ตอนที่ 3 - 2

1781 คำ
ภายในห้องพักที่หอมีขนาดใหญ่พอสมควรเพราะสามารถวางเตียงเรียงแต่ละด้านเป็นคู่ขนาน ซึ่งแต่ละเตียงจะถูกคั่นด้วยตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเขียนหนังสือโดยเว้นระยะห่างเท่า ๆ กันภายในห้องค่อนข้างเงียบสงบเพราะว่าสมาชิกเกือบทุกคนลงไปที่ห้องโถงข้างล่างกันหมดแต่ยังเหลืออยู่ตรงนี้หนึ่งคนที่กำลังลังเลใจที่จะกระทำการบางสิ่งบางอย่าง มือบางลูบจดหมายสองฉบับที่หน้าซองมีลายมือหวัด ๆ เขียนอยู่ ดวงตาคู่สวยทั้งคู่สวยลังเลว่าจะจัดการเปิดอ่านให้รู้ใจความข้างในดีหรือไม่ แต่อีกใจหนึ่งก็ยังไม่อยากกระทำ อดทนรอให้เป็นไปตามกาลเวลาที่เหมาะสม ฉบับหนึ่ง...ถูกคุณลุงเตชสิทธิ์เขียนกำกับบอกให้เธอเปิดอ่านในวันที่เธอรับปริญญา และอีกฉบับหนึ่ง ถูกกำกับด้วยลายมือหวัด ๆ บอกให้เธอเปิดอ่านในวันที่เธอแต่งงาน เมื่อคุณลุงที่เธอเคารพนับถือดุจบิดาอีกคนหนึ่งได้กำซับไว้อย่างนี้ แสดงว่าท่านคงมีเหตุผลบางอย่างกระมัง...เพียงตะวันฉุกคิดได้ขึ้นมาทันที ดังนั้นจึงล้มเลิกที่คิดจะเปิดอ่านมันเสีย เด็กสาวตัดสินใจเก็บมันเอาไว้ในกล่องไม้แกะสลักลวดลายดอกไม้เช่นเคย ใช้มือดึงลิ้นชักของโต๊ะหนังสือเกิดเสียงดังกุกกัก ๆ ในความเงียบ จวบจนกระทั่งมีเสียงหวานเล็ก ๆ ที่ดังอยู่ข้างหลังทำให้ไหล่ของเพียงตะวันกระตุกด้วยความตกใจ “อะไรเหรอตะวัน” เพียงตะวันหันไปมองเจ้าของเสียงทันทีที่บัดนี้เดินชะโงกหน้าเข้ามาดูลิ้นชักที่เธอกำลังล็อกกุญแจ“ปะ...เปล่าแค่จดหมายน่ะ” “จดหมาย?” มินตราพยายามทบทวนถึงจดหมายที่เพียงตะวันหมายถึง ก่อนจะนึกถึงจดหมายที่ตนเคยเห็นเพื่อนคนนี้หยิบขึ้นมาพิจารณาและทำท่าลังเลอยู่หลายครา “จดหมายสองฉบับนั่นอีกแล้วเหรอ …มิ้นต์เห็นตะวันลังเลที่จะอ่านหลายครั้งแล้วนะ ทำไมไม่เปิดอ่านเสียเลยล่ะ”มินตราเพื่อนสนิทของเพียงตะวันถามอย่างเสนอแนะ “ไม่ล่ะเก็บเอาไว้อ่านเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม”บอกแล้วก็หันมาส่งยิ้มบาง ๆ อย่างที่เธอมักจะทำเป็นประจำ “อื้อ...เพิ่งจะรู้แฮะว่าการจะอ่านจดหมายจะต้องมีเวลาที่เหมาะสมด้วย”เสียงอุทานอย่างแปลกใจดังขึ้น “ใช่ ..เจ้าของจดหมายนี่เขาบอกมาอย่างนั้นน่ะ” มินตรายิ้มอย่างขัน ๆ กับคำบอกกล่าวของเพื่อนของ ช่างแปลกดีจริง จดหมายที่ควรเปิดอ่านในเวลาที่เหมาะสม...มินตรายิ้มเพล่ตั้งใจจะสัพยอกต่อ แต่เมื่อนึกถึงธุระที่เธอต้องขึ้นมาตามเพียงตะวันได้ก็รีบพูดถึงจุดประสงที่แท้จริง“ไปกันเถอะ อาจารย์ให้มาตามลงไปสวดมนต์ก่อนนอน”เธอพูดพร้อมกับยื่นมือให้เพื่อนจับ เพียงตะวันเองก็ไม่ว่ากระไร ยื่นมือไปให้มินตราจับก่อนพากันเดินจูงมือออกจากห้องพัก ไม่วายจะหันหลังกลับมามองยังลิ้นชักที่โต๊ะเขียนหนังสือตัวเองอีกที อดใจรอไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมดีกว่า รออีกไม่กี่ปีเธอก็จะได้อ่านแล้ว บรรยากาศที่เย็นยะเยือกรอบ ๆ ตัว ทำให้เด็กสาวที่กำลังเดินอยู่ท่ามกลุ่มหมอกหนารู้สึกเย็นวาบขึ้นมาทันใด ดูเหมือนความหนาของหมอกสีขาวจะค่อย ๆ เบาบางลงจนพอเห็นสรรพสิ่งรอบตัวได้ถนัดขึ้น นี่เธอยู่ไหน? หญิงสาวตั้งคำถามกับตัวเองทันทีได้เห็นสถานที่ซึ่งดูเหมือนจะมีความคุ้นตา แต่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคือที่ไหน โต๊ะทำงานตัวใหญ่สีน้ำตาลมันปลาบ เก้าอี้ตัวใหญ่ที่บุด้วยหนังอย่างดีสีเดียวกันกับโต๊ะ ตู้ที่ใช้เก็บเอกสารมากมาย จนเธอยังอดนึกไม่ได้เลยว่าเจ้าของห้องทำงานห้องนี้คงยุ่งเสียจนไม่มีเวลามานั่งจดเอกสารในห้องทำงานให้เข้าที่เข้าทางเสียเป็นแน่ ‘ตะวัน...เพียงตะวัน’ เสียงเรียกชื่อของเธอที่ดังอยู่ข้างหลังทำ ทำให้เด็กสาวสะดุ้งน้ำเสียงนี้ช่างฟังคุ้นหูเธอเหลือเกิน ว่าแล้วเจ้าของชื่อค่อย ๆ เหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง แล้วสิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้นเธออุทานออกมาด้วยความตกใจเพราะบุรุษร่างสูงใหญ่คนนั้นที่มีใบหน้าเรียบสนิท คือบิดาของเธอนั่นเอง “คุณพ่อ!”หญิงสาวอุทาน “ใช่...พ่อเอง”เขาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉยก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน ประหนึ่งคนที่ต้องการจะย้ำให้คนฟังทำตามสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้ “ตะวันอย่าปล่อยคนที่มันทำลายครอบครัวของเรานะลูก สัญญากับพ่อสิว่าจะทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นของพัฒนกุลของเรา” เด็กหน้านิ่วคิ้วขมวดกับคำพูดนั้นของบิดาแทบจะไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเขาหมายถึงอะไร...เพราะตอนนี้ความดีใจที่ได้พบกับท่านมันท่วมท้นจนเธอแทบจะวิ่งไปกอดร่างที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “คุณพ่ออย่าคะ! อย่าเพิ่งไป!”