่มหนาหูเมื่ออยู่ ๆ ผู้เข้าแข่งขันที่กำลังเตรียมจะลงแข่งอย่างเลย์เดินเข้ามาหาคนตัวเล็กที่อยู่ขอบสนาม สร้างความสนใจให้กับผู้ชมบนอัฒจันทร์เป็นอย่างมาก
เนปจูนสวมชุดทำงานสุภาพพร้อมกับคล้องบัตรนักศึกษาฝึกงาน บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเธอนั้นเพิ่งเลิกงานแล้วก็ตรงมาที่สนามแข่งรถตามคำสั่งของภาคินทันที
“มาดูพี่แข่งรถเหรอจูน” เสียงทุ้มอ่อนโยนเอ่ยขึ้นตรงหน้าหญิงสาวท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องมาที่เธอ
“ปะ...เปล่าค่ะ” คนตัวเล็กก้มหน้าเพื่อหลบสายตาเพราะในตอนนี้เธอกำลังเป็นที่จับตามองคนผู้คนรอบสนาม
“ไม่เป็นไร แต่เราก็ตั้งใจดูนะ เพราะแมตช์นี้พี่ชนะแน่นอน” มือหนาของเลย์ลูบที่เรือนผมของเนปจูนแผ่วเบายิ่งสร้างความตกตะลึงของทุกคนเท่าตัว การที่เขาทำแบบนี้มันก็ไม่ต่างอะไรกับการจุดไฟบนน้ำมันในตัวของภาคินที่ยืนมองทั้งคู่อยู่อีกฝั่ง
เลย์ตั้งใจจะทำแบบนี้เพื่อปั่นประสาทของภาคิน เขาไม่ได้รู้สึกพิศวาสคนตัวเล็กนี้มากเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเห็นว่าภาคินนั้นรู้สึกเช่นไรเขาก็อยากเล่นสงครามประสาทกับภาคินดูสักครั้ง ซึ่งแน่นอนว่ามันได้ผลอย่างมาก อารมณ์ของภาคินในตอนนี้เดือดดาลเป็นเท่าตัว
จากเดิมที่เป็นคู่ปรับตัวยงกันแล้ว พอมีปัญหาเรื่องผู้หญิงเข้ามาเพิ่มก็ยิ่งทำให้นิสัยผู้ชายอารมณ์ร้อนทวีคูณเพิ่มขึ้น
และนี่ก็เป็นแผนการที่จะทำให้เลย์เพิ่มโอกาสการชนะในการแข่งขันครั้งนี้
“ขอเชิญคุณภาคินและคุณเลย์ประจำที่รถได้เลยครับ” เสียงพิธีกรเอ่ยทำให้เลย์เดินกลับเข้ามาในสนามอีกครั้ง
ภูริและภูผาเดินเข้าไปหาเนปจูนเพื่อบอกให้เธอไปนั่งที่อัฒจันทร์ส่วนตัวของพวกเขา หากเธอนั่งโดดเดี่ยวอยู่ตรงนี้คนเดียวก็คงตกเป็นเป้าสายตาและได้ยินเสียงซุบซิบไม่หยุดแน่
“ไปนั่งกับฉันดีกว่า” ภูผาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนซึ่งทำให้เนปจูนพยักหน้าตอบรับหงึก ๆ ในตอนนี้เธออยากออกจากที่ตรงนี้มาก แม้ว่าคนตรงหน้าจะเป็นคนที่เจอกันแค่ครั้งเดียวแต่ก็ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจกว่าการนั่งอยู่คนเดียว
สาม!
สอง!
หนึ่ง!
GO!!
เสียงสัญญาณนับถอยหลังดังขึ้นก่อนที่รถยนต์คันหรูจะแล่นจากจุดสตาร์ตไปตามหนทางของสนาม เสียงเชียร์ดังกึกก้องพร้อมทั้งจอแอลอีดีขนาดใหญ่ฉายภาพรถยนต์ทั้งสองคนที่กำลังไล่บี้เพื่อไปให้ถึงจุดหมาย ซึ่งก็คือเส้นชัยที่อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ร่างบางมองที่จอยักษ์ด้วยความตื่นเต้นในใจ เธอไม่เคยดูการแข่งรถมาก่อนเคย เพียงแค่มาเก็บภาพบรรยากาศก่อนและหลังการแข่งขันเท่านั้น และการแข่งขันครั้งนี้เธอไม่ได้เชียร์ใครเป็นพิเศษ เพราะจุดประสงค์ที่เธอมาก็เพราะคำขู่ของภาคิน
“เธอคิดว่าใครจะชนะ” ภูผาเอ่ยถามคนตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ” เธอตอบไปตามตรง เธอรู้ว่าฝีมือของภาคินนั้นไม่ได้เป็นสองรองใคร แต่ฝีมือของเลย์อดีตแฟนของเธอก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน
เนปจูนเคยเห็นการฝึกซ้อมของเลย์เมื่อหลายปีก่อนก็ทำให้รู้ว่าเขานั้นก็เก่งพอควร แถมยังมีสังกัดหลากหลายที่สนใจที่จะดึงตัวเขาให้เป็นนักแข่งประจำอีกด้วย
“ไอ้คินมันให้เธอมาเหรอ” ภูริถามด้วยความสงสัย
“ค่ะ คุณภาคินให้ฉันมาที่นี่”
“เพราะ?”
