“ห่าเอ้ย!” จับศึกสบถออกมาอย่างหัวเสียเมื่อเผลอหลับไปจนตอนนี้ตีห้าแล้ว เขาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงของเอมมิการ์แล้วหยิบกางเกงตัวเองมาใส่ให้เรียบร้อย ส่วนเสื้อเชิ้ตก็พาดที่ไหล่แล้วมองไปยังคนที่หลับสนิทบนเตียง ก่อนจะเดินไปยังหน้าประตูห้องแล้วเปิดประตูออก ด้วยความไม่ได้ระวังทำให้เขาไม่ทันสังเกตเห็นคนที่เดินปิดปากหาวมาทางตนเอง เพราะหน้าห้องของเอมมิการ์อยู่ตรงกับบันไดจะลงไปชั้นล่าง
“ตาศึก!” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้จับศึกรีบหันไปมองทางต้นเสียงทันที ด้วยจำได้ว่าเสียงที่เรียกชื่อตัวเองคือใคร
“แม่จันทร์!” เขาตกใจที่ท่านมาเจอตัวเองในตอนเช้า ช่วงนี้เป็นหน้าร้อน ตีห้าก็ฟ้าแจ้งสว่างแล้ว ส่วนคนที่ตื่นเช้ามาจะลงไปดูเด็กๆ ในครัวเตรียมของให้ตัวเองใส่บาตรในตอนเช้าถึงกับหายง่วงซึมเลยทีเดียวเมื่อเห็นลูกชายเดินใส่แต่กางเกงออกมาจากห้องของเอมมิการ์ แถมเสื้อก็ไม่ใส่
“ทำไมลูกออกมาจากห้องนอนของน้องตาศึก” นางเดินเข้ามาจับแขนของลูกชายเขย่าถาม
“คะ...คือ...” จะให้เขาพูดยังไง เพราะภาพมันชัดเจน ปฏิเสธยังไงก็ฟังไม่ขึ้นอยู่ดี
“ตาศึกบอกแม่มา ลูกไปทำอะไรในห้องของน้อง และทำไมออกมาสภาพนี้” นางจันทร์หอมมองสำรวจผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรงของลูกชายและเสื้อที่พาดไหล่ ใส่แต่กางเกง “ลูกอยู่ในห้องน้องตั้งแต่เมื่อคืนใช่ไหมตาศึก” นางเค้นถามเอาคำตอบ ส่วนจับศึกก็ได้แต่อ้ำอึ้งนึกหาคำตอบไม่ได้ ก็ตอนนี้เขาจนมุมที่จะตอบปัดได้
“คือผม...” เขานิ่งเงียบไปเมื่อได้จ้องสบประสานตาของคุณแม่ที่รักที่กำลังจ้องมองตัวเองราวกับว่าตัวเองทำผิดใหญ่หลวง แต่ยังไม่ทันได้พูดต่อ ท่านก็พูดกลับมาว่า...
“ไปคุยกันที่ห้องหนังสือ” น้ำเสียงแหบแห้งตามวัยแต่เด็ดเดี่ยวทำให้จับศึกกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอด้วยความยากลำลาก
“ตอนนี้เลยเหรอครับแม่จันทร์” เขาถามเสียงแผ่วเบาในลำคอ แต่ทว่าคนฟังก็ได้ยินชัดเจน
“ใช่ ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ด้วย ตามแม่มา”
พูดจบนางก็เดินนำหน้าลูกชายไปทางบันไดเพื่อลงไปชั้นล่าง ส่วนจับศึกก็จับเสื้อที่พาดไหล่มาใส่แล้วติดกระดุมให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินตามท่านไปทันที
เมื่อเข้ามาในห้องหนังสือ นางจันทร์หอมก็เดินไปทิ้งตัวนั่งที่โซฟาด้วยชุดนอนตัวยาวลายดอกของตัวเองแบบที่ชอบใส่ประจำ ส่วนจับศึกเดินตามเข้ามาและกำลังจะเดินไปนั่งที่โซฟาอีกตัว แต่ถูกสายตาเอาเรื่องของแม่มองอยู่จึงทำได้แค่ยืนนิ่งสงบเสงี่ยมเจียมตัวก้มหน้ามองเท้าตัวเองอยู่ตรงหน้าท่าน
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทำแบบนั้นกับน้อง?”
“คือเมื่ออาทิตย์ก่อนครับ”
“ตั้งใจหรือพลาด?”
“พลาดครับ”
“รู้ว่าพลาดแล้วทำไมไม่แก้ตัว แล้วทำไมยังมาทำแบบนั้นกับน้องอีกครั้งตาศึก นั่นน้องสาวเรานะตาศึก ตุ้บ!” นางพูดพร้อมกับกำหมัดทุบตีพนักโซฟาด้วยความโกรธ
“น้องสาวเหรอครับแม่จันทร์ นั่นไม่ใช่น้องสาวของศึก ศึกเป็นลูกคนเดียว ยัยเด็กนั่นแค่เด็กกำพร้าเท่านั้น”
“สารเลว! ไสหัวออกไปจากบ้านของแม่ซะ! และเลิกยุ่งกับน้องด้วย ไปทบทวนความผิดตัวเอง เรื่องในวันนี้แม่จะให้เวลาเราทบทวน จะรับผิดชอบหรือจะต่างคนต่างอยู่ก็ไปคุยกัน แต่อย่าคิดจะทำกับน้องแบบนั้นอีก แม่รักหนูเอมเหมือนลูก แม่เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก และลูกด้วย แม่ก็รักและลูกเองก็รู้ว่าเดือนหน้าแฟนของลูกจะกลับมาแล้ว ถ้าลูกไม่คิดจะรับผิดชอบน้องก็ควรอยู่ให้ห่างน้อง”
นางจันทร์หอมเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว และที่นางไม่บังคับเพราะนางรู้จักลูกชายตัวเองดี หากบังคับมีแต่ทำให้เรื่องไปกันใหญ่ และที่ตัดสินใจไล่ลูกชายตัวดีออกจากบ้านเพื่อให้อยู่ห่างจากเอมมิการ์เพื่อให้ทบทวนตัวเองว่าแท้จริงแล้วเรื่องที่เกิดขึ้นคือความผิดพลาดหรือตั้งใจกันแน่ เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นครั้งเดียว หากแค่ครั้งเดียวมันคือความผิดพลาด แต่ถ้าทำซ้ำนั่นคือตั้งใจ
“แม่เห็นยัยเด็กกำพร้านั่นสำคัญกว่าลูกในไส้อย่างผมเหรอ แม่ควรจะให้เด็กนั่นย้ายออกจากบ้านเราไม่ใช่ผม” จับศึกตอบกลับด้วยความน้อยใจ กี่ครั้งที่ท่านเลือกเด็กนั่นแทนที่จะเป็นเขา ทั้งๆ ที่เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน
เผียะ!
นางจันทร์หอมลุกขึ้นเดินไปตวัดมือใส่หน้าลูกชายทันทีที่ลูกชายมีความคิดแบบนี้มาตลอด
“แม่จันทร์ตบศึก” เขากุมแก้มที่โดนตบจากมือของแม่ที่รัก เขาหันมามองท่านด้วยสายตาเจ็บปวดตัดพ้อท่านแล้วเดินออกจากห้องหนังสือไปทันที ตั้งแต่เล็กจนโตท่านไม่เคยตบเขา แต่ครั้งนี้แม่ปกป้องเด็กกำพร้านั่นทั้งๆ ที่ควรจะเลือกเข้าข้างลูกชายอย่างเขา และการกระทำของท่านในครั้งนี้มันยิ่งตอกย้ำความเกลียดชังที่มีต่อเอมมิการ์ เมื่อหล่อนโตมาแย่งความรักของแม่เขาไปจากเขา เขาก็ยิ่งเกลียดจนอยากจะฉีกทึ้งร่างหล่อนเป็นชิ้นๆ ในตอนนี้
“แม่แค่อยากตบเรียกสติของลูกเท่านั้นตาศึก” นางพึมพำกับตัวเองเมื่อลูกชายจากไปแล้ว