การเริ่มต้นของเช้าวันใหม่สำหรับใครหลายๆ คนนั้นอาจดูมีความสุข แต่สำหรับเพียงตะวันแล้วมันกลับชวนให้หม่นหมองที่เผชิญหน้ากับชายหนุ่มผู้ซึ่งฝากการกระทำที่เลวร้ายไว้กับเธอเมี่อคืนที่ผ่านมา หากแต่เจ้าตัวกลับชักสีหน้าเรียบเฉยใส่ก่อนจะเดินนำหญิงสาวไปยังรถคันหรูที่จอดรอคนทั้งคู่อยู่ทันทีที่พบหน้า ไม่มีแม้แต่คำทักทายหรือคำขอโทษให้ได้ยิน ว่าเขาสำนึกผิดต่อเรื่องที่เกิดขึ้นมาบ้าง
หลังจากนิ่งเงียบไปตลอดทางในที่สุดรถลีมูนซีนสีดำสนิทก็ค่อนๆ เคลื่อนตัวเข้าไปด้านในตึกขนาดใหญ่ระฟ้าก่อนจะจอดเทียบท่าลงด้านหน้าที่มีชายฉกรรจ์อีกไม่ต่ำกว่าสิบคอยืนเข้าแถวเรียงรายยืนรออยู่ก่อนหน้า เพียงตะวันกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อมองเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของชายหนุ่มที่นั่งข้างๆ เข้าด้วยสายตาตัวเองทว่าเจ้าตัวนั้นกลับไม่รู้ตื่นเต้นอะไรเลยสักนิดนอกจากคว้าข้อมือเรียวสวยให้เดินออกไปจากรถพร้อมกับกับตัวเองเท่านั้น
“ปล่อยมือฉันเถอะค่ะคุณแมทธิว!” หญิงสาวร้องประท้วงขึ้นและพยายามสะบัดมือออกจากการจับกุมแต่ก็ไร้จะมีก็แต่เสียงเย็นๆ ที่เขาส่งผ่านมาให้ในนาทีต่อมาเท่านั้น
“ถ้ายังไม่หุบปากผมจะเปลี่ยนเป็นอุ้มคุณแทน” แมทธิวสยบความพยศรั้นของแม่ตัวดีด้วยสายตาดุดันก่อนจะออกตัวฉุดรั้งมือบางที่ตนเองกุมไว้แน่นเดินไปเบื้องหน้าท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่ต่างก็พากันตกใจไม่น้อย กับภาพที่ได้เห็นของท่านประธานใหญ่
จนเมื่อถึงที่หมายซึ่งก็คือชั้นบนสุดของตึกดังกล่าว แมทธิวถึงได้ยอมปล่อยก่อนจะจัดการแนะนำให้หญิงสาวได้รู้จักกันลีญ่า เลขาคนเก่งของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ
“นี่คุณลีญ่า เลขาประจำตัวของผม ส่วนนี่คุณเพียงตะวันครับลีญ่า นับจากนี้เธอจะเข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยให้คุณ” เขากล่าวแนะนำให้สองสาวได้รู้จักกันเพียงสั้นๆ ก่อนจะเบือนหน้าหนีเมื่อพบเข้ากับสายตาตกใจของเลขาสาว
“คุณ...เพียงตะวันเหรอคะ” อีกฝ่ายเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีตกใจไม่น้อย เมื่อได้เห็นหน้าของหญิงสาวที่เจ้านายพามาแนะนำให้ได้รู้จัก
“ค่ะ ดิฉันชื่อเพียงตะวัน ว่าแต่ว่าคุณ...มีอะไรรึเปล่าคะ” เพียงตะวันย้อนรอยถามกลับไปบ้างเพราะสีหน้าของคุณเลขาในตอนนี้นั้นเหมือนเธอกำลังตกใจถึงขีดสุด แต่พอได้ยินคำตอบจากเธอสีหน้าเหล่านั้นก็ค่อยๆ เจือจางและหายไปในที่สุด