หญิงสาวโผเข้าหาร่างของบิดาทันที แต่เธอก็คว้าได้เพียงอากาศที่ว่างเปล่าไร้ตัวตน สำนึกร้องบอกให้เธอตะโกนเรียกหาบุคคลที่เธอรักและคิดถึงทันทีทันใด “คุณพ่อ!” “ตะวัน ๆ” เสียงมินตราดังขึ้นพร้อมกับสัมผัสแผ่วเบาบนใบหน้า ปลุกเพียงตะวันที่ยังมีอาการละเมอเพ้อพก ลืมตาขึ้นมองทันใดเธอกะพริบตามองรอบ ๆ อยู่สองสามที จึงเห็นใบหน้าของมินตราชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ๆ พร้อมกับเอ่ยสุ้มเสียงห่วงใย “ไม่เป็นไรนะ ตะวันแค่ฝันร้าย” มินตราพยายามปลอบโยน ดูจะเห็นเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่เพียงตะวันตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อย ๆ ร้องหาบิดาที่เสียไปสิบกว่าปี ซึ่งมินตราก็ตัดสินใจได้ในวินาทีนั้นว่าที่เพียงตะวันมักจะบอกว่าเธอฝันร้ายเพราะประสบการณ์ครั้งนั้น วันนี้เธอต้องรู้ให้ได้ว่าประสบการณ์ครั้งนั้นมันร้ายแรงแค่ไหน ถึงทำให้เพื่อนของเธอฝันร้ายอยู่เรื่อย ๆ แบบนี้ “ตะวันตะวันเคยบอกเราว่าประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ตะวันฝันร้ายอยู่บ่อยครั้ง แบ่งปันให้เรารับรู้ด้วยสิแต่ถ้าไม่สะดวกหรือทำให้ตะวันไม่สบายใจ มิ้นต์ก็ไม่ฝืนหรอกนะ ” ดวงตาที่มองตัวเองอย่างเป็นห่วงเป็นใยบวกกับสัมผัสอันอ่อนโยนบนหลังมือทำให้เพียงตะวันพยักรับคำเบา ๆ ยอมเล่าเรื่องราวอันโหดร้ายในวัยเด็กของตนให้มินตรารับรู้...ความทรงจำที่ดูเลวร้ายเหมือนจะฝังรากลึกอยู่ในจิตใจเพียงตะวันค่อย ๆ เปิดปากเล่าเบา ๆ ด้วยเกรงใจเพื่อนคนอื่นที่กำลังหลับสนิทในกลางดึก...เธอเล่าว่า... ‘ฉันเสียใจนะแต่นายเป็oฝ่ายบีบบังคับให้ทางเลือกที่ฉันต้องใช้จัดการกับนายให้เหลือน้อยลงทุกที ๆ จนในที่สุดฉันจึงต้องใช้วิธีนี้!’ เสียงกร้าวที่ดังเล็ดลอดออกมาจากช่องว่างระหว่างบานประตูที่ปิดไม่สนิท ทำให้เด็กผู้หญิงซึ่งถือแก้วนมอุ่น ๆ ต้องหยุดชะงัก ก้าวเท้าเล็ก ๆ ยื่นใบหน้าเข้าไปมองช่องนั้นที่มีแสงไฟลอดออกมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ‘เสียใจเหรอ สิ่งที่แกทำกับฉันคำว่าเสียใจดูมันเพียงพอแล้วเหรอ เชิญอยากได้อะไรก็เอาไปเลย เชิญ!!’ ใบหน้าอันดุดันของบิดาที่หันทิศทางมาทางนี้ ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจมากขึ้น เด็กน้อยละสายตาจากใบหน้าของบิดาก่อน มองเลยไปที่ผู้ชายอีกสองคนที่นั่งหันหลังให้กับเธอเป็นใคร ‘เชิญอยากได้อะไรก็เอาไปเลย เชิญ!!’ น้ำเสียงกร้าวดังลั่น ทำให้แก้วนมที่อยู่ในมือของเด็กหญิงร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ เพล้ง!!! ‘ใครน่ะ …’ ใบหน้าถมึงทึงของบิดาเหลียวมองต้นเสียง ก่อนจะพบว่าคนที่ทำให้เกิดเสียงดังนั้นไม่ใช่ใคร ที่ไหนนอกจาก ‘ตะวัน’ ‘ตะ...ตะวันหิวค่ะ...’เด็กน้อยตอบเสียงอ่อย ด้วยเพราะยังอยู่ในอาการขวัญหายในน้ำเสียงกร้าวของบิดาเมื่อครู่อยู่ไม่หาย ‘ไปนอนก่อนเถอะลูกไป ๆ ๆ พ่อมีแขก’ บิดาเด็กน้อยรีบลุกจากโซฟาในห้อง เข้ามาอุ้มร่างลูกสาวตัดบทโดยเร็ว โดยพาเด็กน้อยเข้ามาส่งยังห้องนอนจัดแจงให้เธอนอนอยู่บนเตียงเรียบร้อยก่อนจะจูบหน้าผากเบา ๆ ด้วยความรักหนึ่งทีเหมือนดั่งเช่นทุกคืน “และนั่นก็เป็นจูบครั้งสุดท้ายที่ตะวันได้รับจากคุณพ่อ” เด็กสาวเล่าด้วยเสียงสะอื้นไห้เผลอใช้มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาลูบเบา ๆ ตรงสัมผัสนั้นราวกับว่าลมหายใจของบิดาเพิ่งเกิดขึ้น จึงรู้สึกอุ่น ๆ อยู่ไม่จางหาย “แล้วต่อจากนั้นมันเกิดอะไรขึ้นเหรอตะวัน”มินตราถามเสียง สั่นเครือ ความอยากรู้ในเหตุการณ์ต่อจากนั้นมีมากขึ้นอีก “กลางดึก ตะวันได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมา...คุณพ่อของตะวันท่าน...” คนเล่าพยายามข่มน้ำเสียงสะอื้นไห้ น้ำเสียงจึงขาดหายไปเป็นช่วง ๆ มินตราเห็นเข้าจึงรีบเอ่ยขัดขึ้นมา ดูเพื่อนของเธอคงจะสะเทือนใจไม่น้อยที่หวนกลับไปนึกถึงเรื่องนี้อีก “ตะวัน...ไม่ต้องเล่าก็ได้ ถ้ามันทำให้ตะวันเสียใจอย่างนี้น่ะ”แต่เพียงตะวันยกมือขึ้นห้ามพร้อมกับส่ายหน้าน้อย ๆ “ไม่เป็นไรไหน ๆ ก็เล่าแล้ว...” เพียงตะวันกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเริ่มเล่าใหม่อีกครั้ง “คุณพ่อท่านยิงตัวตายที่ห้องทำงาน” น้ำใสไหลรินลงมาเมื่อไหร่ไม่รู้เพียงตะวันยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออกจากสองแก้ม พยายามเล่าให้จบ “มิ้นต์รู้มั้ย...เสียงปืนที่ดัง วันนั้น มันคือวันโลกแตกของตะวัน มันสับสนวุ่นวายไปหมดไร้แม้แต่อ้อมกอดของคุณแม่ จนกระทั่งคุณลุงเตชสิทธิ์ เพื่อนสนิทของคุณพ่อ มารับตะวันไปอยู่ด้วยนั่นแหละตะวันจึงได้สัมผัสกับความอบอุ่นปลอดภัยจริง ๆ อีกครั้ง” “มิน่าตะวันถึงได้รักและเคารพคุณลุงเตชสิทธิ์นัก” เพียงตะวันพยักหน้าเบา ๆ กริยานั้นของเพียงตะวันทำให้มินตราถอนหายใจอย่างเศร้า ๆ เรื่องเล่าจากปากของเพื่อนรักดูจะหนักหนาสาหัสเอาการสำหรับเด็กในวัยนั้นเธอตบลงบนหมอนเบา ๆ พยายามเกลี้ยกล่อมให้เพียงตะวันนอนหลับเพื่อที่เมื่อตื่นขึ้นมาในเช้าวันพรุ่งนี้ เพื่อนของเธอจะได้พบแสงตะวันแห่งความสุขบ้างเสียที“ตะวันนอนเถอะ...”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม