บทที่4
เมื่อจัดของบนโต๊ะเรียบร้อย บีและป้าจุ้มก็ยืนคอยอยู่ที่โต๊ะอาหารเพื่อจะคอยรับใช้ เมื่อคนบนโต๊ะต้องการอะไรเพิ่มเติม
ท่าทางอาหารบนโต๊ะคงเอร็ดอร่อย เพราะทุกคนกินกันเงียบ แม้กระทั่งสาวสวยที่ชื่อเมย์ยังก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างเดียว
เธอคงจะหิวจัดจริงๆ คุณใหญ่ช่างใจร้ายปล่อยให้แฟนหิวจัดอย่างนี้ได้ไง...
บีแอบมองชายหนุ่มซ้ำๆ ที่นั่งกินข้าวเงียบๆ ความดีใจที่เขากลับมาอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเขาจะมาอยู่กี่วัน ช่วงเวลาที่เหลือเธอจะขอบคุณเขาสักครั้งกับเรื่องที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะไม่อยากรับฟังก็ตาม
“อาหารที่บ้านคุณแม่อร่อยจัง” เสียงหวานเอ่ยประจบแทรกความเงียบขึ้น แล้วรวบช้อนเข้าหากัน ตามด้วย น้ำเย็นเกือบหมดแก้ว แสดงว่าเธอคงอิ่มแล้ว
“หรือจ๊ะ” เจ้าของบ้านเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม แล้วรวบช้อนเข้าหากัน ตามด้วยน้ำเย็นไปอีกคน
“คราวหน้า...เมย์ขอมาฝากท้องที่นี่อีกนะคะ”
“ได้จ้ะ บ้านหลังนี้ต้อนรับหนูเมย์เสมอ”
เจ้าของบ้านดูจะปลื้มเอามาก ๆ แต่ลูกชายกลับไม่เอ่ยอะไรสักคำ ตั้งหน้าตั้งตากินอาหารเหมือนคนที่เจอของถูกใจจนไม่อย่างจะละสายตา แล้วก็รวบช้อนเสร็จไปอีกคนเช่นกัน
“ป้าจุ้มทำอาหารได้อร่อยเหมือนเดิมนะครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมมองหน้าคนที่เขากำลังพูดถึง แต่อีกคนที่ชายหนุ่มไม่เคยสนใจกลับสะดุ้ง รู้สึกดีใจลึกๆ
"ใครว่าป้าทำล่ะคะ" นางเอ่ยส่งค้อนไปให้ชายหนุ่ม
“อ้าว...ไม่ใช้ป้าทำแล้วใครจะทำได้อร่อยแบบนี้ล่ะครับ นี่ขนาดคุณเมย์ยังเอ่ยปากชมเลย” ชายหนุ่มเอ่ยเป็นงานเป็นการครั้งแรก และรู้สึกมั่นใจว่าอาหารมื้อนี้เป็นฝีมือใครไปไม่ได้นอกจากป้าจุ้ม
“ก็...” ป้าจุ้มเอ่ยค้าง เมื่อเสียงกระแอมสองสามครั้งของประมุขบ้านดังขึ้น ทำให้ป้าจุ้มและคนที่กำลังสนทนากันหันมอง และหยุดพูดทันที
"ใครทำก็ช่างเถอะ...อย่าไปสนใจ แม่ว่าเราออกไปนั่งรับลมนอกตึกกันเถอะ...แม่มีเรื่องอยากถามเยอะเลย" นางเอ่ยขัดขึ้น เหมือนต้องการขวางคำตอบ หรือรำคาญบทสนทนาของลูกชายกับแม่บ้านกระนั้น
ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย "ก็...ตามใจคุณแม่สิ" มันไม่จำเป็นที่ใครจะทำอาหารให้กิน เรื่องของผู้เป็นแม่สำคัญกว่าเป็นไหนๆ แล้วทั้งหมดก็ลุกออกไป
มนธิรากัดริมฝีปากเม้มเข้าหากัน รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับการกระทำของผู้เป็นนายหญิง แต่เธอจะหวังอะไรมากมาย
แค่เขารู้ว่าใครเป็นคนทำอาหาร แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา...
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ป้าจุ่มเอ่ยขึ้น มองหญิงสาวตรงหน้า ที่ยืนเหม่อลอยอย่างเวทนา
“ไม่เป็นไรค่ะ” เสียงแหบๆ ตอบออกไป แล้วรีบจัดการเก็บของบนโต๊ะตามหน้าที่ที่เธอเคยทำเป็นประจำ
“เดี๋ยวป้าไปเตรียมของว่าง ให้พวกคุณเขาก่อนนะ” ป้าจุ่มเอ่ยบอกแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ความเศร้าเข้ามาเยือนในใจของมนธิราอีกครั้งอย่างเงียบๆ
เสียงหัวเราะที่กำลังสนทนากันอย่างออกรส ทำให้เท้าบางๆ ชะงักอย่างไม่ตั้งใจ เมื่อได้ยินคำพูดสนทนาโดยบังเอิญ
“ใหญ่ ตอนนี้อายุก็มากแล้วนะ เมื่อไหร่จะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสียทีล่ะ?”
“.....” ชายหนุ่มชะงักเงียบ
เสียงหัวเราะเงียบลง ธาดาหันมองหน้าหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้แค่เอื้อม ที่นั่งมองเขาและยิ้มหวานเหมือนกำลังรอรับฟังอยู่เช่นกัน แต่ติดที่ชายหนุ่มเองกลับไม่มีคำตอบให้
แม่ต้องการให้เขาแต่งงาน แต่งกับใครล่ะ...ในเมื่อผู้หญิงที่เขาต้องการหา ให้มาเป็นแม่ของลูกเขา เขายังหาไม่เจอเลย...
“ว่าไง?” ผู้เป็นแม่ย้ำอีกครั้ง
"ผม..." ชายหนุ่มหยุดพูด
เหมือนระฆังดังหมดยก เสียงเหยียบใบไม้แห้งของใครบางคน เปลี่ยนใจชายหนุ่มให้หยุดพูดและหันมอง เขาไม่ได้โมโหเธอที่เข้ามาขัดจังหวะ แต่เขารู้สึกดีที่เธอเข้ามาได้จังหวะนั่นเอง
คุณปราณี และสาวสวยอย่างเมรี ถึงกับหันมามองคนที่เดินถือถาดเข้ามาใหม่อย่างอารมณ์เสีย อารมณ์ที่กำลังตั้งใจคอยคำตอบของชายหนุ่มเป็นอันสะดุดลง
มนธิรารีบปรับสีหน้า และปรับอารมณ์ที่รู้สึกตื่นกลัวกับสายตาที่มองเธอเป็นตาเดียวกัน
แปลกที่มีแต่เขาที่ไม่ได้มองเธอเหมือนกับคนอื่นๆ ที่มองเธอเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเธออย่างไรอย่างนั้น
“รีบวางแล้วรีบไป ก่อนที่ฉันจะหมดอารมณ์” คุณปราณีเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาคาดโทษ
มนธิราก้มหน้านิ่ง รีบวางถ้วยของหวานให้แต่ละคนด้วยอาการมือไม้สั่น ธาดารีบหยิบถ้วยของหวานแล้วใช้ช้อนขนมสีสดตักเข้าปาก ทำเป็นลืมเรื่องที่ยังตอบค้างคาอยู่ แล้วไม่สนใจอะไรอีก
แต่อารมณ์เมรี สาวสวยที่ธาดาควงมามันยังเก็บอารมณ์โกธรไว้ไม่หมด พานระบายด้วยสายตาใส่หญิงสาวตรงหน้า
เมรีมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้า ก่อนหน้านี้เธอไม่สนใจหญิงสาวคนนี้ เพราะคิดว่าเธอก็แค่สาวใช้ หรือไม่ก็ลูกคนใช้ในบ้าน แต่ดูๆ ตอนนี้หญิงสาวคนนี้สวยน่ามอง ยิ่งเมื่อเธอทำให้เธออารมณ์เสีย เธอก็เลยได้สังเกตเห็นว่า เธอสวยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเป็นคนใช้ได้
“ผู้หญิงคนนี้ ลูกคนใช้ในบ้านหรือคะ?” เมรีเอ่ยถามทันที ไม่อยากปล่อยให้ความสงสัยอยู่ในหัวนานเกินไป
ธาดาเกือบสำลักของหวานในปากของตัวเอง เมื่อได้ยินคำถามของหญิงสาวที่ขอตามเขากลับมาจากอังกฤษด้วย มนธิราเองก็ตกใจเล็กน้อยกับคำถามของสาวสวย ไม่คิดว่าผู้หญิงที่คุณใหญ่ควงมาด้วยจะสนใจอะไรในตัวเธอ แต่สายตาทุกคู่มองตวัดส่งมาที่เธอ เหมือนเธอเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เป็นคำถาม พร้อมกับเป็นคำตอบที่ยากจะตอบ
นางปราณีถึงกับปิดปากเงียบ กำลังหาคำตอบอยู่ในใจ สายตาของนางมองไปยังลูกชายที่เงียบไม่ต่างอะไรกับนาง
มนธิรารีบก้าวเท้าออกห่างไม่อยากรับฟังคำตอบ และการสนทนาของเจ้านายมากไปว่านี้ เพราะการที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันก็เจ็บปวดพออยู่แล้ว แค่เพียงผู้ชายที่มีบุญคุณแสดงความเฉยชา เหมือนกับเธอไม่มีตัวตน มันเจ็บยิ่งกว่าการพูดจาเสียดสีของผู้เป็นประมุขของบ้านเสียอีก หากยิ่งได้เห็นสายตาของหญิงสาวสวยคนนี้เพิ่มขึ้นมาอีกคน ที่คอยจิกเธอทุกย่างก้าว เธอคงทำใจไม่ได้แน่นอน
เขาอยากจะตอบยังไงก็ช่าง ก็ในเมื่อเธอมันก็เป็นคนใช้อยู่แล้ว...
“เป็นอะไร หน้าตาไม่ดีเลย” ป้าจุ้มเอ่ยถามทั้งที่มือกำลังสาละวนกับของในครัว แต่ก็ยังมีใจห่วงใยให้เธอ ทุกคราเมื่อรับรู้การเปลี่ยนแปลงบนสีหน้า
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แต่น้ำเสียงของเธอมันไม่ได้เป็นไปตามที่เธอเอ่ยสักนิด
“อย่าคิดมากเลย ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว กินข้าวกันก่อนดีกว่า” ป้าจุ้มเอ่ย เมื่อจัดการอาหารส่วนที่เป็นของคนใช้ไว้บนโต๊ะเรียบร้อย
“ป้าคะ...ช่วงบ่าย บีจะออกไปธุระบ้านเพื่อนสักหน่อย ตอนนี้คุณปราณีมีแขก หนูก็เลยไม่ได้เอ่ยบอก รบกวนป้าช่วยบอกให้บีหน่อยนะคะ” เธอเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้มองคู่สนทนา เพราะสายตากำลังวุ่นวายกับการเขี่ยข้าวในจาน เหมือนกับว่ากำลังหาเศษอะไรที่กำลังปะปนอยู่ในจานอย่างไรอย่างนั้น
มนธิราสำรวจตัวเองในกระจกเงาอีกครั้ง กางเกงยีนส์ขายาวสีขาวรัดรูป กับเสื้อยืดแขนสั้นสีขาว แม้จะเป็นชุดที่ธรรมดาที่บรรดาวัยรุ่นใส่กัน แต่มันเข้ากับร่างสมส่วนของเธอจนดูน่ามอง เมื่อพอใจกับตัวเองมนธิราก็คว้ากระเป๋าสะพายสีดำ เดินออกจากห้องเล็กๆ ของตัวเองไป