ตอนที่ 6 - 1

1410 คำ
ภายในบ่อนพนันที่เป็นแหล่งรวมของผีพนันทุกขุมนรก ผีบางตนมีใบหน้าเปี่ยมสุขเพราะการมาแสวงโชคในวันนี้ของตนดูจะไม่เสียเปล่า แต่ผีบางตนนั้นใบหน้ากลับหมองคล้ำ ดูก็รู้ว่าดวงของเขาวันนี้มันกุดเสียยิ่งกว่ากุด เหมือนกับบุรุษหนึ่งคนที่ยืนจุดบุหรี่สูบด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจอยู่นอกบ่อน ใช้เท้าเตะนั่นเตะนี่กลางอากาศไปมาบ่งบอกให้รู้ว่าอารมณ์เสียยิ่งนัก วรวุธหวังว่าเงินก้อนเดียวที่อุตส่าห์ไปหยิบยืมจากสกาวใจ จะใช้ต่อทุนกอบโกยคืนมาจากบ่อนเดิมได้ แต่ขณะที่กำลังจะนั่งลงร่วมวงกับบรรดาผีพนันด้วยกัน ก็มีผู้ชายล่ำบึกสองคนย่างสามขุมเข้ามาขนาบข้าง ไม่พูดพร่ำทำเพลงดึงเงินหนึ่งแสนจากมือเขาไป อ้างว่า...เป็นเงินที่เขาจะต้องนำไปขัดดอก...จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงหิ้วปีกโยนวรวุธออกมาข้างนอกอย่างที่เห็นนี่แหละ คิดแล้วยิ่งหงุดหงิดหัวใจยิ่งนัก นี่เขาถูกลดเครดิตแล้วหรือนี่ ชายหนุ่มสบถด้วยความไม่ได้ดั่งใจ ยกมือขึ้นมาเสยผมอย่างหงุดหงิดจนทำให้ผมที่หวีเรียบเข้าทรงต้องยุ่งเหยิง...จังหวะที่ชายสูงวัยร่างท้วมคนหนึ่งกำลังจะเดินผ่านประตูเข้าไปในตัวบ่อน...เขาก็ชำเลืองเห็นอาการหงุดหงิดที่ว่าของชายร่างผอมสูง ทัตพลเดินชะเง้อคอมอง พอเห็นใบหน้าที่ถูกแสงไฟจากภายนอกสาดส่อง ถึงกลับเดินยิ้มกริ่มเข้าไปทักทาย เนื่องจากเป็นคนรู้จักกันดี “อ้าว! วุธ” “คุณลุง สวัสดีครับ...” “สวัดดี ๆ” ทัตพรีบยกมือขึ้นมารับไหว้ชายหนุ่มร่างผอมพร้อมทักทายอีกฝ่ายอย่างคนกันเอง พลางขมวดคิ้วน้อย ๆ มองชายรุ่นลูก “แล้วนี่ทำไมเข้าไปข้างในล่ะ หรือว่ามารอใคร” “ก็...ครับ พอดีผม...” ชายหนุ่มพูดอึกอักอย่างอาย ๆ “ไอ้พวกเด็กคุมบ่อนมันหิ้วผมออกมาข้างนอกเนี่ยแหละ” วรวุธบอกอย่างอารมณ์เสีย เท่านั้นแหละ คนอย่างทัตพลก็มองออกอย่างทะรุปรุโปร่ง ชายตรงหน้ากำลังโดนเจ้าของบ่อนลดเครดิตอยู่ เขาอมยิ้มนิด ๆ ใช้มือตบบ่าที่มีแต่กระดูกของวรวุธเบา ๆ “ใช้เครดิตลุงก็ได้นี่น่า” เขาเสนอความช่วยเหลืออย่างใจป้ำ ด้วยเป็นคนคิดการณ์ไกล ก็แค่ช่วยเหลือนิด ๆ หน่อย ๆ เลี้ยงเอาไว้เพื่อหลอกใช้งานในอนาคตคงไม่เสียหายหรอกน่า...คนสูงวัยนึกแล้วยิ้มที่มุมปากด้วยความเจ้าเล่ห์แสนกล “จริงเหรอครับ” วรวุธตาโตกับคำพูดที่ว่า “จริงสิ...ไป เข้าไปด้วยกัน” ทัตพลว่า พลางเข้าไปโอบไหล่ของชายหนุ่มให้เดินกลับเข้าไปข้างในอีกครั้งด้วยท่าทางสนิทสนม บรรยากาศเย็นสบายและเงียบสงบ ณ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ดวงจันทร์คืนนี้ดูเหมือนจะทอแสงกระจ่างชัดกว่าคืนไหน ๆ น่าเสียดายที่อยู่ในเขตเมืองหลวงเมือง จึงทำให้ไม่เห็นแสงของดวงดาวเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นบรรยากาศยามนี้ก็ยังทำให้หญิงสาวที่นั่งชมดาวอยู่เคียงร่างสูงของชายหนุ่มนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างผิดหูผิดตา เธอกำลังนั่งบนกระโปรงหน้า โดยมีชายหนุ่มยืนกอดอยู่อกไม่ไกลนัก ทั้งคู่เงยหน้ามองฟ้ายามค่ำคืน สายลมโชยปะทะร่างของคนทั้งคู่อยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มถอดเสื้อสูทและเนกไทเอาไว้ในรถเมอร์ซิเดสเบนซ์ เวลาเขาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ถูกพับแขนเสื้ออย่างลวก ๆ เท่านั้น หลังจากดินเนอร์สุดหรูที่ห้องอาหารของโรงแรมชื่อดังเรียบร้อยแล้ว ติณณ์ยังไม่พาทิพรดากลับบ้าน เนื่องจากหญิงสาวอยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้นาน ออดอ้อนให้เขาพามารับลมเย็น ๆ ชมพระจันทร์สวย ๆ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนกลับ เธออยากใช้เวลาอยู่กับเขาให้นานอีกนิด หลังจากที่กลับจากอังกฤษทิพรดายอมรับว่าเขาและเธอมีเวลาร่วมกันน้อยลง นั่นเป็นเพราะหน้าที่และความรับผิดชอบของติณณ์มีมากเหลือเกิน มากจนต้องแบ่งเวลาที่เขาควรจะมีให้เธอเพื่อทุ่มให้กับบริษัท Best News Group แต่ถึงกระนั้นหญิงสาวก็รู้ว่าทำอย่างไร ติณณ์ถึงจะมองเธอน่ารัก โดยการไม่บ่นไม่จู่จี้ หรือแสดงอาการน้อยใจให้เขาเห็น ติณณ์แอบชำเลืองหญิงสาวที่ยืนชมดวงจันทร์ข้างตัวบ่อยครั้ง รอยยิ้มที่ปรากฏตรงมุมปากสวย ๆ ของเธอทำให้เขาสัมผัสได้ว่าเธอกำลังผ่อนคลายและสบายใจเหมือน ๆ เหมือนกับที่เขากำลังรู้สึก ในสมองของเขาตอนนี้กำลังโลดแล่นไปที่โรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และกำลังตั้งคำถามกับตัวเองอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่า...ป่านนี้เธอคงกลับเข้าหอพักไปแล้ว “พี่ติณณ์ว่า...เราสองคนคบกันมานานรึยังคะ” จู่ ๆ ทิพรดาก็เอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ในขณะที่ความคิดของชายหนุ่มลอยไปไกลถึงใครอีกคน ชายหนุ่มจ้องใบหน้าหวานนั่น เธอเงยหน้าขึ้นคลี่รอยยิ้มหวานขณะสบตากับเขา ดวงตาของเธอทอประกายเหมือนแววตาเด็กน้อยที่กำลังรอรับขนมหวานจากมือผู้ใหญ่ ซึ่งแววตาแบบนั้นแหละที่ทำให้ใจติณณ์ใจไม่แข็งพอ หลาย ๆ ครั้งที่เขาอยากจะพูดอยากจะแสดงให้เธอเห็นถึงความสัมพันธ์ ความคิดและความรู้สึกที่ชัดเจนว่าเขามีให้เธอได้แค่ไหน แต่เมื่อเห็นแววตาแบบนี้จากเธอ ทำให้ติณณ์ใจไม่กล้าพอที่จะทำให้ทิพรดาเสียใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ว่าไงคะ...พี่ติณณ์ว่าเราสองคนคบกันมานานรึยัง” ทิพรดาสบตาชายหนุ่มอีกครั้งด้วยอย่างรอคำตอบจากเขาอย่างมีความหวัง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจนเกือบจะกลายเป็นสีดำสนิทของติณณ์ ทำให้ทิพรดาเคยเปรียบเล่น ๆ ว่า ดวงตาคู่นี้ของเขาหากได้จดจ้องดี ๆ ก็จะเหมือนดั่งผืนทะเลทรายที่กว้างใหญ่ยามที่ถูกแสงแดดเมื่อพลบค่ำอาบไล้ ไม่ว่ามองไปทางใดก็เจอแต่ความกว้างใหญ่ไผศาล ไร้ขอบเขต ทำให้คนมองอย่างเธอรู้สึกและสัมผัสถึงความว่างเปล่านั้น มันช่างอ้างว้างและดูเหน็บหนาวไปเสียทุกครั้ง ในขณะที่ติณณ์ที่ถูกหญิงสาวถามกลับเป็นครั้งที่สอง ชายหนุ่มก็ลอบถอนหายใจอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้เธอรับรู้ถึงอาการหนักใจกับคำถามของเธอ คำถามที่เขาไม่สามารถตอบเธอได้ว่าคบกับเธอมานานหรือยัง...เป็นเพราะอะไรน่ะหรือ เป็นเพราะเขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเขาได้เริ่มคบกับเธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่... กว่าจะรู้ตัวว่ามีหญิงสาวที่ชื่อทิพรดาใกล้ชิดในลักษณะของความสัมพันธ์ฉันคนรัก เขาก็ยากจะถอนตัวออกมาจากเธอได้ ชายหนุ่มนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจก็หลายทีที่ได้ละเลยวันเวลาต่าง ๆ มาจนถึงตอนนี้ ขนาดที่เขาเองก็ไม่อาจจะใจร้ายพอที่จะถอนตัวออกมาแล้วทิ้งเธอไว้ให้อยู่เพียงลำพังได้ เขาคงเป็นผู้ชายที่แย่ในสายตาคนอื่น ๆ ที่ให้ความหวังลม ๆแล้ง ๆ กับหญิงสาวเอาไว้หล่อเลี้ยงหัวใจของเธอ ติณณ์เลือกที่จะเลี่ยงตอบ จึงถามกลับไปว่า “ก็พอสมควร ทิพย์ถามทำไมเหรอครับ” “นานมาพอสมควรแล้ว...แล้วพี่ติณณ์ไม่คิดบ้างเหรอคะ ว่าเราสองคนควรจะแต่งงานกันเสียที” คำพูดของทิพรดาทำให้ติณณ์สะดุ้ง เขาไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ชายหนุ่มพยายามมองหน้าคนพูด เพื่อที่จะสบสายตากับเธอ ดูว่าเธอพูดล้อเล่นเขาเท่านั้น หรือว่าพูดจริงจัง แต่ติณณ์ก็ต้องพบกับความผิดหวัง เพราะเธอพูดแล้วเธอก็เอาแต่หลบสายตา โดยการเอนตัวมาพิงอกกว้างของเขา แล้วทอดสายตาเหม่อมองไปยังดวงจันทร์บนฟ้า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม