7

3289 คำ
นางอัมพรกระย่องกระแย่งขึ้นบันไดมาจนถึงชั้นบนของบ้าน ระยะเวลาผ่านมาหกปี อยากยึดบ้านหลังนี้มาเป็นของตนเองแทบตายแต่ก็ทำไม่ได้ ที่ทำได้ก็เพียงแต่ย้ายข้าวของขึ้นมาอาศัยที่อีกฟากตึกที่ซึ่งเป็นห้องรับรองแขกเท่านั้น แล้วดัดแปลงให้สะดวกสบายเป็นห้องนอนของตนเอง ส่วนอีกฟากเป็นของเจ้าบ้านที่บุตรชายของนางปิดตายเอาไว้ไม่ให้ใครเข้าไปใช้งานที่ในนั้นเป็นอันขาด อีกทั้งยังกำชับให้คนเข้าไปทำความสะอาดให้เรียบร้อยอยู่เสมอ นางมองที่อีกฟากตึกด้วยสายตาชิงชัง แม้จะไม่มีคนอยู่ แต่เพียงแค่เป็นของผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่นั้นก็ก่อความเกลียดชังขึ้นในหัวใจของนางอัมพรได้อย่างท่วมท้นแล้ว สุดท้ายทิ้งสายตาชิงชังเอาไว้ แล้วพาตัวเองเข้าไปในห้องส่วนตัว จัดแจงเดินไปรื้อชุดทองหยองออกมาขัดจนขึ้นเงา โดยมีคนรับใช้คนสนิทนั่งอยู่ใกล้ๆ คอยช่วยเหลือ เครื่องทองเข้าชุดมีสร้อยคอเส้นใหญ่ลายกระดูกมังกรน้ำหนักถึงสิบบาทประดับด้วยจี้พลอยเนื้องามเข้าชุดกันด้วยสร้อยข้อมือ แหวนและต่างหูเป็นสิ่งที่นางอัมพรภูมิใจนักหนา แม้ว่าพวกมันจะเงาวับอยู่แล้วก็ตามแต่ก็ต้องนำออกมาขัดอยู่เสมอๆ ที่รู้สึกตกต่ำลง หนึ่งเพื่อเสริมความภาคภูมิใจว่ามีทรัพย์สมบัติอะไรบ้าง สองก็เพื่อตรวจดูว่าข้าวของยังอยู่ครบถ้วนดีหรือไม่ ขณะขัดถูเครื่องทองไป ปากก็ถามคนสนิทข้างกายไปพลาง “ชุดนี้เป็นยังไงบ้างนังดวง” “สวยมากค่ะคุณพร” “มันธรรมดาเกินไปไหม ถ้าฉันจะเอาไว้เป็นของหมั้นให้หมอลี” “ไม่หรอกค่ะคุณพรขา หนูก็ว่าสวยดีนะคะ แต่ถ้าระดับหมอลีซื้อใหม่เป็นเครื่องเพชรไปเลยไม่ดีกว่าหรือคะคุณพร” เครื่องเพชรนางก็มี แต่ราคามันสูงไม่เท่าเครื่องทองชุดนี้ ที่สำคัญเพชรไม่ใช่เพชรน้ำงามอย่างที่จะเอาไปหมั้นคนระดับนั้นได้ เครื่องทองนี่เป็นทองโบราณที่ตนไปเจอมาจากคนรู้จักกัน ทางนั้นเอามาขายให้ตนเพราะร้อนเงิน เลยได้มาในราคาไม่แพงมาก เคยเอาไปให้ร้านทองที่คุ้นเคยกันดีตีราคาให้ก็ว่าเป็นของเก่า เลยเก็บเอาไว้แต่บัดนั้นเป็นต้นมา บอกเสียงเขียว มีโมโหเล็กน้อย “ชุดนี้ไม่ใช่ถูกๆ นะนังดวง” ดวงเงียบปากทันที ได้แต่แอบค่อนในใจถึงนางอัมพร มีก็ไม่ได้มากแต่ทำตัวโอ่ ที่ทนก็เพราะไม่มีงานที่ไหนสบายเท่าเลียแข้งเลียขาอย่างตรงนี้หรอก ตวาดเสร็จ ถามถึงบุตรชายต่อทันที “แล้วนี่แกโทรติดต่อหาหมอวินได้หรือยัง” “ยังเลยค่ะ แต่หนูโทรไปถามที่โรงพยาบาลมาแล้ว เขาว่าหมอวินลากิจนะคะ” ได้ยินแล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อย บ่นงึมงำ “ไปไหนก็ไม่บอกไม่กล่าว ลูกคนนี้นี่” “ไม่ใช่ว่าไปคุยเรื่องหย่าหรือคะคุณพร” ได้ยินแบบนั้น นางอัมพรละมือจากเครื่องทองในมือทันที ตาวาววับอย่างมีหวัง บอกเสียงยินดีผิดจากเมื่อครู่ “ก็ดีสิ” “แล้วถ้านังนั่นมันไม่ยอมหย่าให้คุณหมอล่ะคะคุณพร” บ่าวสาวใช้เรียกจิกอีกฝ่ายเอาใจผู้เป็นนาย นางอัมพรได้ยินอย่างนั้นแล้วความดันพุ่งปรี้ดขึ้นมาทันที “ลองไม่หย่าดูสิ แม่จะเล่นให้อยู่ไม่ได้เลยคอยดู” กล่าวอาฆาต แววตามาดร้ายจนคนรับใช้เห็นแล้วยังหวาดตามไปด้วย   “หมอวินยังไม่เข้ามาอีกหรือคะ” แพทย์หญิงสราวลีถามคะนึง ที่นั่งก้มหน้าทำงานอยู่ แม้จะยืนกอดอกมองอยู่เป็นนานสองนานก็ไม่เงยหน้ามาดูเสียที สุดท้ายต้องเอ่ยถามเองอย่างไม่พอใจนัก คะนึงแสร้งทำหน้างงๆ อยู่ครู่ แล้วถึงยอมบอก “แจ้งไว้แค่ว่าลาค่ะหมอลี” “ไปไหน ทราบไหมคุณคะนึง” คราวนี้คะนึงนิ่งไปนานเลย ทำท่าคล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วตอบกลับไป “ไม่ได้แจ้งนะคะ บอกแต่ว่าลาค่ะ” “แล้วจะกลับมาวันไหนคะ เขาลาถึงวันไหน” “หมอบอกแค่ว่าลาค่ะ ไม่ได้บอกอะไรคะนึงเลย” ได้คำตอบที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วเดินแทบเป็นกระแทกเท้าออกจากตรงนั้น ภวินท์ไม่เคยหายไปไหนไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้มาก่อน แล้วนี่เขาหายไปไหนของเขากันนะ แม้งานจะไม่มีอะไรเร่งด่วน แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งไว้แบบนี้นี่นา มีอะไรสำคัญถึงขนาดนั้นกัน   ฐิตตาได้กลับบ้านหลังนอนพักรักษาตัวสามวันเต็ม ใจกระวน กระวายหนักเมื่อกระหวัดคิดไปถึงสองแสบของเธอ ป่านนี้ไม่รู้จะเป็นอย่างไรบ้าง อยากออกไปจากตรงนี้แล้วหลบไปดู ไปกอด ไปหอมให้หายคิดถึงนักแต่ก็ยังไปไหนไม่ได้ อีกทั้งยังไม่สบายใจเท่าไรนักที่ต้องอยู่ใกล้กับภวินท์แบบนี้ กลับจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ตาโชติไม่อนุญาตให้เธอลงบ้านไปไหนยายบุญมาปั้นข้าวเป็นก้อนมาปัดเป่าโรคภัยตามความเชื่อของแกพร้อมท่องงึมงำอะไรไปพลาง แล้วเลยต้องนั่งแบบนั้นไปก่อน ตั้งใจจะรอจนไม่มีใครสนใจเธอแล้ว ค่อยลงไปหาลูก ขณะนั่งคุยเล่นกันอยู่นั่นเอง แว่วเสียงคุยลอยตามลมมา “เคยป่วยหนักกับเขาจนต้องไปนอนโรงหมอที่ไหนกัน มีแต่คราวนั้นล่ะมั้งที่...” ยายบุญมาพูดถึงตรงนี้ก็นึกขึ้นได้ ภวินท์นิ่งไม่ได้ถามต่อ แต่พอจับประเด็นของอีกฝ่ายได้ ตาโชติเลยเข้ามาช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ “นี่เอาแต่ใจมากนะหมอแล้วก็ดื้อด้วย เมื่อก่อนเป็นนิสัยแบบนี้ไหม” หมอหนุ่มไม่ตอบรับด้วยคำพูดในทันที ยิ้มแล้วถึงเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรก็เห็นเป็นแบบนี้มาตลอดล่ะครับ” “แสดงว่านิสัยไม่เคยเปลี่ยน” “แต่ตอนนี้ดูโตขึ้นมากเลยครับ” ยายบุญมาพยักหน้าเบาๆ บอก “โตขึ้นสิคะ มีความรับผิดชอบมากขึ้น แต่บางทีก็ยังเอาแต่ใจอยู่ งอแงด้วย ทั้งคนเล็กคนโตนั่นแหละ” หลุดปากออกมาอีก คราวนี้เลยได้เงียบกันไปทั้งบ้าน แต่เหมือนว่า ภวินท์จะไม่ติดใจอะไรกับคำพูดของยายบุญมา เขายิ้มแล้วคุยต่อ “ก็แบบนี้ล่ะครับ เขาล่ะ ผมไม่ได้คาดหวังให้เขาเรียบร้อยกว่านี้หรอก เป็นตัวของตัวเองน่ะดีที่สุด” คุยกันครู่ใหญ่ๆ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของเธอแทบทั้งสิ้นถึงยอมเปลี่ยนหัวข้อไปคุยเรื่องอื่นต่อจากนั้น นายแพทย์พูดอะไร เสนออะไรมาแต่ละอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องข่าวสาร เรื่องการบ้านการเมือง หรือรวมไปเรื่องยาสมุนไพรของตาโชติเอง ตาโชติกับยายบุญมาจะเห็นดีเห็นงามตามเขาไปเสียหมด จนความเห็นของเธอที่ร่วมคุยด้วย กลายเป็นความเห็นของเด็กอมมือไปเลย แล้วก็ให้นึกเกลียดสายตาเหมือนเป็นผู้ใหญ่ของเขานัก ทำได้ก็อยากลุกไปควักตาคู่นั้นออกมาจนไม่มีเหลือไว้มองเธอด้วยแววตาเช่นนั้นอีกต่อไป รออีกจนทนไม่ไหวแล้วนั่นค่อยทำทีว่าจะเข้าห้องน้ำ แล้วปลีกตัวออกจากวงสนทนา ตั้งใจลงไปดูสองแสบเสียหน่อย แต่แล้วไปไม่ได้เพราะเห็นภวินท์เดินตามเธอออกมาด้วย ฐิตตาฮึดฮัดพอประมาณนึกขวางตาไปหมด ไม่รู้จะตามเธอออกมาด้วยทำไม เมื่อเห็นว่าปลอดคนอื่นในบ้าน เลยถามขึ้นอย่างต้องการไล่เขากลายๆ “เห็นคุณตาว่าคุณจะอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน” “ไม่เจอกันตั้งหลายปี แทนที่จะทำตัวน่ารักๆ ใส่ผมกลับไล่กันเสียอย่างนั้นน่ะ” นายแพทย์หนุ่มไม่ตอบ แต่ใช้วิธียั่วเธอแทน ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาถามเสียใกล้ “นี่คุณไม่คิดถึงค่ำคืนนั้นของเราบ้างเลยหรือไงฐิตตา” ผงะหนีทันที เอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย “ออกไปให้ไกลๆ เลยนะหมอวิน” แต่มีหรือที่ภวินท์จะกลัว เขาว่ากลับมาพร้อมแววตาบ่งบอกความหมายลึกซึ้ง “คืนนั้นไม่เห็นร้องไล่ผมแบบนี้”  ฐิตตาหน้าแดงก่ำ อ้าปากค้างครู่เดียว หุบฉับลงก่อนเป็นคนพาตัวเองเดินหนีออกมาจากตรงนั้นเสียเอง แล้วเดินตามหาติ๊บจนเจอ ลากแขนออกมาสอบถามกันเบาๆ ตามลำพัง “สองคนนั่นเป็นยังไงบ้างคะพี่ติ๊บ” “คืนแรกยังพอทนค่ะ” ติ๊บบอกอย่างคุ้นเคยกันดีกับนิสัยของสองแสบ “พอมาเมื่อคืนนี้นี่แหละค่ะที่เอาแต่ร้องหาคุณถิง เล่นเอาพี่นี่เครียดไปเลย นึกหวั่นๆ อยู่ว่าจะเอาไม่ไหวเสียแล้วล่ะมังคืนนี้” ถามต่อด้วยใบหน้าเศร้าลงเล็กน้อยด้วยว่าสงสารลูก “แล้วทำยังไงกันคะ” “ก็เล่านิทานวนไปนั่นแหละค่ะ เรื่องดาวลูกไก่สามรอบแน่ะค่ะ ตามด้วยลูกหมี แล้วก็ร้องเพลง สวดมนต์อีกจบหนึ่งกว่าจะสงบลงหลับกันได้ พี่นี่เสียงแห้งพอดี” ยิ้มเมื่อนึกถึงความแสบของบุตรรักทั้งสอง บอกยิ้มๆ “อันดาน่ะไม่เท่าไรหรอกค่ะ” “ค่ะ ก็รู้กันอยู่ว่าที่แสบน่ะแม่คนน้อง” ฐิตตายิ้มกว้างขึ้นเมื่อนึกไปถึงลูกฝาแฝดของตน “ถิงอยากออกไปหาลูกจังพี่ติ๊บ” “สักครู่เถอะนะคะ คุณหมอมองคุณตลอดเลย ถ้าออกไปตอนนี้พี่ว่าแกตามคุณถิงแน่ นี่พี่ได้ยินว่าแกจะออกไปธุระกับคุณตาโชติ” “อย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฝากพี่ติ๊บดูทางให้ถิงทีนะคะ” ไม่รู้ว่าชายสองวัยนั่นพากันออกไปไหน พอคล้อยหลังรถของภวินท์ไปแล้วติ๊บก็รีบเข้ามารายงานทันที ฐิตตาพาตัวเองลงไปยังเรือนเล็กในสมุนไพรจากนั้น แตะประตู ผลักเข้าไปแล้วก็ร้องทัก “ทำอะไรกันอยู่” “แม่มาแล้ว เห็นไหม แม่มาแล้ว แม่มาแล้ว” อันนาชี้มือบอกโวยวายกระโดดโลดเต้นดีใจยกใหญ่ที่เห็นว่าเธอเข้ามาในเรือนเล็กแล้ว เข้าไปกอดขาแน่น เกลือกหน้าไปมา ถาม “แม่จ๋า แม่ไปไหนมา หนูคิดถึงแม่ที่สุดในโลกเลย” เด็กชายอันดาเข้ามากอดขาอีกข้างของเธอ บอกเสียงสั่น น้ำตาคลอเล็กน้อย “ผมก็คิดถึงแม่ครับ” น้ำตาคนเป็นแม่ร่วงเผาะลงมาแทบทันทีที่ได้ยิน เธอแค่ไม่สบายเท่านั้น แต่คงไม่มีใครบอกความจริงกับเด็กๆ เพราะไม่อยากให้กังวลมากกว่านี้ เลยโอบกอดลูกแฝดสองคนเข้ามาแนบอก อ้าปากยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่ตัวแสบก็ว่า “หนูสัญญาว่าจะไม่ดื้อ ไม่ซน แม่จ๋าอย่าทิ้งหนูไปอีกนะ...นะจ๊ะ นะแม่นะ” “แม่ไม่ได้...ทิ้ง” คนเป็นแม่เสียงสั่น สะท้านสะเทือนในอกในใจ นึกสงสารลูกยิ่งนัก แต่ก็เลือกจะปดลูกอีกครั้ง เธอไม่อยากให้ลูกรู้ว่าที่หายไปนั่นเป็นเพราะเธอไม่สบาย “แม่...แม่ไปธุระมาจ้ะ” อันนาหันขวับมาทางแฝดพี่ บอก “เห็นไหมว่าแม่ไม่ได้ทิ้งเรา เอามาเลย” อารมณ์คนเป็นแม่สะดุดกึกทันที เมื่อเห็นแม่อันนายื่นมือไปตรงหน้าพี่ชาย ทำนองทวงของ ค่อยหรี่ตาลงถาม “เอาอะไรมาอย่างนั้นหรืออันนา” “ม้ากะลาที่ลุงจ้อยทำให้ผม อันนาจะเอาครับแม่” เห็นทางหนีทีไล่รีบฟ้องแม่ทันที ฐิตตานึกได้ถึงของเล่นชิ้นนั้น รูปร่างเป็นม้า ลำตัวทำจากกะลา หัวและหางทำจากเศษไม้ มีแกนล้อและล้อ ประกอบทุกส่วนเข้าด้วยกัน แล้วใช้เชือกกับหนังยางช่วยให้ตัวสัตว์ที่ทำจากไม้เคลื่อนที่ได้  ท้วงเสียงตึงเล็กน้อย “อ้าว ไหนเราเคยคุยกันไว้แล้วนี่ว่าชิ้นนี้ของอันดาไง ของหนูก็เป็นนกไงลูก” แม่ตัวแสบมุ่ยหน้า บ่น “ของหนูไม่สวยนี่จ๊ะ หนูอยากได้ม้าไม้” “อันนา! แล้วดอลล่าของหนูเล่าเอาไปไว้ที่ไหน” “เอาไว้ที่หนูนี่แหละจ้ะ แต่หนูอยากได้ม้าไม้ด้วย” “อย่างนั้น เอาดอลล่าให้อันดาไหม แลกกันกับม้าไม้” แม่ตัวแสบนิ่งไปเลย อะไรก็เอามาแลกกับเจ้าดอลล่าไม่ได้หรอก ดอลล่าเป็นของที่แม่ให้มา เป็นสมบัติตกทอดที่มีค่าที่สุดแล้ว ส่วนแฝดพี่ยืนฟังหน้าเจื่อน กะพริบตาปริบๆ เขาไม่อยากได้เจ้าดอลล่าตุ๊กตาเด็กผู้หญิงผมสีชมพูนั่นเลยนะ ทำไมแม่ไม่หันมาถามเขาก่อนจะเอาไปแลกกับม้าไม้ แต่แล้วคนมีปัญหาก็บอกเสียงเง้างอด “ไม่เอาจ้ะ หนูไม่เอาแล้วก็ได้” ได้ข้อตกลงแล้ว สอนต่อว่าต้องรู้จักพอใจในข้าวของของตัวเอง แม่ตัวดีนิ่งเงียบหน้าหงอลง เมื่อเห็นว่าอบรมจนพอเหมาะพอควรแล้วจึงอยู่คุยเล่นกับลูกอีกพักใหญ่ นึกได้ว่าพี่พยาบาลฝากชุดมาให้สองแสบจึงวานเด็กแนนวิ่งไปหยิบที จับแต่งตัวแล้วถ่ายรูปส่งให้เจ้าของชุดเป็นอันเรียบร้อยค่อยกลับมาที่บ้านใหญ่อีกครั้ง ตาโชติยังไม่กลับมา ภวินท์ที่ออกไปพร้อมก็ด้วย แล้วเลยรีบอาบน้ำแต่งตัว ลงไปยังเรือนเล็กในสมุนไพรอีกรอบ อยู่เฝ้ามองลูกๆ กินข้าวจนเรียบร้อย บอกสองแสบว่าคืนนี้เธอจะนอนด้วย