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณสวยมากเลยนะคะ ดิฉันทราบเรื่องที่คุณจะมาทำงานที่นี่กับท่านประธานตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ก็เลยสั่งให้คนจัดเตรียมโต๊ะทำงานเอาไว้ให้แล้ว ไปดูสิคะว่าชอบรึเปล่า” ลีญ่ากล่าวทักทายแต่เพียงสั้นๆ ก่อนจะอาสาเดินนำผู้ช่วยเลขาของตัวเองไปยังโต๊ะทำงานที่อยู่ถัดไปจากโต๊ะของตนเองไม่ไกลเท่าไหร่โดยมีแมทธิวยืนมองสองสาวอยู่ห่างๆ ก่อนจะหันไปหาคนสนิทอีกคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา
“ได้ข่าวเคนรึยัง”
“ยังเลยครับนาย แต่ล่าสุดมันส่งข่าวกลับมาว่าตอนนี้เดินทางถึงประเทศไทยแล้วครับ สักพักคงติดต่อกลับมา” แมทธิวพยักหน้ารับคำตอบ ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าเข้าห้องทำงานของตัวเองไปในที่สุด
อีกด้านหนึ่งหลังจากที่ชายหนุ่มเดินหายลับสายตาไปเพียงตะวันจึงตัดสินใจเอ่ยถามลีญ่าถึงความเป็นมาของเขา เพราะเธอเป็นถึงผู้ช่วยเลขา จำจะต้องได้รู้เรื่องอะไรดีดีเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอยู่ไม่น้อย ซึ่งมันก็จริง
“คุณแมทธิวเป็นคนยังไงอย่างนั้นเหรอคะ ถ้าเรื่องงานท่านเป็นคนที่เด็ดขาดมากเลยค่ะ แต่ถ้าเรื่องอื่นฉันเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ อ้อจริงสิ! แต่ฉันเคยได้ยินคนสนิทของท่านคุยเรื่องคนรักที่หายตัวไปด้วยนะคะ เห็นว่าแอบคบกันแบบลับๆ อยู่หลายปีจนเกือบจะได้แต่งงานกันอยู่แล้วเชียว แต่ว่าจู่ๆ เธอกลับหายตัวไป ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ดูเป็นคนเก็บตัวมากขึ้น และไม่มีใครเคยเห็นรอยยิ้มจากท่านสักเท่าไหร่ น่าเสียดายนะคะว่าไหม คุณตะวันจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ เลยล่ะค่ะว่าเมื่อก่อนท่านประธานเป็นคนยิ้มเก่งมากแค่ไหน” คำบอกเล่าที่ได้ทำเอาเพียงตะวันนิ่งไปนานกับสิ่งที่ได้ยิน หากเป็นเรื่องจริงอย่างที่เลขาคนนี้ว่ามาทั้งหมด
อดีตของเขาคนมันเลวร้าย และน่าสงสารมากจับใจเลยทีเดียว
“แล้วไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้จักผู้หญิงคนนั้นเลยเหรอคะ ว่าเธอเป็นใคร หน้าตาแบบไหน” เพียงตะวันยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะเอ่ยถามในสิ่งที่อยากจะรู้ต่อไป
“เท่าที่ทราบไม่มีนะคะ หรือถ้าจะมีก็คงจะเป็นลูกน้องคนสนิทที่ไม่ว่าท่านประธานจะไปที่ไหนก็ต้องติดสอบห้อยตามไปอย่างเคนเท่านั้นที่น่าจะพอเคยเจอผู้หญิงคนนั้นบ้าง เพราะท่านกับเธอคบกันแบบลับๆ ไม่อยากให้เป็นข่าว เลยแทบจะไม่มีใครรู้เรื่องของผู้หญิงที่น่าอิจฉาคนนั้นเท่าไหร่” ลีญ่าตอบกลับไปตามที่ได้รู้ ในใจไม่ได้นึกสงสัยถึงความรู้สึกของผู้ช่วยเลขาคนใหม่ตรงหน้าเท่าไหร่นัก เพราะหากจะเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ก็คงไม่ผิดอะไรที่เธอจะอยากรู้ และพยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้านายของตัวเอง ให้ได้มากที่สุด
“เคนอย่างนั้นเหรอคะ แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหนคะ”
“เห็นว่าตอนนี้เดินทางไปทำงานสำคัญให้คุณแมทอยู่ค่ะ คงอีกสักพักแหละค่ะเขาถึงจะกลับมา อีกเดี๋ยวคุณก็จะได้เห็นเอง” หญิงสาวน้อมรับทุกสิ่งที่รู้ก่อนจะเปลี่ยนประเด็นช่วยหญิงสาวตรงหน้าพูดคุยถึงเรื่องอื่นๆ ในใจก็เฝ้าภาวนาให้ตัวเองได้มีโอกาสเจอผู้ชายที่ชื่อ ‘เคน’ คนนั้นบ้างสักครั้ง เผื่อจะได้ลองถามสิ่งที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจออกไป
ปัญหาแรกในการเริ่มทำงานของเพชรน้ำหนึ่งนั้นเริ่มต้นขึ้นด้วยการกินยายากของคนป่วยจอมงอแง ที่กระทั่งตอนนี้ก็เอาแต่ขังตัวเองอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา ไม่ยอมออกมาทานยาตามกำหนด หญิงสาวเฝ้าแต่มองภาพของชายหนุ่มที่กำลังซุกตัวอยู่บนเตียงกว้างอย่างอดขำไม่ได้เพราะท่าทางของเขาในตอนนี้ เหมือนเด็กๆ ที่เธอเคยดูแลไม่มีผิด
“ลุกขึ้นมาทานยาหน่อยเถอะนะคะคุณชาย”
“ผมไม่อยากทานครับ คุณเอาออกไปเถอะ” หากยอมถอยกลับออกไปง่ายๆ คงไม่ใช่เพชรน้ำหนึ่งคนนี้แน่ หญิงสาวคิดในใจก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าหา พร้อมทั้งทิ้งตัวลงบนเตียงกว้างอย่างถือสิทธิ์
“คุณไม่อยากหายป่วยหรือคะ”
“อยากสิครับ แต่ผมเบื่อที่ต้องกินยาทุกวัน หรือคุณไม่รู้ว่ามันขมแค่ไหน”คนเอาแต่ใจให้คำตอบก่อนจะซุกตัวอยู่ในนั้นเช่นเดิมอย่างคนไม่ยอมแพ้
“ที่ขมก็เพราะว่ามันเป็นยานี่ค่ะคุณชาย ถ้าไม่กินยาแล้วเมื่อไหร่ร่างกายของคุณชายจะกลับมาแข็งแรงอีกครั้งล่ะคะ นะคะคุณชาย ลุกขึ้นมาทานยาหน่อยนะคะ” พยาบาลสาวเว้าวอนหนักขึ้น ก่อนจะกระชากผ้านวมผืนหนาหวังจะให้มันหลุดออกแต่อีกฝ่ายกลับรู้ทันเกมส์เอื้อมมือมาฉุดรั้งมันเอาไว้ก่อนพร้อมทั้งกระตุกแรงๆ จนทำให้ร่างเล็กถลาล้มลงไปบนเตียงอย่างแรง
“โอ้ย เจ็บจังค่ะ!” หญิงสาวแสร้งส่งเสียงร้องขึ้น และมันได้ผลเมื่อเสียงนั้นทำให้ให้ไมล์ยอมตัวเองออกมาจากผ้านวมด้วยความเป็นห่วงอีกคน แต่กลับได้เห็นเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนตรงหน้าเท่านั้น
“นี่คุณหลอกผมเหรอครับ”
“ฉันไม่ได้หลอกคุณชายนะคะ ฉันเจ็บจริงๆ แต่ที่ยิ้มก็เพราะดีใจที่คุณชายยอมออกมาจากผ้านวมแล้วต่างหาก มาทานยาเถอะนะคะ จะได้ลงไปเดินเล่น เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพของคุณชายเลยนะคะ” พยาบาลสาวหลอกล่อก่อนจะยื่นเม็ดยาส่งไปให้แต่ไมล์กลับส่ายหน้าไม่ยอมรับมันไปท่าเดียว
“อย่าบังคับผมเลยนะครับ ผมไม่ชอบทานยา”