“เอ่อ...”
“หึ กูว่าแล้วว่าต้องชนะ” ไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยอะไรออกไปเสียงของภูผาก็เอ่ยขึ้นขณะที่สายตาทอดมองไปที่สนามแข่ง
ตอนนี้รถของภาคินกำลังนำรถของเลย์ห่างพอสมควร และจากการวิเคราะห์แล้วโอกาสที่ภาคินจะชนะนั้นมีสูงมาก
จนกระทั่ง...
เสียงสัญญาณที่บ่งบอกว่าการแข่งขันได้จบลงก็ดังขึ้นและแน่นอนว่าภาคินชนะในการแข่งขันครั้งนี้ โดยไม่ค้านสายตาของผู้ชมในสนามและกรรมการ รถยนต์ของผู้ชนะจอดเทียบข้างเส้นชัยตามด้วยร่างของภาคินเดินลงจากรถด้วยท่าทีมั่นใจ พร้อมเสียงร้องเชียร์ของผู้คนรอบสนาม
“ของรางวัลคืออะไรเหรอคะ” คนตัวเล็กถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เงินยี่สิบล้าน”
“ฮะ!? ยี่สิบล้าน!” เนปจูนตาเบิกโพลงเมื่อรู้จำนวนเงินที่ใช้เดิมพันในการแข่งขันครั้งนี้
เพียงแค่แข่งรถครั้งเดียวก็มีเงินมากองตรงหน้าถึงยี่สิบล้าน เธอไม่แปลกใจเลยว่าทำให้ใคร ๆ ก็อยากมาอยู่ในจุดของผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างภาคิน
“ดูทำหน้าเข้าดิ”
“พวกคุณได้เงินเยอะขนาดนี้เลยเหรอคะ” เธอยังตกใจกับจำผลตอบแทนไม่หาย เนปจูนไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงิน แต่อย่างไรแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นเงินกองตรงหน้าถึงยี่สิบล้าน
ฐานะทางบ้านของเนปจูนไม่ได้ลำบากอะไรเธอเป็นลูกสาวคนเดียวของเจ้าของกิจการร้านเครื่องเพชรและอัญมณี แต่เธอก็ไม่ได้ถูกเลี้ยงดูให้เหมือนคุณหนูมากมายหรืออาจเป็นเพราะความดื้อรั้นของเธอ ทำให้พ่อของเธอไม่สามารถขัดความชอบในการมาเรียนไกลบ้านเช่นนี้
เธอยังจำคำสอนของพ่อเธอได้ดีว่าเธอนั้นเป็นลูกพ่อค้าคนหนึ่ง ต้องขยันทำงานหากขี้เกียจก็จะไม่มีทางสบายได้ แม้ว่าจะมีกิจการของครอบครัวรองรับแต่เนปจูนก็มีงานที่เธอชื่นชอบและใฝ่ฝันนั่นก็คือการเป็นนักข่าว และทางบ้านของเธอเองก็สนับสนุนมาโดยตลอด
“เรียกธรรมดาก็ได้” ภูริเอ่ยขึ้น
“จริง เรียกพี่ดิ พี่ผา พี่ภู น่ารักจะตาย” มือหนาของภูผาวางลงที่ศีรษะของเนปจูนด้วยความเอ็นดู
“มันจะดีเหรอคะ” เธอมองอย่างชั่งใจเธอเองก็ไม่ได้สนิทสนมกับพวกเขา แถมยังอยู่ในฐานะผู้ร่วมงานเท่านั้นหากเธอเรียกเขาว่าพี่มันอาจจะไม่เหมาะสมหากคนอื่นได้ยิน
“ดีสิ เรียกพี่นี่แหละ เราห่างกันแค่สามปีเอง” คนตัวเล็กพยักหน้าตอบเบา ๆ ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ภูผาเอ่ยเธอและพวกเขาอายุห่างกันเพียงสามปี การใช้สรรพนามว่าคุณและฉันมันจะดูเป็นทางการไปหน่อย
“แล้วเราชื่ออะไรนะ ชื่อจูนใช่ไหม”
“ชื่อเนปจูนค่ะ เรียกจูนเฉย ๆ ก็ได้”
“ชื่อน่ารักจัง ต่อไปเรียกพวกพี่ว่าพี่นะ”
“ก็ได้ค่ะ พี่ผา พี่ภู^^” รอยยิ้มกว้างฉายขึ้นบนใบหน้าหวาน เธอเองก็รู้สึกอุ่นใจไม่น้อยที่พวกเขาทั้งสองใจดีกับเธอแบบนี้ ตอนที่เธอเห็นเขาครั้งแรกก็กลัวแทบตายแต่ที่ไหนได้เขากลับอ่อนโยนเหมือนพี่ชายคนหนึ่ง
พรึ่บ!
