เล่ห์ลวงบ่วงซาตาน
บทที่ 3
เด็กเลี้ยงแกะ
“แต่อะไรเหรอลูก ดาวเหนือบอกว่าจะไปตามคนมาช่วยพ่อ” กำนันยศเอ่ยถาม
“ไม่ได้ไปตามค่ะคุณพ่อ แต่ไปอาละวาดกัดคนงานจนจมเขี้ยว แถมยังจะเข้าไปขโมยของในบ้านอีกด้วย” พิมพ์จันทร์รีบบอกพ่อสามี ไม่อยากให้นังเด็กนั่นดูดีในสายตาของใคร
“อ้าว... ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ” เหิมครางออกมา ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดจะเป็นแบบนั้น
เด็กนั่นก็มีน้ำใจช่วยเหลือชีวิตของตนเอาไว้ กำนันยศเลยรู้สึกสงสารปนเวทนา รู้ดีว่าดาวเหนือลำบากแค่ไหน ปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ ทำงานสายตัวแทบขาด แตกต่างจากหลาย ๆ ครอบครัวที่เกิดมาก็ร่ำรวยมีทรัพย์สินเงินทองมากมายให้ลูกหลานกินใช้ไม่ขาดมือ
“เบื่อจริงเชียว ทั้งแม่และยายของมันตายห่าไปแล้ว ยังทิ้งลูกมันเอาไว้เป็นภาระคนอื่นอีก รังเกียจพวกคนจนจริงเชียว เกิดมายังไงถึงได้ไม่มีเงินกันเลย ขนาดทำงานงกๆ ยังรวยสู้เราไม่ได้” พิมพ์จันทร์พูดอย่างดูถูกดูแคลน
“นังดาวเหนือก็ไม่รู้ว่าเป็นลูกของนังอนงค์นางจริงไหม แม่มันมีผู้ชายมาชอบพอเยอะแยะไปหมด พี่ชายมั่นใจจริงๆ เหรอคะว่านังเด็กนั่นเป็นลูกสาวของพี่ชายจริงๆ ” ประโยคนี้ของภรรยาทำให้ยอดชายเงียบกริบ เขาเองก็สงสัยเหมือนกันว่าดาวเหนือจะไม่ใช่ลูกของตน เพราะด้วยว่าอนงค์นางนั้นเป็นคนสวย มีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่มาติดพันมากมาย เขาก็แอบระแวงว่าเธอจะไปมีสัมพันธ์สวาทกับชายคนอื่น พอท้องขึ้นมาก็คิดจะมาจับเขา เพราะไม่มีผู้ชายคนไหนเอาจริง แต่ที่ต้องรับเลี้ยงดาวเหนือเอาไว้ เพราะเด็กนั่นไม่มีใคร หลังจากที่แม่กับยายตาย เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเลี้ยงหมาแมวตัวหนึ่งเอาไว้ในบ้านเท่านั้น กับข้าวกับปลาก็ไม่ได้สิ้นเปลืองอะไร แถมยังช่วยทำงานให้ที่บ้านอีกด้วย
“อย่าทะเลาะกันต่อหน้าลูกเลย” กำนันยศเอ่ยขึ้น
“พ่อยังไม่ออกจากโรงพยาบาล เราสองคนก็ไปงานศพของแม่ทับทิมด้วย เอาเงินไปช่วยด้วย จัดการงานศพให้จนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี” ทับทิมคือญาติของดาวเหนือที่เหลืออยู่ในหมู่บ้าน
“ทำไมเราสองคนต้องทำแบบนั้นด้วยคะคุณพ่อ” พิมพ์จันทร์เริ่มไม่พอใจเพราะเกลียดญาติพี่น้องของนังเด็กดาวเหนือนั่นจับใจ
“ดาวเหนือช่วยพ่อเอาไว้ เราเองก็ต้องตอบแทนบุญคุณ ถ้าไม่มีเด็กนั่นพ่อคงตายไปแล้ว เรียกใครก็ไม่ได้ยิน ญาติเขาตายทั้งคนก็ควรจะไปร่วมแสดงความเสียใจ มีน้ำใจตอบแทนเขาบ้าง”
“แต่...” พิมพ์จันทร์ทำท่าจะเถียงพ่อสามีต่อ แต่สามีรีบปรามเอาไว้เสียก่อน
“ได้ครับพ่อ เอาน่าคุณ ดาวเหนือช่วยคุณพ่อเอาไว้ ญาติเขาเสียเราก็ควรที่จะไปร่วมงาน”
ยอดชายไม่อยากให้ภรรยาเถียงบิดามากๆ เพราะนับวันท่านจะยิ่งเอ็นดูพิมพ์จันทร์น้อยลงกว่าแต่ก่อน แล้วทรัพย์สมบัติที่ควรจะเป็นของเขาอาจจะสั่นคลอนได้ คนแก่เห็นลูกหลานทำตัวไม่น่ารัก อาจจะยกทรัพย์สมบัติให้คนนอกหรือบริจาคไปก็ได้ใครจะไปรู้ เพื่อนต่างหมู่บ้านของเขาเพิ่งโดนไปสดๆ ร้อนๆ คิดว่าตนเองเป็นลูกคนเดียว ยังไงพ่อแม่ก็ต้องยกทรัพย์สมบัติให้ ทำตัวไม่ดีกับพ่อแม่ที่ไหนได้ ก่อนตายพวกท่านเขียนพินัยกรรมยกทรัพย์สมบัติให้การกุศลและวัดจนหมด จะไปเรียกร้องโวยวายเอากับใครก็ไม่ได้ เพราะเอกสารได้ลงลายมือชื่อของบิดาเอาไว้อย่างชัดเจน ไม่มีการปลอมแปลงแต่อย่างใด
พิมพ์จันทร์ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ ก่อนจะพาลูกน้อยออกมาจากห้องพักฟื้นของพ่อสามี
“คุณแม่ขา...” ธนิดาเอ่ยเรียกมารดา รู้ตัวว่าผิดเลยทำเสียงอ่อยๆ แล้วก็ทำท่าทีประจบประแจง
“หนูจะดูแลคุณปู่ให้ดีเองค่ะ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วง”
“นังดาวเหนือมันพูดกับลูกว่าไงบ้าง” พิมพ์จันทร์เอ่ยถามบุตรสาว
“คุณแม่อย่าดุหนูนะจ๊ะ มันบอกว่าคุณปู่บาดเจ็บให้เราไปช่วยน่ะค่ะ”
“ไม่ดุหรอกจ้ะ” พิมพ์จันทร์นั่งลงตรงหน้าของบุตรสาว พลางลูบผมนุ่มสลวยไปมาเบาๆ
“ทำไมเหรอคะ”
“เพราะแม่เกลียดมันยังไงล่ะ ไม่ว่ามันจะทำดีแค่ไหน เราก็ไม่ควรสนับสนุนให้มันได้หน้าเด็ดขาด เข้าใจไหมลูก”
“เข้าใจค่ะคุณแม่ แล้วเอ่อ... คุณแม่จะบอกเรื่องนี้กับทุกคนไหมคะ” ธนิดากลัวโดนดุ เลยรีบเขย่าแขนของมารดาไปมา ออดอ้อนประจบประแจงอย่างที่ทำบ่อยๆ
“ไม่บอกหรอกจ้ะ ใครจะยอมให้ลูกสาวคนสวยของแม่โดนดุกันล่ะจ้ะ หนูทำดีมากเลยจ้ะ ถ้าเป็นแม่ก็ไม่บอกหรอก” ใจของเธออยากให้พ่อสามีตายๆ ไปซะได้ก็ดี เพราะทรัพย์สมบัติจะได้ตกเป็นของสามีคนเดียว แล้วเธอก็จะได้ส่วนแบ่งนั้นด้วยครึ่งหนึ่งในฐานะภรรยา ถ้าเธออยู่ที่นี่ไม่ได้อีกต่อไป เธอก็จะพาลูกกลับไปอยู่เมืองกรุงให้สบาย ไปใช้เงินเสพสุขอยู่ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่จมปลักอยู่บ้านป่าเมืองติณห์เช่นนี้หรอก ที่เธอทนอยู่เพราะว่ายอดชายกับกำนันยศผู้เป็นบิดานั้นร่ำรวยเงินทองและที่ดิน แม้จะอยู่บ้านไร่ชายป่าเธอก็มีชีวิตสุขสบาย มีข้าทาสบริวารมากมาย ไม่ได้ลำบากลำบนอะไร อยากได้ของอะไรก็สั่งซื้อหรือให้คนขับรถพาเข้าเมืองก็แค่นั้น
“หนูทำดีเหรอคะคุณแม่” เด็กน้อยเอ่ยถาม
“ใช่จ้ะ” พิมพ์จันทร์ลูบศีรษะของบุตรสาวไปมาเบาๆ ทำให้ธนิดายิ้มออก กลัวจะโดนดุก็เลยไม่กลัวอีกต่อไป แถมยังโล่งใจอีกด้วย
ยอดชายและพิมพ์จันทร์มางานศพของทับทิม ญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ของดาวเหนืออย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่เพราะบิดาสั่งจึงต้องมา ยอดชายนำเงินมาช่วยงานศพ ทำให้ชาวบ้านชื่นชมเป็นอันมาก ยอดชายกับพิมพ์จันทร์ยิ้มหน้าบานได้หน้าไปเต็มๆ ทั้งที่ในคราแรกไม่ได้เต็มใจที่จะมางานเลยสักนิด
“เบื่อต้องฉีกยิ้มตอแหลให้ชาวบ้านพวกนี้ดูเต็มทน คนจนนี่น่ารังเกียจจริงๆ เลยนะคะพี่ชาย พอเราให้เงินนิดหน่อยก็มาประจบสอพลอเลียแข้งเลียขาจะเอาอีก ทำไมคนรวยอย่างเราต้องเอาเงินไปให้คนจนด้วย มันจนก็ให้มันจนต่อไปสิ ถ้าอยากรวยอยากได้เงินก็ควรให้มันทำงานเอาเอง ถ้าคนรวยต้องเอาเงินไปให้พวกคนจน พวกมันก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรกันแล้วชาตินี้ ขี้เกียจสันหลังยาว มันเกิดมาจนเอง ก็ต้องคอยทำหน้าที่รับใช้คนรวยอย่างพวกเรา” เพราะทางบ้านของพิมพ์จันทร์ร่ำรวย เธอเกิดมาก็คาบช้อนเงินช้อนทองออกมาจากท้องแม่ มารดาสอนให้คบคนในระดับเดียวกัน อย่าไปเกลือกลั้วกับพวกคนจน เธอจึงรังเกียจคนจนเป็นที่สุด
“คุณพ่อสั่งให้เรามา ไม่มาก็ไม่ได้นะพิมพ์” ยอดชายหันไปพูดกับภรรยา ก็เห็นว่าพิมพ์จันทร์กำลังสั่งสอนลูกอยู่
“เราสูงส่ง เรารวยเรามีเงิน อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับพวกคนจนๆ ต่ำ ๆ สถุลพวกนั้นนะลูก หนูจะต้องหัดคบคนที่รวยกว่าหรือฐานะเท่าเทียมกัน จะได้มีสังคมที่ดี”
“ค่ะคุณแม่” ธนิดารับคำมารดา
“ไหนลองบอกแม่สิว่าหนูต้องเลือกคบคนยังไง”
“เลือกคนกับคนที่ฐานะเท่าเทียมกันกับเรา รวยเหมือนกัน หรือรวยกว่าเราค่ะคุณแม่” ธนิดาตอบอย่างฉะฉาน
“ดีมากลูก ลูกรักของแม่น่ารักจริงเชียว ทำไมหนูฉลาดแบบนี้ ไม่เสียแรงที่เกิดมาเป็นลูกสาวแม่” พิมพ์จันทร์กุมแก้มของลูกน้อยเอาไว้ ยิ้มหน้าบานที่ลูกสาวว่านอนสอนง่าย
“โตขึ้น ลูกสาวคนสวยของแม่ก็ต้องเลือกสามีดีๆ มีเงินมีทอง หนูจะได้เป็นคุณหญิงคุณนาย นั่งสบายชี้นิ้วสั่ง ไม่ต้องทำงานให้ลำบากตรากตรำอะไรนะลูกนะ อย่าไปเอาผัวจนเด็ดขาด ต้องทำงานงกๆ หน้าดำคร่ำเครียด กัดก้อนเกลือกิน ลำบากยากเข็น ชีวิตเหนื่อยหนัก ต้องเลือกดีๆ เพราะเลือกผัวผิดคิดจนตัวตาย” ท้ายประโยคเป็นเสียงสะบัดๆ คล้ายจะประชดประชันคนเป็นสามี
“พอเถอะคุณ ลูกยังเด็ก จะสั่งสอนให้มีผัวแล้วหรือไง” ยอดชายเอ่ยเตือนภรรยา ไม่ชอบประโยคประชดประชันนั้นสักนิด