ซึ่งเขาทำอย่างนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ปีหนึ่ง และปัจจุบันก็ยังทำอยู่เสมอไม่เคยขาด ใช้เงินที่ได้จากการขายภาพถ่ายส่งตัวเองเรียน เลี้ยงตัวเอง และตอนนี้เขาก็มั่นใจว่ามีเพียงพอที่จะเลี้ยงใครอีกคนที่พร้อมจะเดินร่วมทางได้
อาจจะไม่ได้ร่ำรวยหรือมีล้นเหลือ แต่ถ้าไม่รังเกียจกันว่าไม่มีพ่อแม่ ไม่มีต้นตระกูลที่สูงส่งหรือญาติพี่น้องที่ไหน เขาก็สัญญาว่าจะทำให้ทุกวันที่ผ่านไปมีความหมายมากขึ้นๆ
เขาทำได้เพียงเท่านี้ เท่าที่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารักได้ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาแล้ว ตอนนี้มันอยู่ที่ว่า คนที่เขารักจะยอมรับเขาไหม จะยอมรับรักผู้ชายอย่างเขาได้หรือเปล่า จะรังเกียจคนอายุยี่สิบสามที่มีเพียงเงินเก็บไม่มากมายและคอนโดหนึ่งห้องเป็นของตัวเองไหม เพราะเขาก็มีเท่านี้จริงๆ ไม่มีอะไรอีกเลย เหลือก็แต่ตัวและหัวใจ
รอบกายเต็มไปด้วยเสียงรถรา คนพูดคุย เสียงหัวเราะ เสียงเพลง เสียงดนตรี และอื่นๆ อีกมากมาย ดังอื้ออึงมาจากทุกทิศ ที่คนส่วนใหญ่ออกมานั่งจับกลุ่มตั้งวงฉลอง
แต่เสียงในใจเขาช่างเงียบงันเหลือเกิน เงียบจนได้ยินเสียงของอดีตที่ฉุดให้เขานึกถึงภาพวันเก่าๆ ในครั้งแรกที่ได้เดินเข้าไปสมัครงานที่สตูดิโอ เมมโมรี่พิกเจอร์
“เอ่อ...ป้าครับ” เขาเรียกคนที่ยืนหันหลังด้วยน้ำเสียงกล้าๆ กลัวๆ แต่ไม่รู้จะถามใครแล้ว เดินผ่านยามเข้ามาก็ไม่เห็นมีใครสักคน
“ใครเป็นป้าแก ฉันไปเป็นพี่แม่แกเมื่อไหร่”
คนที่เขาเรียกว่าป้าหันกลับมาทำตาเขียว พร้อมๆ กับลมหายใจของเขาที่แทบจะปลิดปลิวออกจากร่าง เมื่อได้เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์และหน้าอกอันนูนเด่นของผู้หญิงคนนี้
“ขอโทษครับพี่คนสวย” ขอบคุณปากที่พลิกพลิ้วได้ไว และนั่นก็ได้ผล ทำให้คนโมโหเพราะถูกเรียกป้าสีหน้าคลายลงมานิดๆ
“มาหาใคร” แต่เสียงพูดจากปากคนสวยของเขายังห้วนอยู่เหมือนเดิม เดาได้ว่าคงยังไม่หายหงุดหงิดจากคำว่าป้า
“ผมมาสมัครงานครับ”
“จบใหม่เหรอเรา”
“ครับผม”
“งั้นเชิญข้างในก่อนนะคะ”
เธอเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพอย่างรวดเร็วจนเขาตั้งตัวไม่ทัน กระนั้นก็สาวเท้าเดินตามไปต้อยๆ
ก่อนจะได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งรอที่ห้องห้องหนึ่ง และหลังจากนั้นการเขียนใบสมัครและสอบสัมภาษณ์ก็เกิดขึ้น ภายในวันเดียวกัน แล้วเขาก็รู้ผลทันทีว่า บริษัทรับเข้าทำงาน
และจากวันนั้น ชีวิตเขาก็ไม่เคยแห้งแล้งอีกเลย...
ครืด...
เสียงลากประตูเหล็กทำให้อุดมศักดิ์หลุดออกมาจากภวังค์ ก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือ ห้าทุ่มสิบห้านาที ถ้าเขาเป็นต้นไม้รากคงจะงอกออกมาแล้วจากการรอคอยนานหลายชั่วโมงแบบนี้ เสียงเดินต๊อกแต๊กของรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นเข้ามาเป็นจังหวะ ก่อนที่คนเดินมาจะชะงักเมื่อมาถึงตัวบ้านแล้วพบว่าใครที่ยืนจังก้ารออยู่ตรงนั้น ที่หน้ามุขของบ้าน
ปีนเข้ามาถึงนี่! เชอะ มีความพยายามจริงนะ
จารุณาค่อนขอดเขาอยู่ในใจ ก่อนจะหลบสายตาจากใบหน้าหล่อของคนวัยละอ่อนกว่าเป็นมองกระเป๋าถือของตนเอง เพื่อควานหากุญแจบ้านอีกพวงที่เป็นคนละอันกับพวงของกุญแจประตูเหล็กหน้าบ้าน
“บ้านช่องมีไม่กลับหรือไง มาทำอะไรอยู่บ้านคนอื่น”
“เป็นห่วงนะ”
ถ้อยคำสั้นๆ ของเขาทำให้คนที่กำลังไขกุญแจบ้านถึงกับมือสั่นไปชั่วขณะ แต่เธอก็ยังตั้งสติเก็บอาการได้ อาจเพราะยืนหันหลังให้เขาจึงไม่ต้องทนสบสายตาคมที่ซ่อนความเว้าวอนคู่นั้น
ตอนที่ก้าวขาเข้าไปในบ้าน โดยไม่สนใจว่าเขาจะตามมาหรือยืนเซ่ออยู่ที่เดิม เธอก็สงบสติอารมณ์ให้หัวใจเต้นในจังหวะที่ปกติได้แล้ว
อา คำพูดที่บอกถึงความห่วงใย ฟังแล้วมันช่างอบอุ่นเหลือเกิน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่พูดแล้วจะทำให้รู้สึกแบบนี้ ดูเหมือนว่าคนที่มีอิทธิพลกับเธอจะมีแค่ผู้ชายคนนี้ที่อายุน้อยกว่าเกือบสิบปี
“ห่วงทำมะ! ไม่เกี่ยวกันสักหน่อย”
ตอบเสียงสะบัด หูได้ยินเสียงเขาปิดประตูบ้านเบาๆ ไม่ได้ยินเสียงล็อกกลอน อืม โล่งอก ถ้ามันล็อกกลอนล่ะก็แสดงว่ามีเจตนาไม่ดีแน่ๆ แต่จะว่าไปเธอก็ไว้ใจผู้ชายคนนี้มากที่สุดในชีวิตแล้ว หนำซ้ำยังไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ชายคนอื่นที่ไหน อาจเพราะความผูกพันที่ทำงานร่วมกันและไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดมั้ง
เอาเถอะวะ ถ้ามันจะทำอะไรก็ปล่อยมันทำไปเถอะ เฮ้ย! ยัยบ้า! คิดอะไรพิเรนทร์จริง ถ้าไอ้เป๊กจะทำอะไรเธอ เธอต้องป้องกันตัวสุดฤทธิ์ต่างหากเล่า
โอ๊ย! มันไม่กล้าทำอะไรหรอกน่า
หลายความคิดตีกันในหัวอีกแล้ว กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่มือหนายื่นมาโอบรัดรอบเอวเอาไว้ มาแนวนี้อีกละ! ถึงเนื้อถึงตัวตลอด
“เมื่อไหร่จะหายงอนโดยไม่มีเหตุผลสักที”
“เปล่านี่”
เถียงเบาๆ ภาพที่เขาวิ่งตามผู้หญิงคนหนึ่งออกไป และบทสนทนาที่ได้ยินเขาคุยกับผู้หญิงคนไหนก็ไม่รู้ ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
“ทำไมต้องคิดมาก ทำไมต้องทำให้เสียใจ”
คนเด็กกว่าตัดพ้ออย่างหน่ายเหนื่อย พร้อมกับก้มลงจุมพิตที่หัวไหล่มนอย่างคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร