น้ำอุ่นเข้ามาแล้ว แม่เล้าปล่อยให้บ่าวเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้หนานอิง บ่าวเหล่านี้ล้วนชำนาญยิ่งพวกนางเคยผ่านการดูแลสาวบริสุทธิ์หลังผ่านคืนแรกมานับครั้งไม่ถ้วนมือจึงเบาเป็นพิเศษ
เพียงไม่นานเนื้อตัวของหนานอิงก็สะอาดสะอ้านเผยให้เห็นผิวเนื้อนวลขาวผ่องและใบหน้างดงามไร้ที่ติ ปากที่แห้งผากบัดนี้ดูชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย แผลที่ประตูหลังและช่องทางรักของนางถูกป้ายด้วยขี้ผึ้งของหอนางโลมเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
แน่นอนว่ายานี้ย่อมเป็นยาวิเศษเฉพาะที่ใช้กับสตรีหลังจากผ่านคืนแรกมาเพื่อสมานแผลให้หายเพียงข้ามวันเพื่อกลับมารับแขกได้เร็วที่สุด
ถึงจะได้รับการดูแลร่างกายอย่างดีแล้วแต่อาการของหนานอิงกลับไม่ดีขึ้นจนบ่าวผู้นั้นมือสั่น
"นายหญิง ลมหายใจของนางเบายิ่ง เบาจนข้าเกือบจะสัมผัสไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ"
"ห๊ะ เจ้าว่าอย่างไรนะ ไม่ได้นางจะตายไม่ได้ ท่านหมอเล่ามาถึงหรือยัง รีบไปเร่งเร็วเข้าก่อนที่พวกเราจะซวยกันหมด"
แม่เล้าใบหน้าซีดเผือดเดินวนไปมาเหมือนก้นเป็นฝีไม่อาจนั่งได้แม้เพียงชั่วลมหายใจ กระทั่งเสียงสวรรค์ของบ่าวผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
"นายหญิงมาแล้วขอรับท่านหมอเจิ้งมาแล้ว"
หมอเจิ้งเป็นลูกค้าที่แวะเวียนมาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ ถึงเขาจะมีอนุในจวนอยู่ไม่น้อยแต่ก็ยังชื่นชอบการให้นางโลมปรนนิบัติ จึงทำให้คุ้นเคยกันดีกับแม่เล้าผู้นี้
"ท่านหมอท่านต้องช่วยข้า ครานี้หากรั้งนางไม่อยู่ข้าได้ตายแน่"
"ให้ข้าดูหน่อย"
หมอเจิ้งนั่งลงในขณะที่ผู้ช่วยจัดเตรียมเข็มทองให้เขา เขาตรวจชีพจรของหนานอิงท่ามกลางการลุ้นระทึกของแม่เล้านางนี้
หลังจากจับชีพจรของหนานอิงแล้วท่านหมอมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"นางแทบจะไม่ไหวแล้ว ข้าจะทำอย่างเต็มที่จับนางหันหลังข้าจะฝังเข็มให้นางหากมีวาสนานางคงมีชีวิตอยู่"
"ข้าขอร้องท่าน ท่านต้องช่วยนางนะเจ้าคะ อย่างไรก็ต้องช่วยนาง"
แม่เล้าน้ำตาไหลพราก เป็นครั้งแรกที่คนแปลกหน้าผู้หนึ่งอาจทำให้นางถึงแก่ความตาย นางไม่น่ารับมาโดยเห็นแก่เงินทองและไม่ตรวจดูสินค้าก่อนเลย ไม่น่าเลย
"เข้าใจแล้ว ท่านออกไปก่อนเถิดข้าบอกแล้วจะทำอย่างเต็มที่"
แม่เล้าผู้นั้นออกไปแล้วแต่นางยังเดินวนไปเวียนมาอยู่ด้านนอก เวลานี้เป็นเวลาช่วงบ่ายหอนางโลมยังไม่เปิดรับแขก ภายในจึงเงียบเป็นอย่างยิ่ง
แต่ในใจของนางกลับมีเสียงดังรัวเร็วคล้ายกับมีผู้ใดกำลังตีกลองอยู่ด้านในนับร้อยตัว ทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวจนตัวสั่น
ในขณะที่แม่เล้ากำลังอ้อนวอนฟ้าดินเพื่อให้หนานอิงมีชีวิตรอด สองอ๋องผู้ทรมานนางเจียนตายกลับไม่ใส่ใจว่าสตรีที่พวกเขาย่ำยีมาทั้งคืนจะเป็นเช่นไร
ณ จวนของสองอ๋องพวกเขากลับมีสีหน้าสบายทั้งยังดูคึกคักอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
ซู่อ๋องกับอวิ๋นอ๋องกำลังเช็ดกระบี่พลางร่ำสุราอย่างมีความสุข ข้างกายของพวกเขายังมีบ่าวหน้าตาจิ้มลิ้มของจวนคอยปรนนิบัติให้อย่างเต็มที่
กระทั่งอ้ายเจิงผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีสำนักราชเลขาธิการที่ฝ่าบาทแต่งตั้งขึ้นมาเดินเข้ามาหาพวกเขาอย่างสนิทชิดเชื้อ
อ้ายเจิงมีนิสัยอ่อนโยนและเข้าใจคนเป็นอย่างยิ่งเขาเป็นคนเฉลียวฉลาดและเก่งกาจรอบตัวอย่างที่หาคนจับตัวได้ยากสมแล้วที่ฝ่าบาททรงไว้เนื้อเชื่อใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเป็นคนเก่งเช่นนี้จึงทำให้สองคนพี่น้องต่างยอมรับเขาและได้รับความไว้วางใจคนทั้งสองจนกระทั่งยกตำแหน่งกุนซือใหญ่ในกองทัพให้อีกหนึ่งตำแหน่ง
"ท่านเลขาเจ้ามาแล้วหรือเข้าเมืองก่อนข้าเร่งมาหาสตรีใดกันเล่า"
ลู่หนิงหวังเอ่ยทักอย่างสนิทสนม ทั้งยังเรียกอ้ายเจิงเพียงคำว่าเลขาสั้นๆ ตามที่ฝ่าบาททรงเรียก แทนตำแหน่งอันยาวเหยียดที่จำยากของอ้ายเจิง เมื่อลู่หนิงหวังเรียกอ้ายเจิงเช่นนี้หานเซียวจึงเรียกอ้ายเจิงว่าท่านเลขาจนติดปากเช่นกัน
อ้ายเจิงนั่งลง บ่าวนำจอกสุรามาให้เขาอย่างรู้งานแล้วรินสุราลงจอกท่าทางอ่อนหวานเหมือนผู้ที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี อ้ายเจิ้งอดยิ้มให้นางผู้นั้นไม่ได้ เขายกสุราขึ้นเอ่ยขอบคุณท่านอ๋องแล้วเอ่ยเสียงเย็น
"ท่านอ๋องทั้งสองหัวหน้ากองเขามีเรื่องรายงานข้าเห็นเขารีรออยู่นานแล้วท่านก็ให้เขามารายงานเสียก่อนเถิด อย่าปล่อยให้เขายืนนานกว่านี้เลย"
ซู่อ๋องลู่หนิงหวังพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้น
"มีเรื่องอันใดต้องรายงานอีก รีบพูดมาเจ้าอ้ำอึ้งอยู่นั่น"
เมื่อท่านแม่ทัพอนุญาตทหารผู้นั้นจึงเอ่ยทันใด
"เรียนท่านแม่ทัพ ข้าน้อยพาสตรีผู้นั้นนำส่งคืนหอนางโลมแล้วขอรับ แม่เล้านางนั้นได้รับนางไว้และข้าน้อยได้กำชับให้ดูแลนางอย่างดีขอรับ"
อ้ายเจิงกลับเอ่ยถามด้วยความสงสัย
"สตรีหรือ? ผู้ใดกันเหตุใดสำคัญจนถึงต้องมารายงาน นางเป็นบุตรสาวของกบฏ คนใดหรือ?"
ลู่หนิงหวังทำท่ารำคาญเห็นอ้ายเจิงกล่าวถามยาวยืด หานเซียวกลับหัวเราะน้อย ๆ
"ข้าเองก็ไม่รู้ ถามเขาเองแล้วกัน"
กล่าวจบก็ผินหน้าไปมองทหารผู้นั้น
ท่าทางของทหารผู้นั้นอึกอักเป็นอย่างยิ่ง เขาประสานมือแล้วเอ่ยว่า
"หาไม่ขอรับ นางคือสตรีที่ปรนนิบัติท่านทั้งสองเมื่อราตรีที่ผ่านมาขอรับ"
"อ้อ นางนั่นเอง อืมนางกลับไปยังที่ของนางแล้วก็ช่างเถิดข้าหาได้สนใจแล้ว"
อวิ๋นอ๋องหานเซียวพยักหน้าเป็นการรับรู้ทั้งที่ในใจหาได้สนใจแม้แต่น้อย แต่ทหารผู้นั้นยังยืนอยู่ตรงนั้นท่าทางคล้ายกับยังพูดไม่จบ
"มีสิ่งใดอีก เหตุใดยังไม่ไปเล่า หมดเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ"
"นางเป็นสตรีของท่านแม่ทัพ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นถึงท่านอ๋องทั้งสองท่าน หากท่านทั้งสองไม่ยินยอมนางไม่อาจร่วมเตียงกับผู้ใดได้อีกขอรับ ข้าน้อยจึงต้องการคำสั่งที่แน่ชัดเพื่อไม่ให้ผิดพลาด"
พวกเขาเป็นแม่ทัพใหญ่และรองแม่ทัพใหญ่ยังรั้งตำแหน่งท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หากมีสิ่งใดผิดพลาดไม่มีผู้ใดกล้ารับประกันว่าหัวของเขาจะยังอยู่บนบ่า
ครานี้เป็นซู่อ๋องที่เริ่มรำคาญจึงต่อว่าทหารผู้นั้นทันใด
"ไสหัวไปได้แล้ว"
อ้ายเจิงได้ยินดังนั้นจึงรีบทัดทาน
"เขาพูดถูก ที่ผ่านมาข้าก็จัดการให้พวกท่านไม่น้อยนี่ คนนี้มีสิ่งใดพิเศษหรือไม่จะได้จัดการถูก"
ซู่อ๋องรู้สึกว่าเรื่องชักจะมากไป ก็แค่สตรีนางหนึ่งให้เงินแล้วก็ควรจบเหตุใดพวกนี้จึงวุ่นวายเช่นนี้
"ช่างเถิดจะทำสิ่งใดกับนางก็ตามแต่เจ้าเห็นสมควรก็แล้วกัน อย่าได้เอาเรื่องนี้มาให้ข้าวุ่นวายใจอีก"
อ้ายเจิงยกสุราขึ้นจิบพร้อมกับลุกขึ้น
"เช่นนั้นเจ้าไปกับข้า ข้าจะจัดการตามที่เห็นสมควรเอง"
เมื่ออ้ายเจิงออกไปพร้อมกับทหารผู้นั้นแล้ว อวิ๋นอ๋องจึงเอ่ยถามพี่ชาย
"อ้ายเจิงจะทำสิ่งใดกัน"
ซู่อ๋องใบหน้าเฉยชายิ่งเขายกดาบขึ้นมาขัดเช็ดต่อ เพียงเท่านี้อวิ๋นอ๋องก็รู้ว่าเขาหาได้สนใจจริง ๆ ในเมื่อพี่ชายไม่สนใจอวิ๋นอ๋องก็หาได้สนใจเช่นกัน