“แล้วแกจะไปไหนต่อล่ะ ฉันว่าจะไปหาอะไรกินสักหน่อย ถ้าแกว่างก็ไปด้วยกัน เดี๋ยวฉันเลี้ยง”
พลันใบเฟิร์นก็เอ่ยถาม ฉันเหลือบไปมองใบหน้าสวยคมที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางจัดจ้าน เดาได้ว่าที่ที่หล่อนจะไปก็คงไม่พ้นร้านอาหารห้างไฮโซดังๆ เป็นแน่ ก่อนจะปฏิเสธออกไป
“แกไปเหอะ ฉันว่าจะไปหางานใหม่ทำ เพิ่งโดนเลิกจ้างไป ไม่หางานทำเดี๋ยวได้อดตายกันพอดี”
“เอางั้นก็แล้วแต่ จะออกไปเลยมั้ยล่ะ จะได้เดินไปพร้อมกัน วันนี้ฉันจอดรถไว้หน้ามอพอดี”
ฉันพยักหน้าตอบตกลง เท่านั้นใบเฟิร์นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เก็บอุปกรณ์แต่งหน้าทั้งหมดลงกระเป่าแล้วลุกผลุงเดินนำลิ่วๆ ออกจากคลาสไป ปล่อยให้ฉันเดินตามหลังราวกับลูกกะจ๊อกเดินตามเจ้านายก็ไม่ปาน -_-;;
เอาจริงๆ ฉันกับยัยนี่ค่อนข้างมีไลฟ์สไตล์แตกต่างกันอยู่มากนะ ใบเฟิร์นเป็นประเภทคุณหนูที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง แม้เธอจะไม่ใช่สาวสวยขาวหมวยตามแบบฉบับความสวยยอดนิยม แต่ผิวสีน้ำผึ้งกับหน้าตาคมแบบไทยๆ บวกกับทรวดทรงองค์เอวที่ฮอตของเธอก็ทำให้มีหนุ่มๆ มาแจกขนมจีบไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง... ฝรั่ง = = เหมือนเธอจะเข้าข่ายสเป็กของหนุ่มๆ พวกนี้เข้าอย่างจัง ซ้ำยังหัวอินเตอร์ ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างจะต้องเป็นแบรนด์เนมเท่านั้น ในขณะที่ฉันใช้แต่ของตลาดนัด รูปร่างก็แลดูแบนแท่ดไปหมดทุกสัดส่วน หน้าตาก็หมวยๆ สเป็กหนุ่มไทยมากกว่า แถมยังมีชีวิตอนาถายากจนข้นแค้นผิดกับยัยนี่ราวฟ้ากับเหว -_- ยอมรับเลยก็ได้ว่าบางครั้งก็อดนึกอิจฉาไม่ได้กับความรวยของยัยนี่ คิดแล้วก็หมั่นไส้ ฮึ!
ไม่นานนักฉันกับยัยใบเฟิร์นก็มาถึงยังลานจอดรถหน้ามหาวิทยาลัย ยัยนั่นโยนข้าวของเข้าไปในรถแล้วหันมาถามฉันที่ยกมือป้องแดดกระทบหน้าท่ามกลางความร้อนระอุกว่าสามสิบองศาของประเทศไทย
“แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ฉันไปส่ง วันนี้แดดมันร้อนนะแก กว่าจะขึ้นรถมงรถเมล์ได้ลมใส่ก่อนพอดี”
“ฉันชินแล้ว แกจะไปก็ไปเถอะ มัวแต่ยืดยาดอยู่ได้”
แล้วฉันก็โบกมือปฏิเสธอีกครั้งกับความหวังดีของยัยนี่ ใบเฟิร์นเองก็ไม่ใช่คนชอบตอแย จึงผลุบเข้าไปในรถเก๋งป้ายแดงของเธอก่อนสตาร์ทเครื่องพร้อมลดกระจกลง บอกลาฉันก่อนไปอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ มีอะไรให้ช่วยก็โทรมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันรีบบึ่งรถมาหา”
“ไปเหอะ ไม่ต้องห่วง”
ตัดบทโบกมือให้เพื่อนรักเสร็จสรรพ พอเห็นใบเฟิร์นเข้าเกียร์เตรียมถอยรถ ฉันก็หมุนตัวหมายจะเดินไปยังป้ายรถเมล์ซึ่งอยู่ไม่ไกลมากนัก
ทว่าออกเดินได้ไม่กี่ก้าว เสียงรถเบรกเอี๊ยดก็ดังลั่นพร้อมกับเสียงร้องโวยวายแหลมๆ ที่คุ้นหู ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมองอย่างตกใจ
“เฮ้ย! พุ่งเข้ามานี่ไม่เห็นหรือไงว่ารถเค้ากำลังถอยอยู่น่ะ!”
ภาพที่เห็นคือยัยใบเฟิร์นชะโงกหน้าตะโกนใส่รถอีกคันที่พุ่งเข้ามาจอดสนิทอยู่ท้ายรถของเธอขณะที่เธอกำลังถอยรถ จนต้องเบรกกะทันหันด้วยสีหน้าหงุดหงิดสุดฤทธิ์ ก่อนจะกระชากประตูลงมายืนเท้าเอวโวยวายต่อโดยไม่เกรงสายตาของผู้คนรอบข้างที่มองมายังหล่อนสักนิด
“เอ้าๆ ผิดแล้วยังเฉยอีก ขับรถแบบนี้รู้มั้ยว่าเค้าเรียกว่าไม่มีมารยาทน่ะคุณ! ดีนะที่ไม่ชน รถฉันเพิ่งจะถอยมาใหม่นะยะ!”
พอเห็นว่าเจ้าของรถคู่กรณีไม่มีท่าทีจะลงมาจากรถ ฉันก็รีบปรี่เข้าไปหาเพื่อนเพื่อปรามให้เธอสงบสติก่อนเรื่องจะบานปลายไปเป็นเรื่องใหญ่ เพราะดูแล้วยัยใบเฟิร์นคงโมโหอยู่ไม่น้อย
“ใบเฟิร์น... แกใจเย็นๆ ก่อน ไม่ชนก็ดีแล้ว อย่าเสียงดังนักเลย อายเค้า”
“อายก็อาย ใครจะสน ไอ้รถคันนี้ต่างหากที่ต้องอาย ดูสิ! ขับเมอร์เซเดซ-เบนซ์เสียเปล่า แต่กลับไม่มีมารยาท เฮอะ!”
เหมือนจะไม่ได้ผล -_-;; ยัยนั่นยังคงโวยวายซ้ำยังพาดพิงไปถึงเจ้ารถเบนซ์สีดำขลับด้วยความหมั่นไส้อีกต่างหาก ฉันจึงตัดสินใจลากยัยนี่ไปที่รถตัวเอง ก่อนจะหลอกล่อให้สงบอารมณ์อีกครั้ง
“เดี๋ยวฉันจัดการให้ แกใจเย็นๆ ก่อน มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตซะหน่อย แค่ให้คนขับรถนั่นมาขอโทษก็พอใจใช่มั้ย”
ถึงใบเฟิร์นจะไม่ตอบ แต่ดูสายตาก็รู้ไปถึงตับไต ฉันได้แต่สายหัวน้อยๆ กับนิสัยของยัยนี่ ก่อนตรงไปยังรถคู่กรณีเพื่อสนองอารมณ์ยัยเพื่อนจอมวีนนี่ให้เสร็จสิ้น จะได้ไปหางงหางานทำสักที โดยไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่าสิ่งที่ฉันตัดสินใจทำนั้นมันจะนำพาปัญหามาสู่ตัวฉันเอง
ฉันยกมือขึ้นหมายจะเคาะกระจกให้รถคู่กรณีลดกระจกลงมาคุยกัน แต่ไม่ทันจะเดินไปใกล้ตัวรถดี กระจกรถด้านหน้าข้างคนขับก็ลดลงมาพร้อมกับปรากฏใบหน้าของชายฉกรรจ์ตัวใหญ่ใส่แว่นดำในชุดสูท โดยที่คนขับซึ่งนั่งอยู่ข้างกันนั้นก็แต่งตัวไม่ได้ต่างกัน ดูประหนึ่งจับนักมวยปล้ำแชมป์โลกมาใส่สูทก็ไม่ปาน ทำเอาฉันชะงักกึก เสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที...
บอกฉันหน่อยเถอะว่านี่ไม่ใช่รถของเจ้าพ่อที่ไหนน่ะ! =O=;;
“ผู้หญิงคนนี้หรือครับที่บอก”
จู่ๆ หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น พลางหันไปถามใครบางคนที่นั่งอยู่ทางเบาะหลัง ซึ่งฉันเองก็ไม่เห็นหน้าเพราะรถคันนี้ปิดฟิล์มมืดทึบ ครู่เดียวเขาก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วพูดขึ้นอีกครั้ง
“งั้นผมจัดการเลยนะครับ”
จัดการหรือ? จัดการอะไร -_-?;;
ไม่ทันได้สงสัยไปมากกว่านี้ นายคนที่นั่งข้างคนขับก็ก้าวลงจากรถมายืนตัวใหญ่กินพื้นที่โลกตรงหน้าฉัน ยิ่งเห็นขนาดตัวเต็มๆ แบบนี้ ความตั้งใจที่จะมาขอให้คนพวกนี้ไปขอโทษยัยใบเฟิร์นก็มลายหายไปสิ้น ฉันคิดว่าฉันสมควรจะถอยทัพอย่างเร่งด่วน มือหมอนั่นข้างเดียวบีบหัวฉันสมองกระจายได้ง่ายๆ เลยนะเนี่ย = =
“คุณครับ เชิญทางนี้หน่อยครับ เจ้านายผมมีธุระจะคุยด้วย”
สายไปแล้ว ยังไม่ได้แม้แต่จะขยับตัว อีตาร่างยักษ์นี่ก็กระดิกนิ้วเรียกฉันยิกๆ ฉันก็ได้แต่แกล้งซื่อ ชี้หน้าตัวเองเหมือนถามว่า ‘ฉันน่ะหรือ’ อะไรประมาณนี้ =_=;;
“คุณนั่นแหละครับ เชิญทางนี้หน่อย”
“=_=;;”
เอ่อ... ทำไมต้องทำหน้าดุใส่กันด้วย จนแล้วจนรอดฉันก็ตรงเข้าไปหาหมอนี่จนได้ พอหยุดยืนหน้าประตูฝั่งด้านหลัง นายยักษ์ก็ประกบข้างหลังฉันทันที พร้อมๆ กับกระจกหน้าต่างหลังลดลงช้าๆ ทำเอาใจฉันเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ เสียวสันหลังตัวเองขึ้นมาวาบๆ โดยฉับพลัน
วีนใส่ใครไม่วีน ดันมาวีนใส่มาเฟีย ยัยใบเฟิร์นเอ๊ย! เห็นมั้ยเนี่ยว่าเพื่อนเดือดร้อนแทนแล้ว! TOT;;
แต่เมื่อกระจกลดลงมาจนเห็นใบหน้าของผู้อยู่ด้านใน ความคิดในตอนแรกเรื่องมาเฟียอะไรนี่ก็หายสิ้นไปจากสมองของฉันเมื่อประสบพบหน้าขาวๆ ของชายหนุ่มที่จดจำได้ขึ้นใจ ก่อนฉันจะร้องลั่นพลางชี้หน้าเขาราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน
...จะไม่จำขึ้นใจได้ไง ก็ไอ้คนที่อยู่ในรถนั่นมันเป็นคนเดียวกับคนที่พยายามจะจูบฉันเมื่อวานน่ะเซ่!
“อะ...อีตาเสี่ยธาม! =O=!”
“เสี่ยธงเสี่ยธามอะไรกันเล่าน้องอองฟอง ต้องเรียกพี่ธามถึงจะถูก” หมอนั่นส่งยิ้มมาให้ฉันพร้อมยักคิ้วใส่อย่างกวนๆ
“มะ...มาที่นี่ทำไม”
ไม่รู้อะไรดลใจให้ฉันถามคำถามนี้ออกไป แต่ฉันรู้สึกว่าการมาเจอเขาในวันนี้ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ก็โรงแรมแกรนด์เซบาสเตียนกับมหาวิทยาลัยของฉันอยู่ไกลกันตั้งเยอะ เขาคงไม่เผอิญผ่านมาทำธุระแล้วมาเจอฉันแน่ -_-;;
“เผอิญพี่มาทำธุระให้คุณหญิงปรางค์น่ะ บังเอิญจังเลยนะที่มาเจอน้องอองฟองที่นี่พอดี” ว่าพลางยักคิ้วให้อีกรอบ
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญไปทำธุระต่อให้เสร็จเถอะค่ะ ดิฉันขอตัว”
ฉันรีบเอี้ยวตัวหมายจะหมุนกลับ แต่ก็ถูกสกัดไว้ด้วยร่างใหญ่เบิ้มของนายยักษ์ที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก่อนเขาจะถือวิสาสะจับบ่าฉันแล้วหมุนให้ฉันหันหน้ากลับมาทางอีตาพี่ธามตามเดิม
“เฮ้ย! อะไรเนี่ย” ฉันร้องโวยวายเบาๆ ขณะที่หมอนั่นแทรกขึ้น
“คุณหญิงปรางค์สั่งให้พี่มาตามหาใครบางคนน่ะ ตอนนี้ธุระของพี่เสร็จแล้วล่ะ”
ไม่ได้อยากรู้เลยย่ะ! ไม่ต้องมาบอก -*- เสร็จแล้วก็ไปๆ เสียทีสิยะ ไอ้เรื่องขอทงขอโทษยัยใบเฟิร์นนี่ไม่ต้องแล้วก็ได้ เมื่อกี้ฉันตั้งใจจะทำอะไรก็เป็นโมฆะไปแล้วกัน
“งั้นเราไปกันเถอะ ตากแดดนานๆ มันร้อนนะ”
เออ ไปซะได้ก็ดี... แต่เอ๊ะ! อะไรนะ? ใครคือเรา? ใครตากแดด? หมอนั่นก็นั่งอยู่ข้างในรถนี่ โดนแดดที่ไหนกัน...
และก็ไม่ทันได้ถามอีกครั้ง นายยักษ์พยักหน้ารับคำสั่งนายก่อนจะพุ่งเข้ามาหิ้วปีกฉันจนตัวลอย พร้อมเปิดประตูหลังแล้วยัดเข้าไปข้างในโดยมีอีตามนุษย์หื่นคอยรับอยู่ ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากจนฉันไม่อาจจับต้นชนปลายถูก รู้ตัวอีกทีก็ถูกล็อกตัว พร้อมกับรถที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าเป็นที่เรียบร้อย โดยมีเสียงจากคนข้างๆ ฉันดังขึ้นมาอย่างอารมณ์ดีกับผลงานของตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือการจับตัวฉันขึ้นรถอย่างไม่สมยอมนี่เอง!
“ไม่คิดเลยว่าจะเจอตัวเร็วขนาดนี้ ถ้าไม่ได้เจอยัยสาวปากตลาดนั่นโวยวายใส่ กว่าจะหาตัวเธอเจอคงเสียเวลาเป็นวันแน่ โชคดีจริงๆ เลยนะน้องอองฟอง ^-^”
อย่าบอกนะว่าที่เจอฉันนี่เป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ อย่างที่ว่าน่ะ! อะไรจะซวยขนาดนี้! =O=!!
“คุณแม่ก็บอกยัยนี่ไปตรงๆ เลยสิครับว่าจะให้สอนวิชา ‘เอาใจผู้หญิง’ ให้ผมน่ะ ไม่เห็นต้องพูดอะไรให้เยิ่นเย้อเลย”
เหมือนพอร์ชก็คงคิดเหมือนฉัน จู่ๆ เขาก็พูดทะลุกลางปล้องขึ้นมา ทำเอาฉันอ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู พลันร้องแหกปากลั่น
“ว่าไงนะ! วิชาเอาใจผู้หญิงเนี่ยนะ! =[]=;;”
“ได้ยินไม่ผิดหรอก อย่างที่พอร์ชว่านั่นแหละ”
พอลูกตอบ คุณแม่ก็คอนเฟิร์มทันใด แต่เดี๋ยวนะ! ขอฉันตั้งหลักแป๊บ! วิชาบ้านี่มันอะไรกัน หมอนี่ก็ท่าทางออกจะแบดบอย เรื่องจีบสาวไม่น่าต้องห่วง จะต้องมาเรียนอะไรอีกเนี่ย =_=;;
ไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไร มัวแต่อ้ำอึ้ง คุณหญิงปรางค์ก็ตรงเข้ามาตบบ่าฉันปุ จัดการฝากฝังลูกชายเสร็จสรรพแล้วก็จากไปทันใด
“ฝากด้วยแล้วกันนะ เชื่อว่าเรื่องแค่นี้คงไม่คณามือเธอแน่ ถึงหน้าตาเธอจะแสดงออกว่าไม่อยากสอนสักเท่าไหร่แต่ก็ยกเลิกสัญญาไม่ได้แล้ว อย่าลืมนะว่าอายุสัญญามันหนึ่งปี ไม่อย่างนั้นเธอต้องเสียค่าปรับให้ฉันหัวโตแน่”
ไม่คณาบ้าบออะไรกันเล่าป้า! นี่มันมัดมือชกชัดๆ เลย! TOT;;
ฉันได้แต่มองตามหลังยัยป้าตีกระบังโต้ลมเดินจากไปอย่างอาลัยอาวรณ์ วิชาบ้าบอนี่ฉันจะสอนอีตาพอร์ชได้ยังไงกันเล่า! T^T;;