แผนการที่แยบยลและแยบยลกว่า

4210 คำ
ณ ลานอเนกประสงค์ ห้างสรรพสินค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต สถานที่จัดงานประมูลของรักคนดัง ในธีมทุ่งดอกไม้สีสันสดใส เพื่อร่วมสมทบทุนให้กับ 20 มูลนิธิ โดยภายในงานมีทั้งดารา นักแสดง นักร้อง รวมไปถึงเหล่าลูกหลานไฮโซจากวงการบันเทิงและธุรกิจ ให้ความสนใจนำของรักของตนเข้าร่วมประมูลกันเป็นจำนวนมาก “สวัสดีค่ะ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งานประมูลของรักคนดังประจำปี 2555 และเช่นเคยโต้โผใหญ่ในการจัดงานการกุศลครั้งนี้ ก็คือ คุณชัชวาล เกียรติพิทักษ์วรกุล ประธานบริษัทนำเข้ารายใหญ่เคพีวีเค แต่ที่พิเศษสำหรับปีนี้ก็คือ คุณชีวิน และคุณชวิน บุตรชายของท่านจะร่วมนำของมาประมูลในครั้งนี้ด้วย โดยรายได้ทั้งหมดแบบไม่หักค่าใช้จ่ายจะบริจาคให้กับ 20 มูลนิธิค่ะ...” เสียงเจื้อยแจ้วของพิธีกรสาว รวมทั้งการปรากฏตัวของ 2 หนุ่ม เรียกความสนใจจากผู้ร่วมงานและผู้ที่เดินผ่านไปมาได้เป็นอย่างดี ยกเว้นก็แต่ตัวแทนมูลนิธิเด็กกำพร้าที่ชื่อบัวบก กับหนุ่มสาวคู่หนึ่งซึ่งตั้งใจเข้ามาในงานนี้โดยเฉพาะ แต่มัวง่วนอยู่กับการถกเถียงกันเอง “ทำไมนายจะต้องให้ฉันเป็นคนประมูลด้วย นายต่างหากที่เป็นคนชวนฉันมา ลืมแล้วหรือไง !” อริศราชี้นิ้วจิ้มไปที่หน้าอกของธนูด้วยความโมโห หลังจากที่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับเธอที่บ้าน พามาที่งาน และบอกให้เธอเป็นคนประมูลหมวกแก๊ปของชวินมาให้เขา “ใช่ ! ฉันเป็นคนชวน เธอก็แค่ช่วยฉันหน่อย แค่ประมูลของแค่นี้มันเสียหายอะไรตรงไหน” ธนูสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อทุกอย่างเริ่มไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ...วันนี้เขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาว – กางเกงยีนส์ - รองเท้าผ้าใบ และแปลกตาด้วยแว่นสีชาสำหรับพรางใบหน้า เช่นเดียวกับอริศราซึ่งเขาจ้างช่างแต่งหน้าทำผมไปเปลี่ยนลุคให้เธอถึงบ้าน ก่อนหน้าที่เขาจะพาเธอมาที่นี่ แล้วดูเธอทำกับเขาสิ ! “ก็แล้วทำไมนายไม่ประมูลเองล่ะ กลัวคนหาว่าเป็นเกย์หรือไง แล้วดูแต่งตัวซิเนี่ย ใส่แว่นซะแก่อย่างกับมาเป็นผู้ปกครองฉันอย่างนั้นแหละ จะให้เขานินทาว่าฉันมีเสี่ยเลี้ยงใช่ไหม !” เธอทำท่าจะดึงแว่นเขาออก แต่กลับถูกธนูปัดมือทิ้ง “ยุ่งน่า ! ฉันจำเป็น พ่อฉันอยากได้หมวกหมอนั่น เธอคิดว่าคนอย่างฉันอยากมางานนี้มากหรือไง ให้ตายเถอะ ! อยู่บ้านให้กองหนังสือสอบทับตายซะยังดีกว่า” ธนูตอบเซ็งๆ แล้วหวนนึกไปถึงคำสั่งของพล.ต.ต.เกรียงไกรผู้เป็นพ่อเมื่อหลายวันก่อน “แกต้องหาหลักฐานมาให้ได้มากกว่านี้ ตระกูลนี้เป็นตระกูลใหญ่ มีชื่อเสียง แล้วก็มีบารมีพอจะเอาแกเข้าคุกฐานหมิ่นประมาทได้สบายๆ ต่อให้แกเป็นลูกฉันก็เถอะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือ จับให้ได้คาหนังคาเขานั่นแหละ ถึงจะดิ้นไม่หลุดล่ะ !” นั่นคือ สิ่งที่พ่อบอกเขา หลังจากได้รับหลักฐานทั้งหมดที่เขาอุตส่าห์หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ถึงมันจะไม่ได้แปลว่าพ่ออยากได้หมวกของหมอนั่น แต่มันก็คือ 1 ในแผนการที่เขาวางไว้แหละน่า เขาไม่ได้หาเรื่องป้ายสีใส่ความพ่อสักหน่อย ! “พ่อนายจะเอาหมวกคุณชวินไปทำอะไร ?” อริศราอดสงสัยไม่ได้ “เอาน่า ! อย่าพึ่งถามอะไรมากเลย เราเข้าไปนั่งกันก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันโทรตามยัยหวานมาช่วยเธออีกแรงก็ได้... นะ ช่วยฉันหน่อย” ธนูจับไหล่ทั้ง 2 ข้างของอริศรา พร้อมกับมองเธอสายตาวิงวอน จนหญิงสาวต้องมนต์เผลอพยักหน้าหงึกๆ ไม่รู้ตัว “ขอบใจมากอ้อ ถ้างั้นเราไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ” เขาจับมือเธอเขย่า สีหน้าดีใจสุดชีวิต ก่อนจะรีบดึงมือหญิงสาวพาไปหาที่นั่งภายในงาน โดยพยายามอยู่ห่างจากเวที เพื่อไม่ให้เป้าหมายจดจำได้ถนัดตา ก็เหมือนกับที่เขาลงทุนควักกระเป๋าเปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าผมให้เธอใหม่นั่นแหละ วันนี้อริศราอยู่ในชุดเดรสลายริ้วสีชมพู แบบผ่าหน้าและคาดเข็มขัดซึ่งทำจากเปลือกหอยเล็กๆ ใบหน้ารูปไข่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางอ่อนๆ ผมยาวดำขลับม้วนเป็นลอนใหญ่ๆ เรียบง่าย แต่กลับช่วยให้เธอดูโดดเด่นขึ้นกว่าวันปกติ อย่างที่ทำให้บรรดาหนุ่มๆ รอบข้างพากันหันมามองเป็นตาเดียว ...จะมีก็แต่เขานั่นแหละ อีตาบ้าธนู ! เอาแต่นั่งโทรศัพท์ ไม่สนใจเธอเลย “อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าให้สวยแล้วกัน มีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง บ้านก็อยู่ใกล้แค่นี้ไม่ใช่เหรอ คำนวณเอาเองนะว่ามีเวลาทำอะไรเท่าไหร่” ธนูบอกน้ำหวาน แล้วกดปุ่มตัดสาย แต่แทนที่เขาจะหันมาคุยกับอริศรา ชายหนุ่มกลับเอาแต่จ้องชวินซึ่งยืนยิ้มเท่อยู่บนเวที ...หมวกแก๊ปสีดำใบเก่งอันเป็นเป้าหมายของเขากำลังจะถูกนำมาประมูลแล้วในไม่กี่วินาทีนี้ ! ! “คุณชวินบอกว่าราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 200 บาทค่ะ... อ๊ะ ! คุณน้องตรงนั้นชูนิ้วบอกให้ 300 มีใครให้ราคาสูงกว่านี้ไหมคะ ?” “400 เลยอ้อ !” “เอ่อ... จ้ะ” อริศรารับคำ แล้วรีบยกมือชู 4 นิ้วตามที่เขาสั่ง “น้องผู้หญิงตรงนั้นสู้ราคาเป็น 400 นะคะ อ๊าย ! ทางโน้นเพิ่มเป็น 500 แล้วค่ะ มีใครจะสู้ราคานี้อีกไหมคะ ” “650 ไปเลย !” เขาบอกเพื่อนสาวอีกครั้ง และอีกหลายครั้ง จนกระทั่ง... “บอกไปเลยว่า 3,000 !” ธนูสั่งฉุนๆ เมื่อฝ่ายตรงข้ามสู้ราคาไม่ยอมถอย “ธนู ! เอาจริงเหรอ ! ?” อริศราถามย้ำแบบอึ้งๆ แล้วชะงักไปกับแววตาจริงจังภายใต้กรอบแว่นของเขา เธอเริ่มสัมผัสได้ว่าการประมูลครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว “โอ้โห ! น้องผู้หญิงทุ่มทุนสร้าง เพิ่มราคาเป็น 3,000 เลยค่ะ ทางนั้นสู้ไหมคะ ? นับหนึ่ง นับสอง นับสาม... ค่ะ ! ปิดประมูลที่ราคา 3,000 บาทเลยนะคะ สำหรับหมวกแก๊ปใบเก่งของคุณชวิน” พิธีกรสาวขึ้นเสียงสูงปานกระดิ่งด้วยความตื่นเต้น แล้วแจ้งให้เจ้าหน้าที่นำเอกสารไปให้อริศราเซ็น เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันสำหรับการส่งมอบเงินและของรักที่ประมูลได้ในตอนท้ายของการประมูล ตามธรรมเนียมในงานนี้ “เดี๋ยวท้ายงาน เธอกับยัยน้ำหวานขึ้นไปรับของนะ ฉันจะถ่ายรูปให้” เขาเอียงตัวไปกระซิบแข่งกับเสียงประกาศและเสียงปรบมือภายในงาน ทำเอาอริศราอดหน้าแดงไม่ได้ การประมูลยังคงดำเนินต่อไป จนถึงเวลามอบของให้กับผู้ที่ประมูลได้ แต่แล้วแผนการของธนูก็เริ่มรวนอีกครั้ง เมื่อน้ำหวานยังเดินทางมาไม่ถึงตามที่นัดไว้ “เธออยู่ไหนเนี่ย นี่มันผ่านมาตั้งชั่วโมงครึ่งแล้วนะ ถ้าอีก 5 นาทียังไม่ถึง เธอกลับบ้านไปได้เลย !” ธนูโทรศัพท์ตามน้ำหวาน แต่ปลายสายก็มีเสียงแทรกตลอดเวลา ฟังไม่ได้ศัพท์ จนเขาต้องตัดสายทิ้ง “ไม่เป็นไรหรอก ฉันขึ้นไปรับของคนเดียวก็ได้” อริศราบอกธนู จากท่าทางเครียดๆ และจริงจังของเขา ทำให้เธอรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญ เธอเข้าใจแล้วและยินดีช่วยเขาเต็มที่ “ขอบใจนะอ้อ วันหลังถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกนะ” ธนูยิ้มออก เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงประกาศเรียกของพิธีกรสาวบนเวทีดังขึ้น ทั้งคู่จึงจำต้องรีบลุกออกไป อริศราขึ้นไปบนเวที ส่วนธนูยืนถือกล้องถ่ายรูปอยู่ข้างล่าง ตาจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา แต่แล้วระหว่างที่ชวินกำลังจะมอบหมวกแก๊ปให้อริศรานั้นเอง... “รอด้วยค่ะ รอด้วย ยังขาดคนรับอีกคนค่ะ รอก่อนค่ะ ! !” น้ำหวานสาวหมวยร่างเล็ก เจ้าของผมหยักศกยาวเคลียบ่า ในชุดเสื้อยืดรัดติ้ว - กระโปรงยีนส์สั้นจู๋ แหวกฝูงชนเข้ามา แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ขึ้นไปบนเวที ธนูก็เข้ามาดึงแขนไว้เสียก่อน “เดี๋ยวก่อน !” “นี่ ! ตาบ้า ปล่อยฉันนะยะ ฉันมาทันเวลาพอดี ไม่เห็นหรือไง” หญิงสาวโวยวายเสียงดังจนธนูแทบกุมขมับ “ฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้เธอขึ้นไป แต่หน้าตาเธอตอนนี้ ขึ้นไปก็มีแต่จะอายเขาเปล่าๆ มาสคาร่าไหลลงมาเลอะเทอะอย่างกับจะไปเล่นงิ้วที่ไหน ไม่รู้ตัวหรือไง ทำไมไม่ใช้ยี่ห้อที่มันทนๆ กว่านี้ !” เขากัดฟันพูดไม่ให้เสียงตัวเองดังไปเข้าหูชวิน พร้อมกับลงทุนล้วงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมาเช็ดเหงื่อ และเครื่องสำอางออกให้น้ำหวาน ทำเอาคนทั้งงานอึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะอริศราและน้ำหวาน “เอ้อ... ขอบใจนะ” น้ำหวานหน้าแดง รีบผละไปขึ้นเวทีรับของคู่กับอริศรา ในสภาพที่เครื่องสำอางลบออกหมด เหลือเพียงรองพื้นที่เธอบรรจงทามาอย่างหนา และนั่นเองที่ทำให้ใบหน้าของเธอขาวซีดราวกับพึ่งลุกขึ้นมาจากหลุม ทำเอาคนทั้งงานพากันยืนอ้าปากค้างไปอีกรอบ ยกเว้นก็แต่ธนูเท่านั้นที่ลอบยิ้มอย่างพึงพอใจในผลงาน... แน่ล่ะ ! เพราะความจริงแล้วมาสคาร่าของน้ำหวานนั้นติดทนดีถึงดีมาก เพียงแต่คลีนซิ่งเช็ดเครื่องสำอางบนผ้าเช็ดหน้าของธนูทรงประสิทธิภาพกว่ามากนัก และเมื่อน้ำหวานได้เห็นรูปถ่ายของตัวเอง จากฝีมือการถ่ายภาพของธนูซึ่งเขาฝากอริศรามาให้ในวันรุ่งขึ้น “กรี๊ดดด ! ! ไอ้บ้าธนู เช็ดเครื่องสำอางฉันออกหมดเหลือแต่รองพื้น แถมยังปล่อยให้ฉันเดินหัวฟูขึ้นไปให้คุณชวินดูด้วย คนอุตส่าห์รีบซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างมา ยังจะมาประจานกันอีก” หญิงสาวกรีดร้อง โวยวายลั่นห้องเรียนบนตึกคณะนิติศาสตร์ จนบรรดาเพื่อนนักศึกษาทั้งในและนอกห้องพากันหันมามองเป็นตาเดียว เพราะนึกว่ามีผู้ป่วยลมบ้าหมูกำเริบอยู่ในกลุ่มนักศึกษาด้วย “ธนูเขาฝากมาบอกหวานด้วยว่า พรุ่งนี้จะเอาหมวกคุณชวินมาให้เป็นการไถ่โทษ” อริศราปลอบเพื่อนสาว ด้วยคำพูดที่ทำให้น้ำหวานเงียบเสียงลงได้ ถึงอย่างนั้นก็ยังมิวายบ่นกระปอดกระแปด “กะเอาของมาล่อฉันเลยนะ แล้วทำไมต้องเป็นพรุ่งนี้ด้วย กลัวว่าโผล่มาวันนี้แล้วฉันจะด่าเปิดเปิงงั้นสิ แต่จะว่าไปพักหลังตาบ้าธนูขาดเรียนบ่อยว่าไหมอ้อ ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยปิดโดนไล่ออกไปแล้ว ใกล้สอบแท้ๆ” เธอส่ายหน้าเหมือนระอาๆ กับพฤติกรรมของอีกฝ่าย “เขาคงมีธุระสำคัญล่ะมั้ง” อริศราเท้าคางตอบพลางครุ่นคิดถึงธนู และสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ด้วยความเป็นห่วง   ขณะที่อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ภายในห้องประชุมตึกกองปราบปราม ความเคร่งเครียดกำลังก่อตัวขึ้นช้าๆ ทั้งในสมองและบนใบหน้าของผู้เข้าร่วมการประชุม โดยเฉพาะกับคนที่นั่งเป็นประธาน “แกรู้ได้ยังไงว่ามันจะออกปฏิบัติการคืนนี้ ทั้งที่พวกมันไม่มีความเคลื่อนไหวมาตั้ง 4 วันแล้ว” พล.ต.ต.เกรียงไกรจ้องหน้าลูกชายซึ่งเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย ไม่สิ ! จะเรียกว่าการประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะเขาก็คงจะไม่ผิด “เพราะเมื่อเช้าคนพวกนั้นมีความเคลื่อนไหวครับ” ธนูเว้นวรรคนิดหนึ่ง แล้วขยายคำพูดของตัวเองต่อ “สัญลักษณ์ที่บอกว่าคนพวกนั้นจะออกปฏิบัติการ ก็คือ กล้องวงจรปิดตามถนน ผมเช็คมาแล้วว่า เมื่อเช้ามีการตรวจซ่อมกล้องวงจรปิดบนถนนสุขุมวิท โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่รู้เรื่อง คาดว่าเป็นสมาชิกแก๊งทำทีเป็นเจ้าหน้าที่และจัดการทำอะไรบางอย่างกับกล้อง เป็นแบบนี้ทุกครั้ง พวกเราจึงไม่สามารถจับภาพคนพวกนั้นจากกล้องวงจรปิดได้เลย” เหตุผลของธนูฟังดูน่าสนใจ จนเกือบทุกคนในที่ประชุมพากันพยักหน้าหงึกหงัก “แกแน่ใจนะธนู ?” พล.ต.ต.เกรียงไกรมิวายถามย้ำ “ผมคาดการณ์ด้วยวิธีนี้ แล้วก็เจอคนพวกนั้นทุกครั้ง รูปพรรณสัณฐานตรงกับที่ผมเห็น รวมทั้งรูปที่ผมมี” ธนูตอบขรึมๆ อย่างเป็นงานเป็นการ หากแต่คนเป็นพ่อก็ยังคงถามต่อไป ราวกับไม่ไว้วางใจในตัวจอมกะล่อน “แล้วที่แกบอกว่าคนพวกนั้นใช้รถติดป้ายทะเบียนปลอม แกรู้ได้ยังไง ?” เป็นคำถามที่ 2 จากประธานและผู้เป็นพ่อ “มันเป็นทะเบียนประมูลของรถ ส.ส.ครับ และลักษณะรถแต่ละคันก็คล้ายกัน ที่สำคัญคือ ส.ส.เหล่านี้ถูกปล้นทรัพย์จากแก๊งนี้มาหมดแล้ว ถ้าใช้วิธีนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าตำรวจจะเรียกตรวจ” คำตอบของธนูยังคงเรียกอากัปกิริยาพยักหน้าหงึกหงัก จากผู้เข้าร่วมประชุมได้เช่นเคย “แล้วรู้หรือเปล่าครับว่าคืนนี้พวกนั้นวางแผนจะปล้นใคร ?” ผู้กองภูผาเป็นฝ่ายถามบ้าง หลังจากค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าข้อมูลของธนูเชื่อถือได้ “คอนโดของส.ส.ณวัฒน์ครับ ผมเช็คแล้วว่าคืนนี้ท่าน ส.ส.จะไปพักที่นั่น แล้วเมื่อตอนสายที่คอนโดก็มีเจ้าหน้าที่บริษัทกล้องวงจรปิดมาตรวจเช็คประจำปี รูปพรรณสัณฐานเดียวกับพวกที่ไปป้วนเปี้ยนกล้องวงจรปิดบนถนนเส้นนั้น” และดูเหมือนหลักฐานต่างๆ ที่พรั่งพร้อม จะสามารถเรียกความเชื่อมั่นจากประธานในที่ประชุมจนได้ในที่สุด “ดี ! งั้นจากนี้จะเป็นการประชุมวางแผน คืนนี้เราต้องจับคนพวกนั้นให้ได้” พล.ต.ต.เกรียงไกรกวาดตามองทุกคนในที่ประชุม สีหน้าเคร่งเครียด “ผมคิดว่าผมมีวิธีครับ” คำพูดของธนูทำให้ทุกคนหันไปจ้องหน้าเขา   และแล้วช่วงเวลาแห่งความมืดมิดก็เข้าแทนที่ นาฬิกายังคงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรงและสม่ำเสมอ กระทั่งถึงเวลานั้นที่ทุกคนรอคอย ไฟตรงหน้าต่างคอนโดดับลงทีละดวงจนเกือบหมด เป็นเสมือนสัญญาณเตรียมพร้อมของทั้ง 2 ฝ่าย ปฏิบัติการครั้งนี้กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ! ! กริ๊ก ! เสียงปลดล็อคประตูห้องบนคอนโดมิเนียมหรูของ ส.ส.ณวัฒน์ดังขึ้น ในยามที่นาฬิกาแขวนผนังบอกเวลาเที่ยงคืนตรง ถึงอย่างนั้นคนในห้องก็ยังนอนสบายอยู่ภายใต้ผ้านวมหนานุ่ม โดยไม่รู้ว่าบัดนี้แขกไม่ได้รับเชิญทั้ง 5 กำลังย่างกรายเข้ามาใกล้... ใกล้เข้ามาทุกที “อะแฮ่ม ! สวัสดียามดึกครับท่าน ส.ส.” ชวินเดินมาหยุดที่หัวเตียง พร้อมกับเอ่ยคำทักทายปลุก แต่ ส.ส.หนุ่มก็ยังนอนเฉย “ผมรู้ว่าท่านไม่ได้หลับ ยังไงลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอแบบนั้น ก็หลอกผมไม่ได้หรอก กำลังอกสั่นขวัญแขวนอยู่หรือไง ทีเวลาโกงชาติบ้านเมือง ทำไมไม่รู้สึกหวาดกลัวเวรกรรมตามทันบ้างเล่า เอาล่ะ ! ลุกขึ้นมาได้แล้ว” ชายหนุ่มเอาปืนจ่อไปที่ศีรษะของชายคนที่นอนอยู่บนเตียง แต่แล้ว... “หยุดอยู่แค่นั้นแหละ พวกแกถูกล้อมจับแล้ว !” ตำรวจนอกเครื่องแบบในชุดดำนับสิบนาย โผล่ออกจากที่ซ่อนด้านหลังเฟอร์นิเจอร์แต่ละชิ้น มือถือปืนเล็งมาที่คนทั้ง 5 แต่ก็หาได้มีใครหวั่นเกรงไม่ “ยิงสิ ! แลกกับชีวิตของไอ้ ส.ส.โกงชาติคนนี้ มันก็คงจะคุ้มล่ะมั้ง” ชวินยิ้มท้า เปิดโอกาสให้มือในผ้าห่มค่อยๆ โผล่ออกมาตะครุบข้อมือของชายหนุ่ม แล้วจับบิดอย่างเร็วจนปืนของเขาหลุดจากมือ “โอ๊ยยย ! !” “ขอโทษทีนะ เผอิญฉันไม่ใช่ ส.ส.โกงชาติ” ภูผาลุกพรวดขึ้นนั่ง มือข้างเดิมยังคงจับข้อมือชวินบิดอย่างแรง ขณะที่มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบปืนที่ตกอยู่บนผ้าห่ม แต่แล้วในสถานการณ์ที่เหมือนกำลังได้เปรียบอยู่นั้นเอง “ดึงผ้าห่มมาปิดหน้าไว้ !” บัวบกร้องบอกชายหนุ่มหัวหน้าแก๊ง แล้วดึงหลอดยาเล็กๆ ที่เอวออกมา กระชากจุกออก วาดมือซัดผงในนั้นใส่บรรดาตำรวจภายในห้อง “เสียใจด้วย ! ลูกน้องของฉันไม่หลงกล สูดผงยานอนหลับของเธอเข้าไปหรอก” ภูผาดึงผ้าปิดจมูกขึ้นมาป้องกันตัวเองจากผงยาที่ฟุ้งเข้ามา เช่นเดียวกับลูกน้องทั้งหมด ซึ่งได้รับการบอกกล่าวจากธนูแล้ว “คนที่จะต้องเสียใจคือคุณตำรวจต่างหาก เพราะนี่ไม่ใช่ผงยานอนหลับแต่เป็นผงยาชา แค่ฟุ้งไปโดนผิวหนังส่วนใดส่วนหนึ่ง มันก็จะออกฤทธิ์ทันที” บัวบกยิ้มเยาะ “ว่า... ไง... นะ ! !” ภูผาเบิกตากว้าง คำพูดขาดช่วงจากอาการชาบนใบหน้า ที่เริ่มลามไปยังส่วนอื่นของร่างกายจนปืนหลุดจากมือ ไม่ต่างอะไรกับตำรวจคนอื่นๆ ภายในห้อง “ชิ ! วันนี้ฤกษ์ไม่ดี กลับกันก่อนแล้วกัน” ชวินโยนผ้าห่มที่ใช้คลุมตัวทิ้ง หักมือเล็กน้อย และไม่ลืมที่จะหยิบปืนพกของตัวเองคืนมาจากภูผา ก่อนจะเดินนำลูกน้องทั้ง 4 ออกไปอย่างใจเย็น “หน่วยหนึ่ง... เรียก.... หน่วยสอง เป้าหมาย... ผ่าน... ไปได้ เตรียม... กำลัง... ให้พร้อม... ด้วย !” ภูผาวิทยุบอกลูกน้องอีกหน่วยอย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นก็ยังพยายามพยุงร่างกายที่ราวกับกำลังเป็นอัมพาตตามคนทั้งหมดออกไป แต่ครั้นพอลงลิฟต์ไปถึงจุดตั้งรับของหน่วยที่ 2 “ปะ... เป้าหมาย... หนี... กลับขึ้นไป... ทาง... บะ... บันได... หนี... ฟะ... ไฟ... ครับ” หัวหน้าหน่วยสองรายงานตะกุกตะกักจากฤทธิ์ยาชาที่ได้รับ ซึ่งส่งผลให้ตำรวจทั้งหน่วยล้มนอนระเนระนาด และไม่สามารถปฏิบัติงานได้สำเร็จตามแผนที่วางไว้ “ต้องกลับ... ขึ้นไป... ข้างบน... อีกแล้ว... เหรอเนี่ย” ภูผาเดินเกาะผนังกลับไปที่ลิฟต์ แต่ก็ต้องหัวเสียสุดขีด เมื่อพบว่าลิฟต์ทุกตัวถูกตัดไฟ จนไม่สามารถใช้การได้ “บ้าเอ๊ย !” ผู้กองหนุ่มทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดสิ้นหนทาง เนื่องจากอาการชาซึ่งยังคงทวีความรุนแรงกับทุกส่วนของร่างกาย ทำให้เขาไม่อาจตามคนพวกนั้นขึ้นไปทางบันไดหนีไฟได้ ขณะเดียวกับ บนดาดฟ้าคอนโดมิเนียม ซึ่งถูกสร้างให้เป็นสระว่ายน้ำหรูหรา สำหรับสมาชิกกระเป๋าหนักผู้พักอาศัยทั้งหลาย และบัดนี้มีบุคคลผู้ไม่ประสงค์ออกนามกำลังขึ้นมาใช้บริการแทน “นายจะบ้าหรือไง แทนที่จะออกจากที่นี่ไปเอารถ กลับให้ขึ้นมาบนนี้อีก แล้วที่นี้จะกลับกันยังไง !” ลิชลโวยวายใส่ชวิน “รถเดี๋ยวฉันให้คนของฉันไปเอาให้ ตอนนี้เราจะออกจากที่นี่ด้วยแผนสอง หรือนายรู้ล่ะว่าข้างนอกมีตำรวจรอเราอยู่กี่หน่วย ?” หัวหน้าแก๊งหนุ่มตอบขรึมๆ พลางกดโทรศัพท์มือถือส่งสัญญาณให้ใครบางคน “แผนสองอะไร พวกฉันไม่เห็นรู้เรื่อง อย่าบอกนะว่าคุณระแคะระคายอยู่แล้วว่า ตำรวจจะมารอจับพวกเรา” บัวบกถามชวินเสียงขุ่น “ถ้าฉันไม่คิดยาชานั่นขึ้นมาใช้ วันนี้พวกเราคงได้ไปนอนห้องขังแล้ว !” “ปลายทางของคนที่ริอ่านเป็นโจร สุดท้ายมันก็คือห้องขังอยู่ดี... พวกนายว่าไหม” เสียงแปลกปลอมที่ดังมาจากอีกฝั่งของสระว่ายน้ำ ทำเอาสมาชิกแก๊งทุกคนหันขวับไปมองเจ้าของเสียงที่กำลังนั่งยิ้มกริ่มอยู่บนเตียงผ้าใบ ภายใต้เงามืดของร่มสีสดที่ถูกความมืดกลืนจนเป็นสีเดียวกัน “แกไม่ใช่นักข่าว แต่เป็นสายให้ตำรวจงั้นสินะ” ชวินจ้องหน้าธนู ซึ่งอยู่ในชุดสูทขาวเป็นเอกลักษณ์ “ฉันอาจจะเป็นแค่พลเมืองดีล่ะมั้ง จริงไหมลัคกี้ ?” ธนูหันไปลูบหัวสุนัขอัลเซเชี่ยนที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ แต่นั่นเหมือนเป็นสัญญาณให้มันลุกขึ้นเตรียมพร้อมทำหน้าที่ “เอาล่ะ ! จำกลิ่นได้ใช่ไหม ลองดูซิว่ามีเจ้าของหมวกนั่นอยู่ในกลุ่มคนพวกนี้หรือเปล่า Go !” สิ้นคำสั่งของชายหนุ่ม เจ้าสี่ขาสัตว์เลี้ยงของเขาซึ่งถูกฝึกมาแบบสุนัขตำรวจ ก็พุ่งกระโจนอ้อมสระว่ายน้ำไปหากลุ่มของชวินทันที “คิดจะทำอะไร ! ?” ชวินถอยหลังกราด เมื่อเห็นว่ามันวิ่งตรงมาทางเขา “คิดว่าแค่หมานี่จะหยุดฉันได้หรือไง !” “เปล่า ก็แค่อยากพิสูจน์อะไรนิดหน่อย” ธนูตอบยิ้มๆ แต่แล้วใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นนิ่งขรึมขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายชักปืนเล็งไปที่ลัคกี้ สุนัขตัวโปรดและตัวเดียวของเขา “นายจะทำอะไร ! ?” “อย่าคิดว่าฉันจะแสนดี ขนาดไม่กล้าป้องกันตัวหรอกนะ !” ชวินตอบ โดยที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่เจ้าตัวโตที่กำลังวิ่งใกล้เข้ามา เหมือนกับปืนในมือที่ยังคงเล็งไปที่เป้าเคลื่อนที่อย่างแม่นยำ “นั่นเขาไม่เรียกป้องกันตัวหรอก แต่เขาเรียกว่าร้อนตัวต่างหาก !” ปืนในมือธนูเล็งไปที่ปืนของเช่นกัน นาทีนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะไวกว่า ! ! ปังงงง ! ปืนในมือชวินกระเด็นตกลงไปในสระว่ายน้ำ จากแรงเตะของใครคนหนึ่ง โชคดีที่กระสุนไม่ได้ลั่นถูกใคร และนั่นก็เป็นสิ่งที่เจ้าของลูกเตะต้องการอยู่แล้ว “ทำบ้าอะไรของเธอ !... เฮ้ย ! ! โอ๊ยยย ! !” ชวินหันไปโวยวายใส่บัวบก แต่กลับถูกเจ้าสี่ขาของธนูกระโจนใส่ จนล้มก้นจ้ำเบ้าลงไปนอนอยู่ข้างสระ “แฮร่...” มันยืนเหยียบหน้าอกของชวิน และคำรามใส่เขาอยู่อย่างนั้น ราวกับโกรธแค้นในสิ่งที่เขาคิดจะทำกับมัน “ยืนเฉยกันอยู่ได้ ทำอะไรสักอย่างสิ !” ชวินร้องสั่งสมาชิกแก๊งด้วยความโมโห หัวเสียที่เห็นทุกคนเอาแต่ยืนงง... แล้วทำไมเขาจะต้องถูกมันเล่นงานอยู่คนเดียวด้วย ! “โทษที จะเอามันออกให้เดี๋ยวนี้แหละ” ขจรนักมวยผู้เงียบขรึมประจำแก๊ง เดินเข้ามาดึงปลอกคอเจ้าสี่ขาบนตัวชวิน แต่กลับถูกเจ้าของของมันยิงปืนขู่ ลูกกระสุนเฉี่ยวแขนเสื้อขาด... แค่แขนเสื้อเท่านั้น ! ! “ลัคกี้พอได้แล้ว กลับมานี่ !” ธนูเรียกสุนัขตัวโปรด ซึ่งมันก็ทำตามอย่างว่าง่าย “ยิงปืนเก่งเหมือนกันนี่ ไว้คราวหน้าเราค่อยมาดวลกันก็แล้วกัน นายไปแซะพรรคพวกของนายกลับ สน.จะดีกว่า ตัวคนเดียวแบบนี้จะไปทำอะไรได้ นี่ฉันเตือนด้วยความหวังดีนะ” ชวินยิ้มเย้ย สองหนุ่มจ้องหน้ากัน แววตากร้าว และยังคงเป็นชวินที่เอ่ยปากพูดอยู่ฝ่ายเดียว “หรือนายจะบอกว่าไม่ใช่ตัวคนเดียว แต่เป็น 1 คน กับอีก 1 ตัวต่างหาก” เงียบ... ไม่มีคำตอบใดออกมาจากปากของธนู ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่ง มือจับปืนพกสั้นที่เขาแอบหยิบของพ่อมาจากบ้าน ตาจ้องมองอีกฝ่ายที่กำลังงมปืนของตัวเองขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ กระทั่งวัตถุบางอย่างบนฟ้าแผดเสียงดังใกล้เข้ามา “ขอตัวก่อนนะ ถ้าโอกาสหน้าของนายยังมี เราคงได้พบกัน” ชวินหันมายิ้มเยาะอีกรอบ ก่อนจะเกณฑ์สมาชิกแก๊งไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ทางบันไดลิงที่ถูกหย่อนลงมาให้ เนื่องจากสถานที่ไม่อำนวยให้ลงจอด “เดี๋ยวเธอกับฉันต้องคุยกันนะ !” เขาบอกบัวบก ก่อนจะปีนบันไดลิงนำขึ้นไป ตามด้วยลิชล ขจร และประยุทธ์ ซึ่งปีนพลางหันรีหันขวางมองบัวบกที่ยืนกอดอกเฉย “เป็นอะไร ทำไมไม่ขึ้นมาล่ะ ?” เพื่อนหนุ่มร่างอ้วนร้องถาม “กุญแจฉันอยู่ในรถมอเตอร์ไซค์”  บัวบกตอบ สีหน้าบอกบุญไม่รับเช่นเคย เธอจะกลับมูลนิธิได้ยังไงถ้าไม่มีมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันนั้น “เถอะน่า ! ขึ้นมาก่อน เดี๋ยวฉันให้คนไปเอามาให้” ชวินตัดบท หน้าเครียดพอกันจนบัวบกต้องยอมทำตาม แต่แล้วระหว่างที่เธอ กำลังปีนบันไดลิงอยู่นั้นเอง ปังงง ! ปังงง ! ธนูยิงปืนใส่เฮลิคอปเตอร์ จนนักบินต้องบังคับเครื่องหลบ พลอยทำให้บันไดลิงแกว่งไปมาอย่างน่าหวาดเสียว “ไอ้บ้า ! ทำอะไรของแก” ชวินตวาดใส่ธนู แล้วคุกเข่ายื่นมือให้บัวบกที่ห้อยต่องแต่งอยู่ “ส่งมือมาสิ” “ขอบคุณ” บัวบกเอื้อมมือขึ้นไปจับมือชวิน แต่แล้วเสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้ง 2 นัดซ้อน ปังงง ! ปังงง ! “กรี๊ดดด ! !”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม