บทที่ 5 ตกอยู่ในกำมือ

1532 คำ
ตาต่อตาประสานกันหลิวอี้เฟยใจหายวาบ ดวงตาคู่งามหวั่นวิตกเมื่อนางกำนัลขององค์หญิงสิบวิ่งเข้ามาขวางทางนางเอาไว้ หลิวอี้เฟยพยายามทำใจให้สงบ อย่างไรยามนี้นางต้องเอาตัวรอดก่อน โดยไม่รอช้า นางเอี้ยวตัวไปหลบอยู่ด้านหลังร่างสูงทันใด มือคู่นั้นของนางสั่นระริก แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เพราะกลัวนางกำนัลขององค์หญิงสิบ แต่นางกำลังกลัวเขาผู้นี้ที่มีกลิ่นอายแห่งความตายแผ่ออกมารอบตัวต่างหาก หลิวอี้เฟยคิดไม่ตก ระหว่างยินยอมไปกับคนพวกนั้นกับตกอยู่ในเงื้อมมือคนผู้นี้อย่างไหนจะแย่ไปกว่ากัน แต่บัดนี้เข้าตาจนทั้งไม่มีเวลาให้คิดแล้ว ไม่รู้ด้วยเหตุใดแม้จะกลัวเขาแต่นางก็เลือกที่จะให้เขาช่วยเหลือโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนผู้นี้ยินดีจะช่วยนางหรือไม่ ซุนป๋อเหวินเองก็ไม่คาดคิดว่าจะพบนางที่นี่ ก่อนหน้านั้นเขายังสงสัยว่านางอาจจะเป็นนางกำนัลผู้หนึ่ง เพราะเขาสั่งให้อู๋ทงคนสนิทไปค้นที่หน่วยขันทีไท่เจี้ยนแล้วยังตรวจสอบใบหน้าของขันทีทั้งหมดกลับไม่พบคนที่เขากำลังหา เขายังไม่ได้สืบหาว่านางเป็นนางกำนัลของตำหนักใด สตรีนางนี้ก็วิ่งแจ้นเข้ามาหาเขาด้วยตนเองเสียแล้ว ด้วยฐานะของเขาคือหัวหน้าหน่วยองครักษ์ขั้นหนึ่งของวังหลวง เป็นคนที่ฝ่าบาทวางพระทัยยังสามารถพกดาบในเขตพระราชฐาน แม้แต่ฮองเฮายังต้องเกรงใจซุนป๋อเหวินจึงนับเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดผู้หนึ่งในราชสำนัก เพียงเขาตวัดสายตาขึ้นมองคนพวกนั้น ก็ทำให้พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินแล้ว นางกำนัลขององค์หญิงสิบผู้นั้นคุ้นเคยกับซุนป๋อเหวินเป็นอย่างดีด้วยเขาคือชายในดวงใจขององค์หญิงของตนเอง "คุณชายซุนข้าน้อยคารวะเจ้าค่ะ" พวกนางยอบกายคารวะซุนป๋อเหวินทันใด เมื่อเห็นคนสนิทของฝ่าบาทยามนี้เริ่มลังเลแล้ว ว่าที่องค์หญิงสิบเอ็ดกล่าวมานั้นอาจจะเป็นความจริง อู๋ทงองครักษ์คนสนิทของซุนป๋อเหวิน เดินมายืนอยู่หน้านางกำนัลเหล่านั้นขวางทางพวกเขาเอาไว้ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นข่มขู่ "สร้างความวุ่นวายในเขตพระราชฐานชั้นใน ยังไม่รีบคุกเข่าอีก" นางกำนัลพวกนั้นเนื้อตัวสั่นเทา เมื่อสักครู่เพราะคิดจับองค์หญิงสิบเอ็ดจึงรีบวิ่งมาโดยไม่ทันคิดจึงละเมิดกฎวังหลวงเช่นนี้ คนทั้งหมดต่างคุกเข่าลง นางกำนัลผู้หนึ่งจึงเอ่ยแก้ต่าง "ท่านองครักษ์ พวกเรามิได้ตั้งใจทำความผิด แต่เรากำลังตามองค์หญิงสิบเอ็ดไปเฝ้าองค์หญิงสิบเจ้าค่ะ" อู๋ทงหรี่ดวงตาตะคอกเสียงดัง "หุบปาก ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าพูดกันก้มหน้าลงกับพื้นเดี๋ยวนี้" เสียงนั้นทำให้คนทั้งหมดสะพรึงกลัว ทุกคนล้วนก้มหน้าต่ำอย่างขลาดเขลา ผู้ใดก็รู้ว่าหน่วยองครักษ์ของฝ่าบาทนั้นเหี้ยมโหดเพียงใด ไม่ใช่คนที่จะล่วงเกินได้ง่าย ๆ หากหน่วยนี้คิดอยากสังหารคนโยนความผิดให้สักข้อสองข้อก็ล้วนทำได้โดยไม่มีผู้ใดกล้าสอบสวน ซุนป๋อเหวินมองดูนางกำนัลพวกนั้นแล้วยกมุมปากเล็กน้อย สีหน้ายังคงเย็นชาเช่นเดิม ก่อนจะหันหน้ามามองสตรีร่างเล็กตัวต้นเหตุที่ยังกำชายเสื้อของเขาแน่น "ท่านคือองค์หญิงสิบเอ็ด เช่นนั้นหรือ" แววตาชั่วร้ายมองนางอย่างตั้งใจ ฐานะของหลิวอี้เฟยถูกเปิดเผยแล้ว แม้จะมีตำแหน่งองค์หญิงทว่าแม้แต่นางกำนัลยังกล้าล่วงเกิน ไม่ต้องคิดถึงคนผู้นี้ว่าต่อไปหากคิดสังหารนางก็คงเดินเข้าไปในตำหนักโดยถือดาบเข้าไปบั่นคออย่างเปิดเผย หลายวันมานี้ที่หลบซ่อนอยู่ในตำหนักด้วยความกลัว วันนี้กลับวิ่งมาเผยตัวตนต่อหน้าเขาด้วยตัวเอง สิ่งนี้ว่าโชคร้ายที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ "ข้าหาท่านมาตั้งนาน ในที่สุดก็โผล่หน้ามาด้วยตนเอง" หลิวอี้เฟยได้ยินคำนี้ พลันรู้สึกว่าตนเองพลาดแล้ว หากติดตามคนพวกนั้นไปตำหนักองค์หญิงสิบ อย่างมากก็คงถูกรังแก ทว่าเมื่อกระโดดเข้ามาพึ่งพาคนผู้นี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายแล้วจริง ๆ นางปล่อยมือออกจากชายเสื้อของเขาทันใด นางคิดว่าครานี้ตนเองคงตายอย่างแน่นอนได้แต่ร้องในใจว่า 'แย่แล้ว' นางถอยหลังช้า ๆ คิดวิ่งหนีอีกครั้ง ทว่าคนผู้นี้กลับรู้ทัน เขาคว้าลำแขนของนางเอาไว้ออกแรงบีบเล็กน้อยหลิวอี้เฟยก็ไม่อาจขยับร่างกายได้ แรงบีบของคนตัวโตที่คิดว่าเป็นการออกแรงเพียงเล็กน้อยนี้ทำให้นางรู้สึกเจ็บราวกับถูกไม้แข็งหนีบเข้าที่เนื้อ เจ็บจนทำให้นางคิดอยากร้องไห้ แต่เมื่อได้โอกาสหลิวอี้เฟยยังหาทางเอาตัวรอดส่งเสียงดัง "ทะ ท่านปล่อยข้าเถิด ข้าไปกับท่านแล้วข้าไม่คิดขัดรับสั่งของเสด็จพ่อ พวกเราไปเข้าเฝ้ากันเถิด" นางเอ่ยคำนี้ออกมาด้วยความฉลาด อย่างน้อยพวกนางกำนัลขององค์หญิงสิบย่อมได้ยิน คิดว่าหลิวอี้เฟยไร้รับคำบัญชาให้เข้าเฝ้าจริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซุนป๋อเหวินถูกผู้อื่นใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว จึงยอมรับในความเฉียบคมของนางเล็กน้อย เขาก้มลงเอ่ยเสียงเบา "ท่านกล้ามากเด็กน้อย เอาความกล้าหาญมาจากที่ใดกัน" ซุนป๋อเหวินมีใบหน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาชั่วร้ายแทบจะมีคมมีดหลุดออกมาบั่นคอของนาง หลิวอี้เฟยใจสั่นรู้สึกว่าตนเองพลาดไปอีกครั้ง แต่ปากก็ได้หลุดพูดไปแล้ว นางเองก็ไม่อาจลบคำพูดนั้นออกไปได้จึงได้แต่ทำใจกล้าหาญเอ่ยต่อ "ท่านปล่อยข้าได้หรือไม่ จากนั้นพวกเราไปเข้าเฝ้ากันเถิดนะ ไปเร็วเข้าอย่าเสียเวลาอีกเลย" นางยังโกหกต่ออย่างหน้าด้านโดยใช้เขาเป็นโล่กำบัง ซุนป๋อเหวินไม่คิดว่าสตรีร่างเล็กท่าทางขี้ขลาดนางนี้จะกล้าหาญเช่นนี้ เขาหรี่ตามองนางในใจรู้สึกสนใจนางขึ้นมาเล็กน้อย "ก็ได้ พวกเราไปเข้าเฝ้ากัน" จู่ ๆ เขาก็ตอบรับทั้ง ๆ ที่บัดนี้เขาและนางดูเหมือนกำลังยื้อยุดกันอยู่ที่อุทยานหลวง สถานที่แห่งนี้เป็นที่โล่งแจ้ง มีขันทีและนางกำนัลมากมายเดินผ่านไปมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ซุนป๋อเหวินยังไว้หน้าให้นางอยู่บ้าง หลิวอี้เฟยถูกบังคับด้วยสายตาให้เดินตามเขาไปแม้จะกลัวแต่ยามนี้ก็ไร้หนทางหลบเลี่ยงแล้ว ทว่าเมื่อหันไปพบคนของตนเองที่บัดนี้ถูกสั่งให้คุกเข่ารวมกับนางกำนัลของหลิวอี้เฟยจึงเอ่ยว่า "ปล่อยคนของข้าไปก่อนได้หรือไม่" เหมยลี่เป็นเพียงนางกำนัลตัวเล็กผู้หนึ่ง เดิมทีก็ไม่อยู่ในสายตาของซุนป๋อเหวินอยู่แล้วเขาจึงพยักหน้าเป็นการบอกให้อู๋ทงปล่อยนางกำนัลเหมยลี่ไป เหมยลี่ลุกขึ้นจัดชุดสีเขียวอ่อนของตนเองจนเรียบร้อยท่ามกลางความตกตะลึงของนางกำนัลขององค์หญิงสิบ ด้วยไม่คิดว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ เหมยลี่เดินตามองค์หญิงสิบเอ็ดไปอย่างช้า ๆ แต่ถูกอู๋ทงขวางเอาไว้เอ่ยเสียงต่ำ "เจ้ากลับไปรอองค์หญิงที่ตำหนักเถิด" เหมยลี่ได้แต่มองตามร่างเล็กขององค์หญิงที่เดินตามซุนป๋อเหวินไปอีกทางโดยที่เหมยลี่เองก็เข้าใจว่าหลิวอี้เฟยกับซุนป๋อเหวินคงรู้จักกันจริง ๆ นางกำนัลตัวน้อยจึงพยักหน้าไม่คิดสงสัยว่าองค์หญิงของตนจะได้รับอันตรายอันใด "เจ้าค่ะ" เหมยลี่หมุนกายเดินจากไปโดยไม่ลืมหันมามองคนที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยดวงที่แสดงออกถึงความสะใจอย่างชัดเจน อู๋ทงเอ่ยเสียงดัง "พวกเจ้าทั้งหมดคุกเข่าอยู่ตรงนี้ ห้ามลุกขึ้นจนกว่าจะครบสามชั่วยาม" "สะสามชั่วยาม ท่านองครักษ์จะไม่โหดร้ายเกินไปหรือเจ้าคะ โปรดยกโทษให้พวกเราด้วย ท่านองครักษ์ต่อไปพวกเราไม่กล้าอีกแล้ว" อู๋ทงเพียงแต่ตวัดสายตาเย็นชาออกมา สายตาของเขาคล้ายจะบอกว่าข้าไม่สั่งโบยพวกเจ้าให้หลังหักตามกฎวังหลวงก็นับว่าปรานีแล้ว ท่าทางนี้ของอู๋ทงทำให้คนเข้าใจโดยพลัน ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ปาดน้ำตาก้มหน้าลงบนพื้น อู๋ทงแสยะมุมปากยิ้มเย็นก่อนที่จะก้าวเท้าเร็วเดินตามนายของตนและองค์หญิงผู้นั้นไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม