ป้าดาบอกว่าเห็นคุณวิศวกรอุ้มเธอไปที่รถ ป้าเลยวิ่งมาหาเขาที่ไซต์งาน เขาเลยเล่าเรื่องที่เธอเป็นลมให้ป้าฟังและให้ป้าติดรถมาที่โรงพยาบาลด้วย ส่วนรถที่จอดรอรถลาก คุณวิศวกรก็มีน้ำใจให้ลูกน้องอยู่รอและช่วยเป็นธุระให้
วันวิวาห์ถอนใจ ทำไมเขาต้องเป็นธุระให้ถึงขนาดนี้ แต่คิดเท่าไรก็หาคำตอบไม่ได้ “เขาคงเห็นใจเราละมั้ง” วันวิวาห์ให้คำตอบตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้อีกเรื่องว่าเธอควรจะโทร.ไปขอโทษพี่พิมมี่ด้วยตัวเอง แต่ว่ารถดันเสียและเธอเกิดเป็นลมไปเสียก่อน
วันวิวาห์เปิดกระเป๋าแล้วควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่ว่าหาเท่าไรก็ไม่เจอ มือบางตัดสินใจเททุกอย่างในกระเป๋าออกมาหมดราวกับเทกระจาดแต่ก็ไม่เจอ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นพยายามนึกว่าเธอทำหายที่ไหน
“นึกออกแล้ว” วันวิวาห์กัดปากแน่น หน้าเสีย เมื่อนึกได้ว่าเธอถือโทรศัพท์ติดมือไปด้วย และคงทำหล่นที่ไซต์งานแน่ๆ “มันจะยังอยู่ไหมเนี่ย ไม่ใช่ถูกรถเหยียบพังไปแล้ว” เพราะตอนที่เธอยืนหลบแดดอยู่นั้นก็เห็นรถกระบะวิ่งเข้าออกตลอด ไม่น่าจะรอดแล้วละ
.................................................................................................................
โทรศัพท์ที่ไม่น่าจะรอดตอนนี้อยู่ในมือของรวิศ เขามองโทรศัพท์ในมือด้วยสายตาพิจารณา มันเป็นรุ่นเก่าแถมไม่ใช่ของหรูหราตามสมัยนิยม เขากดเข้าไปดูหน้าจอเพราะเจ้าของไม่ได้ใส่รหัสไว้ จึงรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ
สาวน้อยหน้าหวานที่ดูสวยละมุนไปทั้งตัวคนนั้นคือเจ้าของโทรศัพท์เครื่องนี้ คนอะไรสวยเหมือนตุ๊กตาจริงๆ
รวิศมองโทรศัพท์แล้วนึกถึงเจ้าของเครื่อง รอยยิ้มกระจ่างผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อคม ตอนที่เขากลับมาถึงไซต์งาน พีรพลหัวหน้าคนงานก็ถือเอามายื่นให้เขาแล้วบอกหน้าตาย
“ของน้องคนสวยครับ น่าจะทำตกตอนที่เป็นลม นายช่างจะเก็บเอาไปคืนไหมครับ หรือจะให้ผมเอาไปไว้ที่ออฟฟิศรอน้องเขามาติดต่อขอรับเอง”
รวิศจำท่าทางของไอ้พวกเพื่อนวิศวกรได้ดีตอนที่เห็นวันวิวาห์ พวกมันมองอย่างสนใจ หรือเรียกได้ว่ามองอย่างกระตือรือร้นออกนอกหน้า ถ้าไม่เกรงใจว่าเขายืนอยู่มันคงแห่มาช่วยน้องเขาแล้ว ทั้งยังตอนเขากลับมาจากโรงพยาบาลพวกมันก็แซวไม่เลิก
“ไปส่งถึงไหนวะ โรงพยาบาลอีลิทหรือคอนโดฯ มึง”
“โรงพยาบาลสิวะ น้องเขาไม่สบายนะโว้ย จะให้กูพาไปคอนโดฯ ได้ไง”
“อ้าว พูดแบบนี้หมายความว่าถ้าไม่ป่วยก็พาไปใช่ไหมวะ”
“ไม่ใช่ปะวะ กูไม่หื่นขนาดนั้น เห็นปุ๊บพาไปคอนโดฯ ปั๊บ”
“เออๆ ไม่หื่นเลยมึงอะ ตอนเรียนมึงพาไปนอนหอไม่ซ้ำหน้า ว่าแต่น้องเขาบรรลุนิติภาวะยัง เห็นนายพีบอกว่าน้องเขาเรียกมึงว่าคุณทุกคำ แต่เรียกนายพีว่าคุณพี่ พวกกูฟังแล้วขำก๊ากเลย คุณคร้าบ” คนพูดคือสุภาพ นอกจากพูดแล้วยังหัวเราะลั่น ทำให้เพื่อนอีกคนหัวเราะตาม
“ไอ้ภาพ มึงอย่าไปแซวนิวมันมาก ดูหูมันดิ แดงแล้วอะ” คนชื่อวิทวัสพูดขำๆ
“เออ จริงด้วยไอ้วิท”
“เดี๋ยวกูเตะ พวกมึงไปกวนไกลๆ ว่าแต่ไปดูคนงานเทคานหรือยัง มานั่งแซวกูอยู่ได้ วิศวกรโอนเนอร์จะมาตรวจอยู่แล้วเนี่ย”
“ตกลงน้องเขาบรรลุนิติภาวะหรือยัง บอกกูก่อน” คนชื่อสุภาพยังถามต่อ
“ทำไมมึงต้องอยากรู้”
“ก็กูสนใจไงเพื่อนนิว”
“ไอ้ภาพมึงสนใจงานก่อนไหม ถ้ามึงสนใจงานเหมือนที่สนใจเรื่องผู้หญิงกูจะบอก...” รวิศหยุดพูดไปจังหวะหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อแววตาขบขัน “กูจะบอกว่ารับรองมึงเจริญกว่านี้เยอะ”
“แรงว่ะ ตกลงมึงหวงเก็บไว้กินเองละสิ”
“กินเองพ่องมึง พูดอะไรให้เกียรติผู้หญิงด้วย” รวิศส่ายหน้าระอา เพื่อนร่วมงานสองคนนี้นอกจากเป็นเพื่อนที่ทำงานแล้วยังเป็นเพื่อนสมัยเรียนวิศวะ เขาดึงให้มาทำงานด้วยกันเพราะเห็นความสามารถ และเพื่อนเขาทั้งสองคนก็ทำงานได้ดี แต่ติดที่ว่ามันกวนบาทาสุด ปากเสียก็ที่หนึ่ง แต่มันดันชื่อสุภาพ ส่วนคนที่พูดน้อยกว่าชื่อวิทวัส
“กูไปทำงานก็ได้ แต่ถ้ามึงไม่สนใจน้องเขา กูจีบนะ”
“ไม่ได้ กูไม่อนุญาต เอ๊ย ไม่ใช่ ไม่ต้องเลยมึง ไอ้ภาพมึงไปทำงานได้แล้ว กูเองก็จะไปทำงานเหมือนกัน” พอเพื่อนเลิกแซวแล้วกลับไปทำงาน พีรพลก็เดินเข้ามาพร้อมกับยื่นโทรศัพท์มือถือให้
“พีไปทำงานต่อได้แล้ว โทรศัพท์เครื่องนี้เดี๋ยวฉันเก็บไว้ให้เจ้าของเขาเอง” พีรพลเดินออกไปจากออฟฟิศชั่วคราวแล้ว รวิศก็หยิบโทรศัพท์สัญชาติเกาหลีขึ้นมาดู รอยยิ้มพอใจจุดขึ้นที่มุมปาก เขาต้องได้เจอแม่ตุ๊กตาหน้าหวานอีกครั้ง ซึ่งเร็วกว่าที่คิดมาก
.................................................................................................................
ฟากคนที่ทำโทรศัพท์หล่นก็กระวนกระวายใจเพราะเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป ไม่ใช่ว่าติดเล่นเกมหรือแชตกับเพื่อน แต่ว่าเธอต้องโทร.ติดต่องาน และยังใกล้สอบแบบนี้ เผื่อนันทิตาหรือเพลินเพื่อนสนิทไลน์มาหาก็จะพลาดเรื่องข้อสอบไปอีก
ด้วยความเป็นห่วงหลายเรื่อง ทำให้ร่างบอบบางที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์สีซีด และไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมกีฬาแบบมีฮู้ดมาคลุมทับเพราะไม่ชอบให้ใครมองหน้าอกก็วิ่งปร๋อลงมาที่ชั้นล่างของบ้าน
“ป้าดาคะ มิ้ลค์ขอยืมโทรศัพท์หน่อยสิคะ มิ้ลค์ทำโทรศัพท์หล่น น่าจะหล่นที่ไซต์งานบีอาร์ทีตอนเป็นลม”
“อ้าว เหรอ งั้นรีบเอาไปโทร.เผื่อมีใครเก็บได้” นางวิภาดาละมือจากการทำอาหารเย็น หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่ใกล้มือส่งให้หลานสาว
“ขอบคุณค่ะป้า”
วันวิวาห์กดโทร.เข้าเบอร์ตัวเอง แต่ว่าไม่มีคนรับสาย คิ้วเรียวขมวดมุ่น ลองกดโทร.อีกทีก็เป็นแบบเดิม คือมีสัญญาณแต่ไม่มีคนรับสาย
“ว่ายังไงยายมิ้ลค์”
“ไม่มีคนรับสายค่ะป้าดา”
“หรือว่ายังไม่มีใครเก็บได้ อาจจะยังหล่นอยู่”
วันวิวาห์ทำหน้ายุ่ง เธอไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างที่ป้าดาสันนิษฐานหรือเปล่า ถ้าไม่มีใครเก็บได้ก็ดีไป แต่ไม่ใช่ว่าถูกรถเหยียบพังไปแล้วนะ ถ้าเป็นอย่างหลังเธอต้องเจียดเงินเก็บไปถอยเครื่องใหม่อีก เสียดายเงินแย่เลย อย่างน้อยก็เจ็ดแปดพันบาท
วันวิวาห์ลองกดโทร.อีกทีก็เป็นแบบเดิม “ป้าดาคะ มิ้ลค์ว่าจะนั่งวินไปดูที่ไซต์งานอีกที เผื่อโทรศัพท์หล่นอยู่ไม่ได้เสียอะไรจะได้ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่” วันวิวาห์บอกพร้อมกับยื่นโทรศัพท์คืนให้ป้า
“มิ้ลค์จะไปคนเดียวเหรอ ให้ป้าไปด้วยไหม”
วันวิวาห์ส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ มิ้ลค์นั่งวินไปเองได้ ป้าดาต้องเตรียมอาหารเย็นไว้ให้ลุง เผื่อกลับมาไม่ทันลุงจะโมโหเอาได้ค่ะ”
นางวิภาดาพยักหน้ารับคำหลานสาว เพราะสามีของนางนั้นใจดีแต่ว่าก็โมโหร้ายไม่เบา ชอบเอะอะโวยวายเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เสมอ “งั้นมิ้ลค์ไปดีๆ รีบไปรีบกลับนะ”
“ค่ะป้า” วันวิวาห์รับคำป้าแล้วรีบเดินออกไป จากบ้านไปหน้าปากซอยต้องเดินเท้าไปราวๆ สองร้อยเมตรจึงจะมีวินมอเตอร์ไซค์
วันวิวาห์คิดอยากซื้อรถใหม่ แต่ว่าเธอจะรอให้เรียนจบเสียก่อน พอหางานทำได้แล้วก็จะซื้อรถใหม่ป้ายแดงราคาไม่แพงมากสักคัน เพื่อเธอและป้าจะได้ไม่ต้องลำบากแบบนี้
บ้านของเธออยู่ไม่ไกลจากไซต์งานบีอาร์ทีที่เกิดเรื่อง นั่งวินมอเตอร์ไซค์ราวๆ ยี่สิบนาทีก็มาถึง วันวิวาห์ลงจากรถแล้วยื่นเงินให้คนขับ จากนั้นก็มองเข้าไปในไซต์งาน เธอกลัวจะถูกตำหนิอีกทั้งที่เพิ่งทำให้คนในไซต์งานนี้วุ่นวายไปเมื่อตอนบ่าย ตกเย็นก็กลับมาอีก แต่จะให้ทำอย่างไร ความเสียดายโทรศัพท์มีมากกว่า จึงต้องฝืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วรีบก้าวเข้าไป กวาดตามองหารอบๆ บริเวณที่เธอยืนหลบแดดและมีหนอนหล่นใส่จนเป็นลมเมื่อตอนบ่าย
พอคิดถึงหนอนก็ทำให้ร่างทั้งร่างขนลุกเกรียวขึ้นมา วันวิวาห์พยายามไม่เข้าไปใกล้ต้นจามจุรีใหญ่ที่น่าจะเป็นรังของมัน แล้วมุ่งมั่นมองหาของที่ต้องการ
“คุณครับ ห้ามเข้ามาในเขตพื้นที่ก่อสร้างครับ”
วันวิวาห์เงยหน้าขึ้นมองคนพูด ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนงาน เพราะสังเกตจากเสื้อผ้าที่สวมและอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยที่สวมใส่ติดตัว
“ขอโทษด้วยนะคะที่เข้ามาโดยพลการ แต่ว่าฉันทำโทรศัพท์หล่น น่าจะหายแถวๆ นี้ เลยลองเข้ามาหาดูค่ะ”
คนงานคนนี้ได้ยินเรื่องที่ลือกันว่ามีสาวสวยเหมือนนางฟ้าเข้ามายืนหลบแดดที่ใต้ต้นไม้ ทำให้นายช่างหนุ่มๆ สนใจมองกันเป็นตาเดียว จนถูกคุณรวิศเอ็ดให้ไปทำงาน แล้วคุณรวิศก็ออกไปคุยเอง
แต่ว่าไม่รู้คุยกันแบบไหน น้องคนสวยเกิดเป็นลมล้มพับไป ร้อนถึงนายช่างใหญ่ต้องอุ้มขึ้นรถพาไปส่งที่โรงพยาบาล
“ผมได้ยินหัวหน้างานคุยกันว่ามีคนนอกเข้ามา น่าจะเป็นคุณ แต่ว่าที่นี่เขตก่อสร้างไม่อนุญาตให้เข้ามา ยังไงเชิญกลับไปก่อน ถ้ามีใครเก็บได้จะรีบโทร.บอกคุณทันที คุณจะทิ้งเบอร์ติดต่ออื่นไว้ให้ผมก็ได้ครับ”
วันวิวาห์ทำหน้ายุ่งเพราะอยากได้โทรศัพท์คืน แต่ก็ต้องตัดใจทำตามกฎระเบียบของเขา เธอผิดเองที่เข้ามาตั้งแต่ต้น
“ก็ได้ค่ะ ฉันจะออกไป ฉันจะทิ้งเบอร์ติดต่อของป้าไว้ให้นะคะ เผื่อมีใครเก็บโทรศัพท์ของฉันได้ก็ให้โทร.ไปที่เบอร์นี้” วันวิวาห์บอกเบอร์ของป้าให้กับหัวหน้าคนงาน ก่อนจะเดินกลับออกไปอย่างเซ็งๆ เพราะไม่เจอโทรศัพท์ตามที่ต้องการ