อยู่ ๆ มือหนาของภูผาที่วางบนศีรษะของเนปจูนก็ถูกปัดออกด้วยฝีมือของภาคินที่เพิ่งเดินเข้ามา หลังจากจบการแข่งขันเขาก็รีบวิ่งมาบนอัฒจันทร์ทันที
คนตัวเล็กชะงักไปเมื่อสบตากับภาคินเธอนึกถึงเรื่องวันนั้นที่เขาจูบเธอแถมยังตั้งกล้องแบล็กเมล์เธอไว้อีก
“ทำไมรีบมา นักข่าวรอถ่ายรูปอยู่” ภูริเอ่ยถามเมื่อเห็นเพื่อนสนิทรีบวิ่งมา ทั้งที่ยังมีเหล่าบรรดานักข่าวเตรียมรอสัมภาษณ์และถ่ายรูปสำหรับผู้ชนะในค่ำคืนนี้อยู่
“ขี้เกียจ” ภาคินตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก มือหนาก้มหยิบขวดน้ำขึ้นมาดื่ม โดยที่มืออีกข้างยังคงถือหมวกกันน็อกสีดำคู่ใจไว้อยู่
“คุณสะดวกคุยกับฉันรึยังคะ” คนตัวเล็กถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เธอไม่ได้มีเวลามากพอที่จะต้องมาอยู่รอเขา แล้วอีกอย่างเธอก็ร้อนใจจนนั่งไม่ติดหากรูปพวกนั้นหลุดออกไปมันคงส่งผลเสียต่อตัวเธอไม่น้อย
พรึ่บ!
“อ๊ะ อะไรคะ...” ภาคินส่งหมวกกันน็อกให้กับเนปจูนถือไว้โดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว วงแขนเล็กโอบกอดมันไว้ด้วยความงุนงงพร้อมกับมองหน้าเขา
“ถือไว้แล้วตามมา”
“ตามไปไหนคะ”
“อย่าถามมากถ้าไม่อยากให้มันหลุด” ประโยคทำเอาคนตัวเล็กชะงักไป เธอรีบลุกขึ้นสะพายกระเป๋าทันทีตอนนี้เธอไม่มีตัวเลือกมากนอกจากเชื่อฟังคำสั่งของเขา
“จูนขอตัวก่อนนะคะพี่ผา พี่ภู ไว้เจอกันใหม่นะคะ” เนปจูนเอ่ยลาพร้อมรอยยิ้มกว้าง เธอเป็นคนสดใสร่าเริงและเข้ากับผู้คนได้ง่าย หากใครได้ลองพูดคุยกับเธอแล้วเป็นอันต้องหลงเสน่ห์เกือบทุกราย
“เร็ว!” ไม่ทันทีทั้งสองนักแข่งจะเอ่ยตอบภาคินก็เร่งรัดคนตัวเล็กพร้อมกับเดินนำเธอไปชั้นล่างของสนาม ก่อนจะเข้าไปด้านในซึ่งเป็นที่สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
ขาเรียวก้าวฉับ ๆ ตามคนตัวโตไปอย่างรวดเร็วในมือก็กอดหมวกกันน็อกของภาคินเอาไว้แน่น เธอรู้มาว่าหมวกใบนี้เป็นหมวกประจำตัวของเขา ซึ่งสลักชื่อของเขาไว้ที่ด้านข้างและเป็นรูปเสือเหมือนกันรอยสักของเขา
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” เมื่อเดินตามมาได้สักพักคนตัวเล็กก็ถามขึ้น
“พามาจูบอีกรอบ”
“!?!!”