เล่านิทานเรื่องโปรดให้ฟังจนจบ สองหน่อของเธอหลับกันไปแล้ว ก็คิดไปว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่กำหนดสัญญาระหว่างเธอกับภวินท์จะสิ้นสุดลง เมื่อดำเนินการหย่าจากกันเสร็จสิ้น เขาคงไม่มาวนเวียนที่นี่อีก ลูกของเธอจะได้ไม่ต้องมาคอยหลบๆ ซ่อนๆ อยู่อย่างนี้ หรือต่อให้เขามาเจอตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว  ค่อยๆ ปิดตาลงเตรียมตัวนอนพัก โดยคาดไม่ถึงเลยว่าคนที่ตนระแวงระวังอยู่นั่นเริ่มระแคะระคายเรื่องที่เธอจงใจปกปิดบ้างแล้ว นายแพทย์ภวินท์เพียงแค่รอหลักฐานสนับสนุนอีกเล็กน้อยเท่านั้นเอง    สองร่างเล็กๆ ที่แอบมาเล่นตรงลานโล่งของบ้าน กำลังส่องลอดรั้วมองอะไรสักอย่าง และมันเรียกความสนใจให้คนตื่นแต่เช้าอย่างเขาพอสมควร นายแพทย์ภวินท์ยืนนิ่งมองสองร่างอยู่อึดใจ ค่อยเลื่อนสายตาไปมองหนึ่งในสองคนที่หิ้วตุ๊กตาผมสีชมพูติดมือมาด้วย ด้วยสายตาครุ่นคิด แล้วย่องเงียบกริบเข้าไปจนใกล้ ถามเบาๆ “ดูอะไรกันหรือ” “ยักษ์” เสียงเล็กเจ้าของตุ๊กตาผมสีชมพูตอบกลับมาทันที ภวินท์ทวนถามอย่างต้องการชวนคุย “ยักษ์? ยักษ์อะไรครับ” “พี่แนนบอกว่าที่นี่มียักษ์ ไม่ให้เรามาเล่นเพราะมันจะมาจับเด็กกินน่ะซี” แม่ตัวดีแจงต่อตามที่ถูกขู่มา พี่แนนที่คอยเฝ้าพวกตนบอกแบบนั้น ตอนที่ถามว่าทำไมมาเล่นที่นี่ไม่ได้ “ยักษ์จับเด็กกิน สมัยนี้น่ะหรือ” แกล้งพูดด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อ ลอบสังเกตเด็กสองคนตรงหน้าไปพลาง มีบางสิ่งดึงดูดใจของเขาอย่างน่าประหลาด ที่ซึ่งบอกไม่ถูกว่ามันเกิดจากอะไร แล้วแม่ตัวดีก็แย้งเหยงๆ “คิดว่าไม่มีหรือไง” อันดามองน้องสาวที่คุยกับคนแปลกหน้า ค่อยยื่นมือไปคว้ามือเล็กๆ ปานกันมาจับเอาไว้มั่น พยักหน้าชวน “เราไปกันเถอะ” “ยังไม่เห็นเลยนะยักษ์น่ะ” เด็กชายบุ้ยปากใส่คนแปลกหน้า เอียงไปกระซิบกระซาบบอก “ก็นี่ไง...ยักษ์” “ใช่! ใช่จริงๆ ด้วย” แล้วเสียงร้องก็แผดดังขึ้น ร่างเล็กของเด็กชายเด็กหญิงตรงหน้านายแพทย์ภวินท์วิ่งหนีหายเข้าไปในสวนสมุนไพรทันที คุณหมอมองตามหลังเด็กทั้งสองด้วยสายตาเรียบนิ่ง แล้วถึงแว่วเสียงติ๊บถามดังมาจากทางด้านหลัง “มีอะไรหรือคะคุณหมอ” ติ๊บมองตามร่างเล็กของสองแสบที่หายลับเข้าไปในสวนด้วยใจที่แกว่งเหมือนนาฬิกาลูกตุ้ม ภวินท์ไม่ได้ตอบคำถามในทันที เขานิ่งอึดใจใหญ่ๆ ค่อยหันหน้ามาหาติ๊บ “เด็กๆ น่ะครับ ไม่มีอะไร” พอได้คำตอบ ติ๊บลอบถอนลมหายใจเบาๆ ทำท่าจะปลีกตัวเข้าบ้าน นายแพทย์หนุ่มเรียกรั้งเอาไว้เสียก่อน “เดี๋ยวครับพี่ติ๊บ” ภวินท์ให้เกียรติเรียกอีกฝ่ายว่า ‘พี่’ ตามที่ฐิตตาเรียก เจ้าของชื่อตัวแข็งทื่อ หันกลับมาถาม “คะ?” ชายหนุ่มเงียบคล้ายใคร่ครวญ แล้วถึงเอ่ยปาก “แถวนี้นี่ มีบ้านไหนบ้างครับที่มีลูกเป็นฝาแฝด” “โอ๊ย...” ติ๊บร้องเสียงหลง กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ แล้วถึงตอบ “เยอะไปค่ะ ตรงข้างวัดนั่นก็มี หลังร้านค้าข้างโรงเรียนนู่นก็แฝดสามนะคะ แถวนี้ลูกแฝดเยอะไปค่ะคุณหมอ” “อย่างนั้นหรือครับ” ติ๊บจากไปแล้ว ภวินท์ยังคงมองนิ่งไปยังทางที่เด็กทั้งสองหนีหายไป แล้วถึงมองตามหลังติ๊บอีกครั้ง เมื่อครู่เขาไม่ได้อยากรู้คำตอบ แต่เขาอยากเห็นปฏิกิริยาบางอย่างของพี่เลี้ยงฐิตตา แววตาไหววูบ จากคนพูดจาเนิบนาบกลายเป็นติดขัดอึกอักนั่นส่อแววพิรุธ และหากมันใช่อย่างที่เขาคิดอยู่จริง คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ ต้องเป็นฐิตตา!   ฐิตตาทำโทษสองแสบทันที เมื่อได้ฟังจากปากติ๊บแล้วก็ให้ใจหายใจคว่ำเป็นนานกว่าจะสงบลงได้ แล้วถึงอยู่แต่กับลูกที่เรือนเล็กในสมุนไพร ตั้งใจจะไม่ออกไปที่เรือนใหญ่อีก แต่แล้วตาโชติก็ให้เด็กแนนวิ่งมาตามเธอไปกินข้าวด้วยจนได้ ตั้งแต่กลับจากโรงพยาบาล คนในบ้านเลยเข้าใจในสถานะของภวินท์และเธอ อย่างเด็กแนนเป็นต้น นี่ก็แสบไม่เบา ชอบทำตัวน่าหมั่นไส้อยู่เรื่อย ‘หนูอยากให้คุณหมอรู้เรื่องสองแสบจังเลยค่ะ’ เด็กแนนชอบมาโอดแบบนั้นบ่อยๆ แต่ฐิตตาก็นิ่งไม่ว่าอะไรกลับไป ใครๆ ก็คล้ายจะเข้าข้างเขา อยากให้เขารู้เรื่องที่เธอปิดไว้ แต่ทำไมไม่มีใครเข้าใจเธอบ้างเลย คนอื่นๆ ไม่เคยเจอภวินท์ในมาดร้ายแบบที่เธอเคยเจอมา ถึงเวลานั่งกินข้าว เด็กแนนยังเจ้ากี้เจ้าการจัดที่นั่งให้เธอกับภวินท์ใกล้กันไว้อีกต่างหาก ทั้งยังส่งสายตาล้อๆ มาให้เธอด้วย ปกติก็กินข้าวไม่ค่อยได้อยู่แล้ว เจอแบบนี้เลยยิ่งหมดความอยากอาหารไปใหญ่ แล้วเลยเอ้อระเหยรอจนคนอื่นกินเสร็จ เข้าห้องไปจนหมดแล้ว ถึงได้เดินออกจากบ้านตรงสู่เรือนหลังเล็กในเวลาต่อมา
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม