“คืนนี้นอนที่นี่ไหมหมอ”
จู่ๆ ตาโชติก็ชวนขึ้น ก่อนเด็กในบ้านจะเข้ามาบอกว่าตั้งโต๊ะสำหรับมื้อเย็นเรียบร้อยแล้วเสียอีก ภวินท์ยิ้ม ตอบรับสั้นๆ ด้วยท่าทีนอบน้อมเอาใจแทบทันทีที่ถูกชายแก่อาวุโสกว่าชวน
“ที่นี่อากาศดี เย็นสบายไม่ต้องเปิดเลยนะพวกแอร์เอออะไรนั่นน่ะ” ตาโชติชวนคุยต่อ ฐิตตาที่อยู่ตรงนั้นด้วย ได้แต่กล้ำกลืนความไม่พอใจเอาไว้อยู่อย่างนั้น
“เห็นว่าไปพักที่โรงแรมอะไรนะหมอ ที่นั่นเขาว่าผีดุจะตายไป สรุปได้เจอไหม ผีน่ะ”
ตาโชติคุยไป เหลือบตามองหลานสาวคนเดียวของตนไปพลาง นึกเห็นใจคุณหมอหนุ่มขึ้นมาฉับพลัน หลังจากที่คุยกันเมื่อเช้าแล้วได้ยินว่าต้องไปนอนในโรงแรมตรงตัวจังหวัดที่ซึ่งห่างจากที่บ้านของตนหลายสิบกิโลเมตรทีเดียว แล้วพอได้ยินว่าจะอยู่ที่นี่อีกหลายวัน เลยนึกเห็นใจ ชวนมานอนที่บ้านด้วยเสียเลย เมื่อวานไม่ได้เอ่ยปากชวนก็เกรงหลานสาวจะหน้างอหน้าหงิกกว่าเก่า แต่ตอนนี้ท่านไม่เกรงใจหลานสาวแล้ว นึกเห็นใจหลานเขยมากกว่า
แว่วเขาสนทนาตอบตาโชติเรื่องโรงแรมที่พัก ฐิตตาก็เมินหน้าหนี
เธอไม่สนด้วยซ้ำว่าเขาจะลำบากหรือสุขสบายแค่ไหน แต่ชวนให้เขามาพักที่บ้านด้วยแบบนี้ ตาโชติคิดจะทำอะไรของท่านกันแน่ อย่างน้อยก็น่าจะเห็นใจเธอบ้างสิ ที่ต้องหอบสองแสบออกไปนอนที่เรือนเล็กในสวนสมุนไพรน่ะ
วันนี้ทั้งวันภวินท์มาแต่เช้าตรู่ แถมเขายังเตร่ไปมาในบ้านในบริเวณบ้าน จนฐิตตาแทบจะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว
ตั้งแต่สายเป็นต้นมา เธอจึงเลือกเข้าไปอยู่ที่ในสวนเสียเลย ต้องการดูลูกด้วยส่วนหนึ่ง และไม่ต้องการเห็นภวินท์ด้วยคือส่วนที่เหลือทั้งหมด จวบจนรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อย อยู่คุยกันต่ออีกครู่ ค่อยแยกย้ายกันเข้าห้องเตรียมตัวนอน
ภวินท์ได้ห้องที่ดูพอใช้การได้มากที่สุดเพียงห้องเดียวอยู่ติดกันกับห้องนอนของเธอ แต่ฐิตตาไม่คิดจะค้างที่นี่ด้วย เธอให้เด็กแนนเตรียมข้าวของเครื่องนอนเอาไว้ให้แล้วที่เรือนเล็กในสวนสมุนไพร
และก่อนไป เธอต้องคุยกับตาโชติให้รู้เรื่องก่อน
“คุณตากำลังทำอะไรคะ”
ตาโชติถามกลับ ขณะมองจอทีวีในห้องนอนของตนเองไปพลาง “ตาทำอะไร”
“ไปชวนเขาค้างบ้านเราทำไมคะ”
“จะเป็นไรไปเล่า ขี้หวงไปได้ลูกนี่ ประเดี๋ยวมะรืนนี้เขาก็จะกลับแล้ว” ท่านทำเป็นเอ็ดเธอไปอย่างนั้นเอง ฐิตตาส่งเสียงขัดใจแล้วว่า
“ถิงไม่ได้หวง ก็เดี๋ยวเกิดเขารู้...”
ตาโชติแสร้งถามขัด “รู้อะไร”
ฐิตตากระแทกลมหายใจแรงๆ อย่างนึกเคืองที่ท่านทำเป็นไม่เข้าใจ ก่อนว่า
“คุณตาทราบดีอยู่แล้วว่าถิงหมายถึงเรื่องอะไร”
“รู้ก็ดีสิ เขาเป็นพ่อมีสิทธิ์จะรู้นะว่ามีลูก ยิ่งถ้าได้เจอเจ้าอันนา รับรองได้ว่าจะต้องหลง” เหมือนที่ตนกำลังหลงอยู่นี่ไง เด็กอะไรซุกซนนัก แต่ก็ยังคงความน่ารักน่าเอ็นดูไม่น้อยทีเดียว แล้วบ่นปอดแปดต่อ
“เขาอยู่นี่ หนูไม่ต้องย้ายสองแสบไปนอนเรือนเล็กหรอกหรือคะ”
“ก็เอามานอนนี่จะเป็นไรไปล่ะ”
ฟังท่านพูดเข้า เธอจะให้ลูกมานอนที่นี่ได้อย่างไร ภวินท์ก็เห็นสองแสบของเธอเข้าเรื่องได้ยุ่งไปใหญ่ ได้แต่ครางเรียกท่านอย่างมีแง่งอน ท่านทำแบบนี้เท่ากับว่าไม่เห็นใจเธอเลย
“คุณตาน่ะ”
“ตาว่าหนูบอกเขาไปเถอะ อย่าปิดบังเขาเลย เขาดูออกจะเป็นคนรักครอบครัวนะตาว่า”
เธอบอกเขาแน่ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
เพราะไม่อยากให้มีพันธะมาผูกเธอกับเขาไว้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้รักกัน เธอตั้งใจว่าจะรอจนหย่าแล้วถึงบอกเขาเรื่องลูกในตอนนั้น
ท่านมองหน้าหลานสาวเพียงคนเดียวด้วยสายตาปลอบประโลม หลานของท่าน ท่านรู้จักดีกว่าใคร ท่านรู้ข่าวคราวของหลานมาตลอด รู้ทุกเรื่อง
ครั้งที่เธอปล่อยข่าวว่าเป็นสาวปาร์ตี้ แถมยังทรงเสน่ห์ควงผู้ชายไปทั่ว ท่านก็รู้ว่าเธอทำเพื่อให้คุณหมอภวินท์รังเกียจตัวเอง
แล้วเป็นอย่างไรล่ะ
รังเกียจกันแบบไหน ถึงได้มีลูกแฝดติดท้องมา
ของแบบนี้ว่าไม่ได้เลยนะ ตาโชติจำได้ว่าหลานสาวที่ท่านรักสุดจิตสุดใจบอกว่ากินยาคุมฉุกเฉินไปแล้วแท้ๆ แต่แล้วเจ้าสองแสบก็มาเกิดจนได้ ตอนที่รู้ว่าตั้งครรภ์ฐิตตาทำตัวไม่ถูก เป็นตาโชติเองที่บอกให้ติดต่อกลับไปหานายแพทย์ภวินท์แจ้งเขาเรื่องตั้งครรภ์
แต่ฐิตตาปฏิเสธท่าเดียว บอกแต่ว่าเขาจะมาเอาลูกไปจากเธอแน่ แล้วยังขู่ตนอีกแหนะว่าหากบอกภวินท์ จะหนีไปจากที่นี่เสียเลย แบบนี้แล้วใครจะกล้าบอก ท่านเลยได้แต่อมพะนำเอาไว้ แล้วคอยอยู่เคียงข้างหลาน คอยดูแลอย่างใกล้ชิดจนถึงวันนี้เวลานี้ก็เท่านั้น
‘ลูกมาอยู่กับเรา อย่าทำร้ายลูกเด็ดขาดนะแม่ถิงถิง’
ฐิตตาเอง ไม่เคยมีความคิดจะเอาเด็กในครรภ์ออก เพียงแต่ตอนนั้นเธอตกใจเท่านั้นเอง เธอไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำขนาดนั้น แม้ว่าตอนที่รู้ว่ากำลังมีลูก แต่ไม่มีคนเป็นพ่ออยู่เคียงข้างด้วย
เธอก็ไม่รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเลยแม้แต่น้อย เพราะคนรอบข้างเติมให้จนเต็มแล้วไม่ว่าในตอนนั้นหรือในขณะนี้ บอกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าไม่เสียใจเลยที่เลือกเก็บลูกเอาไว้
สองแสบเป็นเหมือนชีวิตของเธอไปแล้ว และเธอไม่อยากเสี่ยงให้ภวินท์รู้เรื่องลูกเป็นอันขาด คำที่เขาเคยขู่มันยังก้องอยู่ในหูของเธอ แม้เวลาจะผ่านมาหกปีแล้วก็ตาม
‘ถ้าคุณท้อง ผมนี่ล่ะยื่นฟ้องไม่ให้คุณมีสิทธิ์ในตัวลูก ผู้หญิงแบบคุณจะดูแลใครได้ แค่ตัวคุณเองยังเอาไม่รอดเลยฐิตตา’
ฐิตตาหน้าหมองลงบอกเสียงเศร้าสลด “ถิงยังไม่อยากให้เขารู้เรื่องลูก ก็แค่ตอนนี้เท่านั้นเองค่ะคุณตา ถิงกลัวว่าเขารู้ เขาจะมาเอาลูกไปจากถิง”
ถ้าเขารู้เรื่องลูก หากใจร้ายน้อยกว่าที่เธอคิดเขาอาจเอาหนึ่งในสองออกไปจากอกของเธอ หรืออาจโหดร้ายกว่าที่เธอคิดก็เอาไปเลยทั้งสองคน เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องทำแน่ๆ คนอย่างเขาทำได้อยู่แล้ว เพราะเขามันคนเลือดเย็น ไหนจะเรื่องที่เขาเคยยกมาขู่เธอนั่นอีกว่าสัญญาระบุไว้ว่าถ้ามีลูก การหย่าจะต้องเป็นโมฆะ เธอยังไม่มีเวลาไปรื้อมันขึ้นมาอ่านหรอก บอกได้อย่างไม่อายเลยว่าไม่ได้อ่านสักตัวเดียวว่าในเนื้อสัญญาเขียนอะไรเอาไว้บ้าง เซ็นก็เพื่อให้มันจบๆ ไปเท่านั้น
พอมาได้ยินแบบนี้แล้วก็ให้หัวหมุนอีกครั้ง
เธอรอมาตั้งหลายปี รอที่จะได้หย่าขาดจากนายแพทย์ภวินท์ จู่ๆ การรอคอยของเธอจะมาพังลงครืนแบบนี้ไม่ได้
“ตาว่า เราควรต้องบอกเขา บางทีเขามันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เรากลัวก็ได้นะลูก” ท่านยังไม่เลิกความพยายามในการโน้มน้าวใจเธอ
ฐิตตาส่ายหน้าเบาๆ แต่ยืนยันเสียงแข็ง
“ไม่ค่ะ ถิงจะไม่บอกเขาตอนนี้ และเรื่องนี้เราก็เคยคุยกันแล้วนี่คะคุณตาลืมไปแล้วใช่ไหม”
“เราคุยกันว่ายังไงนะ ตาจำไม่ค่อยได้แล้ว”
“ก็ตอนนั้น ถิงบอกว่าห้ามบอกเขาเรื่องลูกยังไงล่ะคะ”
“อ้าว ก็ตอนนั้นห้ามบอก ตอนนี้ตาบอกเขาได้แล้วสิ”
คำยอกย้อนแบบเดียวกับภวินท์เหมือนกันจนฐิตตาได้ยิน ร้องแหวออกมาแทบทันที
“คุณตา!”
“เอาเถอะๆ ตาสัญญาแล้วว่าจะไม่บอกเขา ก็จะไม่บอกนั่นแหละน่า” ตาโชติว่าแล้วเข้ามาโอบไหล่บางๆ ที่ดูอ่อนนอกแต่ข้างในแข็งนักของหลานสาวคนเดียว กอดจนเต็มรัก พลางคิดอยู่ในหัวต่อว่าหากเขาถามนั่นก็อีกเรื่องนะ อันนี้ตาไม่เกี่ยว ถอนใจเฮือกเมื่อเห็นแววตาของนายแพทย์ภวินท์ยามมองหลานสาวของตนเอง ถามกลับอย่างต้องการทราบความคิดของฐิตตาบ้าง
“ทำไมถึงอคติกับหมอเขาแบบนั้นล่ะลูก”
“ถิงไม่ได้อคตินะคะ แต่ถ้าเขารู้เรื่องลูก เขาจะต้องมาเอาลูกไปจากถิง ถิงไม่มีทางยอมให้เป็นแบบนั้นเด็ดขาด”
“เขาจะมีสิทธิ์เอาไปได้ยังไง ถิงเลี้ยงเองมาตั้งแต่สองแสบมันเกิด เขาเสียอีกที่จะไม่มีสิทธิ์ในตัวลูกเลย ตาว่าเผลอๆ ถ้าเขารู้เรื่องลูก ขี้คร้านเขาจะไม่ยอมหย่าให้เราเสียอีกนะ”
“นั่นยิ่งไม่ดีเลยค่ะ เขาเองก็มีคนของเขาที่รอเขาอยู่ เราต่างมีเส้นทางของตัวเอง ยังไงระหว่างถิงกับเขาควรต้องหย่าขาดจากกันค่ะคุณตา”
ตาโชติถอนใจเฮือก แล้วว่า
“สิ่งที่เราเห็น อาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดก็ได้นะลูก อย่างเราเองเรายังไปหลอกเขาเลยไม่ใช่หรือแม่ถิงว่ารักสนุก ชอบเที่ยว ไม่คิดบ้างหรือไงว่าเขาก็อาจจะหลอกเราเหมือนกัน”
ท่านหมายถึงเมื่อตอนก่อนนั้นที่เธอออกเที่ยวไปทั่ว จนภาพลักษณ์เสียหายไม่มีชิ้นดี ฐิตตานึกย้อนกลับไปคิดดูแล้วก็ให้เสียดายอยู่ไม่น้อยในความคิดที่แสนตื้นเขินของตนในตอนนั้น บอกเสียงสลดลง
“ตอนนั้นมันจำเป็นนี่คะ อีกอย่างถิงอยากรู้ด้วยว่าใครเป็นยังไง แล้วเขาก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้วว่าเป็นอย่างที่ถิงคิดจริงๆ เขามันพวกเลือดเย็น พอไม่มีคุณพ่อก็ขู่ถิงสารพัด”
“คิดมากไปหรือเปล่า ตาก็เห็นว่าเขาดูจริงใจออกนา ไม่เห็นจะเหมือนคนไม่ดีตรงไหน แล้วตายังเห็นด้วยนะว่าหมอน่ะเขาแอบมองหลานของตาด้วยสายตายังไง”
ฐิตตาเห็นสายตาของท่านที่พยายามเอ่ยหยอกเย้าก็ส่ายหน้าเบาๆ บอก “ยังไงถิงก็ยึดเอาสัญญาบ้าๆ นั่นเป็นหลักค่ะ ถึงเวลาต้องหย่าก็ควรหย่า”
“ตาว่า ถ้าหมอเขารู้เรื่องลูก เขาจะไม่ยอมหย่าน่ะสิ” ท่านวิเคราะห์สถานการณ์ให้หลานสาวเผื่อใจเอาไว้
ท่าทีขรึมเข้มต่อหน้านายแพทย์ภวินท์หายวับไปแล้ว ฐิตตากระเง้ากระงอดไม่พอใจคุณตาขึ้นมาอีกเมื่อท่านเอาแต่จะค้านแทนเขาอยู่ร่ำไป
“ก็อย่าให้เขารู้สิคะ”
ตาโชติยังไม่ละความพยายาม “ไม่ให้พ่อลูกได้รู้จักหน้าค่าตากันเลยแบบนี้มันบาปนะลูก”
เธอมองท่านด้วยสายตามีแง่งอนบอก
“ถิงไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอกค่ะ หย่ากันเมื่อไร ถิงจะบอกเขาเรื่องลูกทีหลังเองนั่นแหละ”
“ยังไงก็จะหย่าให้ได้ว่างั้นเถอะ” ท่านถามเย้าอีกรอบ
ฐิตตาพยักหน้า ตอบด้วยน้ำเสียงมั่นคง “ค่ะ”
แล้วอยู่คุยกับท่านอีกครู่ใหญ่ ไม่ลืมกำชับอีกหลายรอบถึงสัญญาระหว่างตนกับผู้เป็นตา แล้วถือโอกาสปลีกตัวออกมาเมื่อเห็นภวินท์กลับเข้าห้องไป
เธอไม่เคยให้ลูกนอนห่างตัว แม้จะนอนแยกห้องแล้วแต่ก็ยังอยู่ในห้องติดกัน จึงลัดเลาะออกทางหลังบ้านเพื่อไปนอนกับสองแสบที่เรือนเล็กในสวนสมุนไพร
คล้อยหลังฐิตตาไปแล้วนั่นเอง นายแพทย์ภวินท์เดินออกจากมุมมืดข้างบ้านเพราะนอนไม่หลับ เขาออกมาดูพระจันทร์ที่เด่นสวยเต็มดวงอยู่บนฟ้า พร้อมคิดอะไรไปพลาง ก็เห็นหลังไวๆ ว่าฐิตตาเดินลงบ้านมาพอดี ยืนมองตามร่างเล็กๆ ที่หายลับเข้าไปในสวนสมุนไพร ยิ่งสร้างความกังขาในหัวให้ขบคิดหนักมากยิ่งขึ้น
ดึกป่านนี้ยังจะไปไหน
มีอะไรสำคัญขนาดที่ฐิตตาต้องเข้าไปในสวนด้วยตนเองในเวลานี้อย่างนั้นหรือ ก้าวขาจะเดินตามไปดูให้รู้แน่
“คุณหมอจะไปไหนคะ”
เสียงถามดังอยู่ที่ข้างหลังเขานี่เอง ภวินท์หันกลับมาดู พบว่าเป็นหญิงคนสนิทของฐิตตา ฝ่ายนั้นยืนมองหน้าเขานิ่ง แล้วบอกด้วยน้ำเสียงเอือมๆ
“คุณถิงแกแบบนี้เองค่ะ บางทีค่อนดึกลงไปดูว่าลืมอะไรไว้ที่ในโรงเก็บสมุนไพรบ้างก็มี”
ภวินท์สบตาตรงๆ ถามกลับ
“ลงบ้านดึกดื่นแบบนี้บ่อยหรือครับ”
“ก็...เป็นบ้างค่ะ แต่ไม่ค่อยบ่อยหรอก” ติ๊บตอบเอื่อยเฉื่อย ค่อยเอ่ยถามราวกับจะไล่ให้กลับห้องกลายๆ “คุณหมอจะเข้าห้องนอนเลยไหมคะ”
“สักพักครับ ขอเดินรับลมอีกสักหน่อยก่อน”
“เดี๋ยวพี่ว่าจะไปดูคุณถิงเธอสักครู่ แล้วจะปิดประตูหลังนี่เลย เพราะดึกมากแล้ว ถ้าคุณหมออยากนั่งรับลมไปทางหน้าบ้านดีไหมคะ”
ภวินท์ไม่ได้ตอบรับอะไรออกไป แล้วเลยมองตามหลังหญิงคนนั้นที่ปลีกตัวขอเข้าไปในสวนตามหลังฐิตตา ตัดใจหันหลังกลับ ตรงไปทางหน้าบ้านแทน หากไม่มีคนมาขวางเขาไว้ ป่านนี้ได้ตามเข้าไปดูแล้วว่ามันมีอะไรกันนักกันหนาที่ในสวนนั่น ถึงได้ทำตัวลับๆ ล่อกันนัก