บทที่ 3 กะทันหัน

1885 คำ
เช้าวันนี้หลังจากอันซูเซี่ยกินข้าวเสร็จกงกงจากตำหนักพิธีการก็มาขอเข้าเฝ้าพร้อมกับแจ้งให้นางทราบว่าพรุ่งนี้ให้นางเตรียมเข้าพิธีสมรสกับฝ่าบาทและเตรียมเข้าพิธีแต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา “ไยจึงรวดเร็วเพียงนี้ ไม่สนใจคำทำนายแล้วหรือ” อันซูเซี่ยตกใจยิ่งนัก แม่นมเผิงกลับเอ่ยว่า “คำทำนายก็เป็นเพียงแค่ลมปากของโหรผู้หนึ่ง พวกเรารอมานานเพียงนี้ จะว่าเร็วได้อย่างไรเพคะ องค์หญิงรอกระทั่งบัดนี้เวลาล่วงผ่านมาเกือบจะครึ่งปีแล้วนะเพคะ ชุดเข้าพิธีตัดเย็บมาเนิ่นนานจนเก่าเต็มทน ท่านยังผ่ายผอมลงไปมากคงต้องได้วัดขนาดตัวกันใหม่” “จะเก่าได้อย่างไร ข้าเห็นท่านดูแลชุดนั้นเป็นอย่างดีทุกวัน” แม่นมส่งเสียงจิ๊ เมื่อองค์หญิงน้อยเอ่ยออกมา อันซูเซี่ยก้มหน้าหุบปากเสียสนิท อันที่จริงนางอยู่ตำหนักนี้คิดว่าตนเองมีชีวิตที่ไม่เลวนัก ถึงจะคิดถึงบิดามารดาอยู่มาก แต่สถานที่แห่งนี้ก็เหมาะสมน่าอยู่ยิ่ง นางยังได้ปลูกผักเลี้ยงสัตว์เล่นน้ำตกอย่างที่ใจต้องการโดยที่ไม่มีผู้ใดมาห้ามปราม ข้างนอกนั่นเห็นหรือไม่ ไก่ของนางออกไข่ให้นางเก็บแล้ว เพราะความรวดเร็วของพิธีการที่ต้องจัดขึ้น บัดนี้ภายในตำหนักเล็กของนางจึงคราคร่ำไปด้วยนางกำนัลชั้นสูงที่อยู่ในตำแห่งกูกูมาปรนนิบัติ “ก่อนอื่นต้องชำระพระวรกายก่อนเพคะ” อันซูเซี่ยมองสตรีที่อยู่รอบกายนางพลันใบหน้าแดงซ่าน “คนมากเพียงนี้หรือ เป็นแม่นมคนเดียวมิได้หรือ” แม่นมเผิงส่ายหน้า “ไม่ได้เพคะ คนพวกนี้ล้วนเป็นคนของกรมพิธีการ การชำระกายเพื่อรับตำแหน่งฮองเฮาและสวมใส่อาภรณ์เป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นเหมิง ไม่อาจทำแบบขอไปทีได้” อันซูเซี่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากเกินไปแล้ว นางจึงข่มความอายยอมให้กูกูสูงวัยเหล่านั้นรุมล้อมเพื่อชำระกายให้นาง และนี่เป็นคราแรกที่องค์หญิงเผยหน้าตาของตนเองให้ผู้อื่นได้ยลโฉม ที่แท้องค์หญิงผู้นี้มิใช่สตรีอัปลักษณ์แต่นับเป็นโฉมงานที่ไม่อาจหาสตรีใดเทียบเคียงได้ แม้แต่ซูเฟยผู้เป็นพระสนมรักของฝ่าบาทที่ขึ้นชื่อว่างดงามที่สุดก็ตาม อันซูเซี่ยแช่อยู่ในน้ำอุ่นมาเกือบชั่วยามจนรู้สึกว่าผิวของตนเองซีดไปหมดแล้ว กระทั่งเล็บของนางที่ไว้ยาวเล็กน้อยก็ยังถูกตัดจนสั้นสะอาดจากนั้นทาเคลือบด้วยน้ำมันดอกไม้สีชมพูสด “องค์หญิงบริสุทธิ์ผุดผ่อง ผิวพรรณของนางช่างเนียนนุ่มเป็นอย่างยิ่งเพคะ” เหล่ากูกูที่อาบน้ำให้บรรดาพระสนมมานับไม่ถ้วนยังเอ่ยปากชมไม่หยุด “หากจะว่ากันตามตรงแม้แต่พระสนมซูเมิ่งผู้งดงามยังไม่อาจเทียบเคียงได้เพคะ” คนที่กล่าววาจานี้ก็คือกูกูที่มีตำแหน่งอาวุโสที่สุด เพียงนางเอ่ยขึ้นกูกูผู้อื่นก็พลันหุบปากเสียสนิท จะมีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงพระสนมผู้เป็นใหญ่ในวังหลังผู้นั้นกันนอกจากกูกูที่เคยเป็นข้ารับใช้คนโปรดของไทเฮาผู้นี้ แม่นมเผิงอดที่จะเอ่ยถามมิได้ เนื่องจากนางเองก็ถูกขังอยู่ที่นี่พร้อมอันซูเซี่ยมาหลายเดือนแล้วเช่นกัน “พระสนมซูเมิ่งที่ท่านกล่าวถึง คงเป็นสนมคนโปรดของฝ่าบาทใช่หรือไม่” “ย่อมใช่ พระนางยังดำรงตำแหน่งอ้ายเฟยซึ่งคือตำแหน่งพระสนมอันดับหนึ่ง หากมิใช่ว่าแคว้นเหมิงมีสัญญาหมั้นหมายฝ่าบาทคงได้แต่งตั้งพระสนมซูเมิ่งเป็นฮองเฮาแล้ว” อันซูเซี่ยกลับไม่ได้คิดอิจฉาผู้ใด ตรงกันข้ามนางยิ่งโล่งอกที่ฮ่องเต้มีคนในใจหลังแต่งงานไปเขาจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับนางให้มากความ ถึงจะอยู่ที่นี่มานานแล้ว ทว่าอันซูเซี่ยวัน ๆ ก็ยุ่งอยู่กับการปลูกผักเลี้ยงไก่ ถึงนางมิได้ลงมือด้วยตนเองทว่าผู้สั่งการก็คือนางทั้งหมด นางจึงไม่ได้ศึกษาว่าฝ่าบาทพระองค์นี้มีสนมข้างกายจำนวนเท่าใด หลังจากชำระร่างกายเสร็จสิ้นเพียงยามโหย่ว[1] นางก็ถูกสั่งให้เข้านอนแล้ว โดยวันรุ่งขึ้นอันซูเซี่ยต้องถูกปลุกให้มาเตรียมตัวตั้งแต่ยามอิ๋น[2] แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกะทันหัน แต่อันซูเซี่ยถูกแม่นมเผิงสั่งสอนและให้นางทำใจเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นฮองเฮามานานหลายเดือนแล้ว ถึงหัวใจภายในจะเต้นระรัวเพราะในที่สุดนางก็จะได้พบพระพักตร์ฝ่าบาทเสียทีแต่นางก็ยังสามารถสงบใจได้กระทั่งยังนอนหลับสนิท อันซูเซี่ยแม้จะไร้เดียงสา แต่นางก็รู้ว่าฮ่องเต้ผู้นี้ไม่มีความเต็มใจที่จะแต่งงานกับนาง เพียงแต่ไม่อาจขัดแก่พระประสงค์ของอดีตฮ่องเต้ได้นางก็คงไม่มีวันถูกส่งตัวมาที่นี่ ในที่สุดพิธีอภิเษกสมรสก็จบลงแล้ว ช่างว่องไวรวดเร็วจนอันซูเซี่ยรู้สึกดีใจยิ่ง ทว่าคนที่ใบหน้าอึมครึมกับกลายเป็นแม่นมเผิงแม้ว่าบัดนี้นางจะย้ายมาอยู่ที่ตำหนักชุ่ยกงซึ่งเป็นตำหนักใหม่ใหญ่โตโอ่อ่าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กระนั้นแม่นมเผิงก็ยังคิดว่าไม่เพียงพอ เพราะตำหนักที่อันซูเซี่ยควรได้รับก็คือตำหนักซิงกงอันเป็นตำหนักใหญ่ที่สุดต่างหาก “นี่เรียกว่าพิธีอภิเษกฮองเฮาได้อย่างไรเพคะ กระทั่งงานของชาวบ้านยังใหญ่โตกว่าอีก” “ฝ่าบาทรับสั่งว่าต้องเรียบง่ายที่สุด เนื่องจากแดนสู่ของเราเป็นแดนสมถะ ไยต้องสิ้นเปลืองด้วยเล่าแม่นม ยามนี้ข้ายังได้แต่งตั้งเป็นฮองเฮาตามพระราชโองการแล้วแม่นมน่าจะพอใจมิใช่หรือ” แม่นมเผิงแทบจะลมจับ ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ยิ่งโกรธแค้น “ตำแหน่งฮองเฮาที่ไร้อำนาจเช่นนี้ยังต้องการหรือเพคะ ฝ่าบาทไม่มาไหว้ฟ้าดินกับองค์หญิงด้วยซ้ำ” “อย่าถือสาเลย ไหว้หรือไม่ไหว้คนใต้หล้าก็รู้แล้วว่าข้าคือฮองเฮา ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จพวกเราจะเคร่งเครียดไปไย” แม่นมเผิงอยากจะพุ่งศีรษะลงพื้นดินเสียจริง นางเสียใจว่าตนเองไยจึงได้เลี้ยงดูสตรีผู้นี้ให้เป็นคนดีจนเกินไป หากรู้ว่าองค์หญิงน้อยจะเติบโตขึ้นมาปล่อยวางทางโลกได้เพียงนี้แม่นมจะเคี่ยวเข็ญวิชาเห็นแก่ตัวให้องค์หญิงน้อยตั้งแต่แบเบาะเลยทีเดียว คิดว่าอย่างไรฝ่าบาทก็คงไม่เสด็จมาแล้ว กระทั่งคนจากตำหนักพิธีการกลับเข้ามาอีกครั้งแล้วบอกข่าวดีแก่แม่นมเผิง จะกล่าวเช่นนั้นก็คงไม่ถูกเมื่อเป็นข่าวดีของฮองเฮาต่างหาก “ฝ่าบาทจะเสด็จมาร่วมหอคืนนี้เพคะ ฮองเฮาต้องชำระกายอย่างสะอาดอีกครั้ง” “อาบน้ำอีกแล้วหรือ” อันซูเซี่ยถอนหายใจยาวออกมา แล้วบ่นเบา ๆ “ไยต้องอาบน้ำบ่อยเพียงนี้” “ฝ่าบาทเป็นโอรสสวรรค์ที่รักสะอาดมากเพคะ ก่อนจะบรรทมร่วมกับพระสนมทุกคนรวมทั้งฮองเฮาจำต้องมีกรมพิธีการมาคอยตรวจสอบ” อันซูเซี่ยทำหน้าไม่ถูกแล้ว นี่คนผู้นั้นเห็นนางสกปรกหรืออย่างไร แม่นมตื่นเต้นราวกับว่าวันนี้คนที่ต้องถวายตัวเสียความบริสุทธิ์ก็คือตนเองจึงเร่งถอดอาภรณ์ให้อันซูเซี่ยจากนั้นก็ประคองนางลงถังน้ำใหญ่ที่เต็มไปด้วยกลีบดอกไม้ร่ำน้ำอบหอมกรุ่น ร่างเล็กทว่าหน้าอกอวบใหญ่ถูกขัดถูจนนางรู้สึกว่าหนังตนเองกำลังจะถลอก ในยามที่ผ้าผืนนั้นของกูกูสัมผัสส่วนอ่อนไหวอันซูเซี่ยสังเกตตนเองว่าไม่มีความรู้สึกเหมือนวันนั้นที่นางสัมผัสตนเองที่น้ำตกเลยแม้แต่น้อย เสียวซ่านจนนางรู้สึกแปลกประหลาดไปทั้งกาย “ฮองเฮาหม่อมฉันรู้มาว่าที่แดนสู่ของพระองค์เรื่องระหว่างชายหญิงเป็นเรื่องน่าอับอายล้วนต้องสงวนไว้เป็นความลับของสามีภรรยาใช่หรือไม่เพคะ” อันซูเซี่ยผงกหัวรับ “เป็นเช่นนั้น” “ถ้าเช่นนั้นพระองค์ก็มิเคยเรียนรู้วิธีปรนนิบัติสามีก่อนออกเรือนมาเลยใช่หรือไม่” “อืม” อันซูเซี่ยก็เคยถูกสอนมาบ้าง คำสอนนั้นคือให้นางนอนเฉย ๆ ส่วนที่เหลือก็ให้สามีเป็นผู้กระทำ แต่จะกระทำสิ่งใดนั้นอันซูเซี่ยยังคงสงสัยมากระทั่งยามนี้แน่นอนว่านางไม่เคยออกปากถามผู้ใด เพราะเรื่องนี้ถูกห้ามให้กล่าวถึงในแดนสู่ซึ่งอยู่ใกล้แดนเซียนที่สุดของนาง ดูเหมือนว่ากูกูผู้นั้นจะยกมุมปากหยันเล็กน้อยนางคงคิดว่าสตรีไร้มารยาดึงดูดชายเช่นนี้คงมีโอกาสรับใช้ฝ่าบาทแค่วันนี้เท่านั้น ซึ่งหากมิใช่เป็นคำสั่งขององค์ไทเฮาที่สวรรคตไปแล้วและให้ฝ่าบาททรงรับปากเอาไว้พระองค์ก็คงไม่เสด็จมาเป็นแน่ หนึ่งชั่วยามต่อมาอันซูเซี่ยก็ถูกจับให้แต่งกายด้วยชุดสีแดงบางกระทั่งมองเห็นถันทั้งโยนีอวบอูมของนางที่มีขนอ่อนรำไรเหมือนขนเด็กได้อย่างชัดเจน อันซูเซี่ยเขินอายจนต้องใช้มือปกปิดเอาไว้ “ไยข้าต้องใส่ชุดนี้ด้วย” กูกูมองนางด้วยสายตาเป็นประกาย ในใจอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าอันซูเซี่ยงดงามเกินจะเอ่ย รูปโฉมเหนือสามัญอย่างแท้จริงนางซึ่งเห็นรูปร่างหน้าตาอันแท้จริงของสตรีวังหลังมาทั้งหมดก็ยังยอมรับว่าอันซูเซี่ยนางนี้มิเป็นรองผู้ใดซึ่งแน่นอนว่าช่างแตกต่างจากคำเล่าลือไปราวฟ้ากับเหว คำเล่าลือว่าคนแดนสู่มีตำแหน่งของใบหน้าที่บิดเบี้ยว ดวงตาอยู่ใกล้ริมฝีปากทำให้อัปลักษณ์ยิ่งนัก ทว่าเมื่อได้เห็นด้วยตาของตนเองทำให้กูกูถึงกับต้องขยี้ตาเพื่อมองซ้ำอยู่หลายเห็นเพราะตื่นตะลึงพรึงเพลิดในความงามของนาง กูกูยังอธิบายให้องค์หญิงได้เข้าใจอีกว่า “ไม่เพียงแค่ต้องใส่ แต่พระนางต้องนั่งกางขาอวดกลีบเนินโยนีของพระนางด้วยเพคะ ชุดนี้มีไว้เพื่ออวดเรือนร่างของสตรีในวันออกเรือนตามประเพณีของแคว้นเหมิง เพื่อทำให้ฝ่าบาททราเร่าร้อนและมอบโอรสสวรรค์เข้าสู่ครรภ์ของพระนาง” อันซูเซี่ยแทบจะสิ้นสติ นางจะนั่งกางขาในท่าทางที่ไม่ชวนมองอวดบุรุษที่เพิ่งพบหน้ากันเป็นครั้งแรกด้วยเหตุใด เช่นนี้ให้นางตายเสียดีกว่าอับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีแล้ว แต่ถึงจะคิดเช่นนั้นนางก็ไม่อาจงอแงกับผู้ใดได้ กูกูผู้นั้นบัดนี้ยังได้สอนท่านั่งยั่วกามารมณ์นางอย่างชำนาญ กระทั่งอันซูเซี่ยยังสงสัยว่าอดีตของกูกูนั้นแท้จริงได้ทำอาชีพใดมากันแน่ [1] ยามโหย่ว เวลาประมาณ 5 โมงเย็น [2] ยามอิ๋นประมาณ ตี 3
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม