ในค่ำมีพระจันทร์เต็มดวงนั้น แสงจันทร์นวลอ่อนโยนส่องสาดกระทบกับสมุดไดอารี่สีแดงเล่มหนาที่วางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาเจ้าของจับจ้องมองดูสมุดไดอารี่ที่ว่าด้วยความรู้สึกบางอย่างที่หนักหน่วงอยู่ในอก พลางนึกไปถึงช่วงเวลาที่เลยผ่านมานานนับยี่สิบปี แน่นอนว่าไดอารี่เล่มนี้เธอใช้บันทึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขของชีวิต รอยยิ้มและเสียงหัวเราะของใครบางคน ได้ถูกเก็บเอาไว้ในนี้เกือบทั้งหมด
เธอทอดถอนใจทีหนึ่ง ก่อนเอื้อมมือไปไดอารี่เล่มหนาขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งยื่นมาเปิดพลิกไปยังตรงกลางของเล่มที่มีรูปถ่ายใบหนึ่งถูกสอดเก็บไว้ในนั้น
ทันทีที่พลิกรูปถ่ายกลับด้านขึ้นมาดู ดวงตาคู่สวยก็มีแววเศร้าสร้อย ก่อนที่มันจะเอ่อคลอไปด้วยม่านน้ำตาบาง ๆ เพียงแค่ได้เห็นรูปถ่ายใบนั้นให้ชัดเจนเต็มตาอีกครั้ง ในภาพนั้นมีผู้ชายสองคนและสาวสวยหนึ่งคนยืนอยู่ใกล้ชิดกัน ฉากหลังของคนทั้งสามเป็นประตูฟุตบอลของสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่ง เนื้อตัวของผู้ชายสองคนนั้นต่างก็เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
ใบหน้าของชายหนุ่มหล่อเหลาใกล้เคียงกันยิ่งนัก แต่หล่อไปคนละแบบมากกว่า คนหนึ่งผิวเข้มมีใบหน้าคมสันดั่งชายไทยแท้ ส่วนอีกคนหนึ่งหนึ่งนั้นมีผิวขาวสะอาดหน้าตาออกไปทางลูกครึ่งไทยแขก มีดวงตากลมโตที่ถูกบังไว้ด้วยแว่นตาใส ๆ ใกล้ ๆ สองหนุ่มนั้นมีหญิงสาวถักเปียสองข้างหอบผ้าขนหนูสีขาวแนบอก ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสสมกับเป็นสาวแรกรุ่น
เจ้าของรูปยกเลื่อนนิ้วชี้ไปยังใบหน้าของชายหนุ่มที่สวมแว่นตาใสแล้วใช้หัวนิ้วโป้งเกลี่ยเบา ๆ ตรงใบหน้าของเขา สายตาที่เต็มไปด้วยความรักและความน้อยใจมองดู...เธอก็อดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันความรู้สึกของตัวเองที่ตัดพ้อออกมาเบา ๆ
“ทำไมคุณถึงไม่เชื่อฉันบ้างคะ ทำไมไม่เชื่อว่า ฉันรัก...รักคุณคนเดียวจริง ๆ”
เธอยังคงมองชายหนุ่มในรูปนั่นด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ดวงตาเริ่มพร่ามัวขึ้นมาตามอารมณ์ที่สะเทือนใจที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ เมื่อเหตุการณ์ในครั้งก่อนมันแจ่มชัดขึ้นมา เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กะพริบตาถี่ ๆ เพื่อไล่น้ำตากลับไปข้างใน ก่อนจะเลื่อนสายตามองดูรอยแผลเป็นที่บ่งบอกว่าเมื่อก่อนนิ้วมือข้างนี้ได้ถูกวัตถุมีคมบางอย่างบาดเป็นแผลยาวบนโคนนิ้วโป้ง ซึ่งบาดแผลนี้ดูจะเป็นสิ่งที่ตอกย้ำให้เธอเจ็บลึกมากกว่าสิบปี เธอจดจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดี วันที่เธอได้รับบาดแผลนี้มา ไม่ใช่สิ...ไม่ใช่เพียงบาดแผลบนนิ้วมือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มันยังรวมไปถึงบาดแผลที่ฝังลึกย้ำลึกล้ำอยู่ในจิตใจ
แล้วในที่สุด เธอก็ไม่สามารถอดกลั้นความทรมานทางใจไว้ได้อีก เมื่อริมฝีปากบางสวยนั้นเผยอออกมา เหมือนคนที่กำลังกลั้นเสียงร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้ จึงกลายมาเป็นเสียงครวญครางอันแสดงให้เห็นถึงความทุกข์ระทมที่สะสมกันมาเนิ่นนานจนทะลักออกอย่างสุดกลั้น น้ำตาของเธอหยดแหมะลงตรงเป็นรอยแผลเป็นนูน ๆ
มันเกิดเรื่องบ้า ๆ ขึ้นมากับชะตากรรมของคนในรูปได้อย่างไร เธอใคร่รู้นัก
คนหนึ่งเป็นดั่งเพื่อนรัก เพื่อนสนิท อีกคนหนึ่งก็เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ
หญิงสาวเลื่อนรูปถ่ายใบนั้นแนบอก มือกุมประสานกันแน่นเนื้อตัวสั่นเทาตามอารมณ์ของคนที่กำลังร้องไห้เพราะเฝ้าคิดถึงคำนึงถึงเรื่องราวในคืนวันครั้งเก่าอันชื่นมื่นก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าสะเทือนใจในเวลาต่อมา
สายลมพัดโกรกเข้ามาทางหน้าต่าง สองหูของเธอดั่งเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะแว่วมากับสายลม ตาทั้งสองข้างย้อนกลับไปเห็นภาพของสองชายหนุ่มที่จับมือกัน สาบานเป็นเพื่อนรักไปจนตาย พร้อมกับถ้อยคำอวยพรของผู้ชายที่มีลักษณะคมคายอย่างชายไทยนั้น บอกอวยพรให้กับชายหญิงคู่ตรงหน้า ขอให้รักและสื่อสัตย์ต่อกันเรื่อยไป ทุกสิ่งทุกอย่างมันกำลังดำเนินไปด้วยดี ด้วยความผูกพันและจริงใจของความรักที่มีต่อกัน แต่แล้ววันหนึ่งมันก็เกิดเหตุการณ์พลิกผันดูน่าใจหายขึ้น
เพล้ง!
เสียงแจกันที่ตกลงกระทบพื้นตามแรงปาจากมือของใครคนหนึ่ง ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ใบหน้าถมึงทึงและแววตาโกรธแค้นที่อยู่ภายใต้แว่นตานั้น ทำให้หญิงสาวที่ทรุดฮวบลงไปกับพื้นเงยหน้าขึ้นมามองด้วยความรู้สึกยากที่จะเข้าถึง และยากที่จะสื่อสารให้เขารับฟังเหตุผลของเธอยิ่งนัก
‘ฉันรักคุณจริง ๆ นะคะ รักจริง ๆ มาถึงวันนี้ฉันก็ยังรักคุณ’
มีแต่ถ้อยคำในใจที่เธอรู้สึกอยู่เท่านั้นที่พูดออกมา และหวังว่าจะสามารถหยุดยั้งอารมณ์เกรี้ยวกราดของอีกฝ่ายได้ แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เมื่อเขาตอกกลับเธอมาด้วยถ้อยคำร้ายกาจยิ่งนัก
‘ไม่เชื่อ เธอมันหน้าไหว้หลังหลอก ตอแหล ไม่ไม่พ้นนังผู้หญิงแพศยา บอกมาเดี๋ยวนี้นะ ว่าเธอไปนอนกับมันมาใช่มั้ย!!’
‘ไม่ค่ะ!!’ เธอที่ทรุดนั่งลงบนพื้นรีบยันกายขึ้นมาเกาะตัวเขาไว้แน่นพร้อมกับปฏิเสธลั่น
คล้ายกับนึกได้ เขารีบเหลียวหน้ามาถามเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ‘แล้วตะวันใช่ลูกของผมรึเปล่า?’
และถ้อยคำนั้นดูจะทำให้หญิงสาวออกอาการตกใจอย่างที่สุด หญิงสาวตาโตกับคำพูดนั่น รีบอธิบายกับเขาเป็นการใหญ่ก่อนที่เขาจะเข้าใจเธอผิด ‘ทำไมคุณพูดแบบนั้นล่ะคะ ตะวันเป็นลูกของคุณจริง ๆ’
ริมฝีปากของยกขึ้นคล้ายยิ้มหยันก่อนจะลั่นวาจาอันน่าปวดใจต่อคนฟัง ‘ไม่เชื่อ’
‘จริง ๆ นะคะ ตะวันเป็นลูกของคุณจริง ๆ แล้วเตชก็ไม่ได้เป็นแบบที่คุณเข้าใจ เตชเขามีเหตุผล’
ชายหนุ่มหันหน้าอันโกรธขึ้งของเขากลับมามองหญิงสาวที่กำลังแก้ตัวให้ชู้รัก ‘ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามันทำกับผมยังไง มันกำลังบีบผม ...เพราะคุณนั่นแหละ มันคงโกรธที่ผมแย่งคุณมาใช่มั้ย’
เขาต่อว่าออกมาด้วยอารมณ์พาล เขาที่กำลังตกอยู่ในวงวันของความลุ่มหลง ทั้งความโกรธ ความระแวงจนขาดสติ รวมถึงความเครียดเกี่ยวกับผลของการดำเนินธุรกิจ โดยเรื่องทั้งหมดเขาโทษว่ามาจากเธอผู้เดียว
เธอนั่งมองเขาด้วยน้ำตา แต่ไม่มีความโกรธต่อเขาเลย ตรงกันข้ามเธอกลับสงสาร... สงสารที่เขากำลังตกเป็นเหยื่อของอารมณ์เกรี้ยวโกรธ หึงหวง ระแวง และสับสน รวมไปถึงความเครียดที่เกี่ยวกับเรื่องงานของเขาด้วยในตอนนั้น ที่ทำได้ตอนนี้เธอต้องคุมควบสติให้เขา รู้ว่าปัญหามันประดังประเดเข้ามาหมด เธอต้องคุมสติไม่ให้เตลิดเหมือนอีกฝ่ายไม่อย่างนั้นทุกอย่างก็จบ
‘ทำไมคุณไม่เชื่อใจฉันบ้างคะ ว่าฉันรักคุณคนเดียวจริง ๆ’ เธอพยายามอธิบายและยืนยันความจริงจากใจ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อ
‘ให้ผมเชื่อได้ยังไง ในเมื่อภาพมันก็ฟ้องผมอย่างเต็มตาขนาดนั้น ยังมีอะไรที่จะแก้ตัวอีก’
เขาปารูปถ่ายที่มีคนส่งมาให้ถึงบ้านลงไปที่ใบหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอที่เขาเคยโอบประคองด้วยความทะนุถนอมด้วยสองมือของเขาเอง ก่อนจะรีบหันหลังหนีภาพที่หญิงสาวน้ำตานองเต็มหน้าราวกับต้องการสลัดภาพอันน่าสงสารของเธอออกจากระยะการมองเห็นเพื่อเขาจะต้องไม่ใจอ่อนกับเธอ