แม้ในครรภ์ของนางจะเป็นบุตรของท่านแม่ทัพใหญ่ เพราะซุนโหวได้กินยาป้องกันเอาไว้แล้วจึงไม่มีทางที่เด็กในท้องของซุนหลีจะเป็นบุตรของเขา
ทว่าแม่ทัพใหญ่เป็นบุรุษที่งานค่อนข้างยุ่ง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ประจำอยู่ชายแดนแล้วแต่งานในราชสำนักก็ทำให้เขามีเวลาค่อนข้างน้อย
ซุนโหวรับหน้าที่ดูแลม้าการซื้อขายม้าของจวนเต็มตัว ด้วยความสามารถของเขาบัดนี้เขาจึงได้กลายเป็นคนที่มีอิทธิพลต่อการซื้อขายม้าของคนในเมืองหลวงเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งวันที่ซุนหลีคลอดท่านแม่ทัพก็ยังติดภารกิจทางราชการกลับมาไม่ทัน ทำให้คนที่ต้องดูแลซุนหลีและวิ่งวุ่นราวกับว่าเด็กในครรภ์คือบุตรของตนเองก็คือซุนโหว
“โอ๊ย เจ็บเหลือเกิน ปวดเหลือเกิน คลอดออกมาเถิดลูกของแม่ แม่ทนไม่ไหวแล้ว”
ซุนโหวแทบจะพังประตูเข้าไปเมื่อได้ยินเสียงของซุนหลีร้องอย่างเจ็บปวดเช่นนั้น
บัดนี้ซุนหลีกำลังมือหนึ่งกำลังจับมือของมารดา อีกมือหนึ่งจับมือของสาวใช้ออกแรงเบ่งเป็นจังหวะตามคำพูดของหมอทำคลอดซึ่งเป็นสตรีร่างท้วมสูงวัย
“เบ่งเจ้าค่ะ ฮูหยินรอง เบ่งออกมาเจ้าค่ะ”
ซุนโหวได้ยินเสียงของหมอทำคลอดก็ส่งเสียงดังเข้ามา
“น้องพี่ พี่จะเบ่งเป็นเพื่อนเจ้า อึ๊บ....อึ๊บ....อึ๊บ....”
สีหน้าของเขานั้นบิดเบี้ยวราวกับว่ากำลังเบ่งคลอดด้วยตนเอง มือข้างหนึ่งของเขาจับมือของฮูหยินใหญ่เอาไว้แล้วบีบอย่างแรง
ฮูหยินใหญ่มองซุนโหวด้วยความรู้สึกขบขัน แม้ใจของนางจะทั้งตื่นเต้นและยินดีปนหวาดกลัวแทนซุนหลีอยู่ไม่น้อย ทว่ากลับต้องทำสีหน้าให้ราบเรียบมั่นคงเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ซุนโหว
นางเกรงว่าบุรุษร่างโตเช่นเขาจะเป็นลมล้มพับลงไปกับพื้นให้อับอาย
“เจ้าใจเย็น ๆ เถิด ด้านในล้วนเป็นท่านหมอทำคลอดฝีมือดีที่สุดในแคว้น ซุนหลีย่อมต้องคลอดบุตรออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“ขะ ข้าก็คิดเช่นนั้น ฮูหยินใหญ่ลูก...เอิ่มลูกของพวกเราทั้งซุนหลีต้องปลอดภัยใช่หรือไม่ขอรับ”
นางลูบหลังมือของเขาแผ่วเบา น้ำเสียงอบอุ่นปลอบโยน
“ทั้งน้องหลีและลูกของพวกเราย่อมต้องปลอดภัย”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นขอรับ”
ซุนโหวที่เป็นผู้นำให้นางเสมอในเรื่องบนเตียงและยังเป็นผู้นำแทนท่านแม่ทัพหลายคราเมื่อเขาไม่อยู่ที่จวนบัดนี้กลับเหมือนเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งดูไร้เดียงสานัก
กระทั่งเสียงกรีดร้องของซุนหลีดังขึ้นสุดเสียงพร้อมกับเสียงของทารกที่ร้องไห้จ้าทำให้ซุนโหวถึงกับหลั่งน้ำตาออกมา
“เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ยินดีด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินรอง”
ซุนโหวน้ำตาไหลพราก ดีใจยิ่งกว่าตนเองคลอดบุตรผู้นั้นออกมาเสียอีก เขาตะโกนถามเข้าไป
“ซุนหลีเล่า น้องข้าปลอดภัยหรือไม่”
ท่านแม่ของซุนหลีที่บัดนี้กำลังอุ้มเด็กน้อยร่างกายแดงแจ๋ อ้วนท้วนสมบูรณ์ที่ยังส่งเสียงร้องไห้จ้าเป็นฝ่ายตอบว่า
“ซุนหลีปลอดภัยดี เจ้าไม่ต้องห่วง”
สองปีต่อมา
ยามนี้ซุนหลีกำลังตั้งครรภ์บุตรอีกคนหนึ่ง ครานี้ฮูหยินใหญ่ยินยอมให้ซุนหลีเลี้ยงลูกด้วยตนเองหากนางคลอดออกมาในขณะที่บุตรชายคนโตของนางได้มอบสิทธิ์ให้ฮูหยินใหญ่ในการเลี้ยงดูไปแล้ว
บ่าวรับใช้ในจวนล้วนถูกปิดปากให้เงียบสนิทไม่ให้แพร่งพรายออกไปว่าแท้จริงแล้วมารดาของเด็กน้อยคือซุนหลี
ท่านแม่ทัพใหญ่บัดนี้ก็ได้รับพระราชทานปูนบำเหน็จให้เป็น หวั่นอ๋องขุนศึกผู้ทำประโยชน์ให้บ้านเมือง บัดนี้บุตรชายของซุนหลีจึงได้กลายเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องในอนาคต
ผู้ใดก็เรียกขานเด็กน้อยว่า หวั่นซื่อจื่อ
เด็กน้อยเรียกขานฮูหยินใหญ่ว่าท่านแม่ ในขณะที่เรียกซุนหลีว่าท่านแม่รอง และยังมีพ่อบุญธรรมก็คือซุนโหว
ความสัมพันธ์ของคนทั้งสี่เป็นไปอย่างลับ ๆ มิได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้และพวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
หวั่นซื่อจื่อเป็นเด็กฉลาดบัดนี้เขาอายุได้สองขวบแล้ว เด็กน้อยพยายามพูดเลียนคำผู้ใหญ่ ยังสามารถพูดคำสั้น ๆ ได้สองสามคำต่อกัน
และสิ่งที่เขาชอบที่สุดก็คือการขี่ม้า ดังนั้นทั้งซุนโหวและท่านแม่ทัพจึงมักจะผลัดเปลี่ยนกันพาบุตรชายไปฝึกขี่ม้า ในยามที่ม้าพุ่งทะยานไปนั้นจึงมักจะได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยอยู่เสมอ
หวั่นซื่อจื่อเป็นเด็กน้อยที่ร่างกายแข็งแรงยิ่งนัก ตั้งแต่เขาคลอดออกจากครรภ์ของซุนหลีแทบจะไม่เคยเจ็บป่วยเลยด้วยซ้ำ
พออายุห้าขวบเขาก็ถูกส่งเข้าไปศึกษาที่สำนักศึกษาร่วมกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นในวังหลวง
วันนี้ยามเย็นรถม้าของจวนมิได้มารับเขาเช่นเคย ทว่ากลายเป็นซุนโหวที่ยืนรออยู่ข้างกับม้าศึกตัวใหญ่
หวั่นซื่อจื่อมีท่าทางสง่างามองอาจถอดแบบมาจากท่านแม่ทัพมิได้ผิดเพี้ยน ซึ่งดูไปดูมาก็ไม่ต่างจากท่าทางของซุนโหวเช่นกัน
เขาทำความเคารพซุนโหวแล้วเอ่ยทักทาย
“พ่อบุญธรรม รอนานหรือไม่ขอรับ”
เด็กน้อยผู้มีอายุเพียงห้าขวบ ทว่ากลับมีวาจาเหมือนผู้ใหญ่เช่นนี้ช่างน่าเอ็นดูนัก
“วันนี้ท่านแม่กับท่านแม่รองของเจ้าเตรียมอาหารที่ชอบเอาไว้มากมายเลยให้พ่อบุญธรรมมารับเจ้า ทั้งยังสั่งให้รีบกลับบ้านเร็ว ๆ”
เด็กน้อยถูกซุนโหวอุ้มขึ้นนั่งบนหลังม้าก่อนที่เขาจะเหยียบโกรนแล้วตามขึ้นมาขี่ซ้อนที่ด้านหลัง
“แต่ข้าอยากไปตลาดซื้อของบางอย่างก่อนขอรับ”
เขาก้มหน้ามองเด็กน้อย ยิ้มอย่างอ่อนโยน
“เจ้าอยากซื้อสิ่งใด”
“ของขวัญวันเกิดขอรับ”
“ให้ผู้ใดหรือ ไยจึงได้เตรียมกะทันหันเช่นนี้”
เด็กน้อยยิ้มกว้าง
“นางคือคุณหนูสี่จวนใต้เท้าเหยียนขอรับ พ่อบุญธรรมเคยพบนางแล้วขอรับ ผิวนางขาว ใบหน้าเล็ก ๆ ยามยิ้มมีร่องบุ๋มตรงสองแก้ม”
“ใต้เท้าเหยียนหรือ ใช่ที่เป็นใต้เท้าอาจารย์รัชทายาทหรือไม่”
“ขอรับ”
“อ้อ พ่อบุญธรรมจำได้ คุณหนูสี่ผู้นี้มักสวมอาภรณ์สีม่วง ยังมีปิ่นหยกมันแพะที่ศีรษะ รูปร่างค่อนข้างสูงกว่าผู้อื่นใช่หรือไม่”
เด็กน้อยถอนหายใจออกมา
“ท่านจำผิดแล้วขอรับ นั่นมิใช่นาง แต่เป็นท่านหญิงหยางต่างหาก”
หวั่นซื่อจื่อคิดว่าท่านหญิงหยางมีนิสัยไม่น่ารัก ยังเอาแต่ใจตนเอง ชอบแกล้งผู้อื่น หวั่นซื่อจื่อไม่ชอบนาง แต่ก็ไม่อาจเอ่ยออกไปได้ อย่างไรเขาก็เป็นบุรุษการนินทาสตรีลับหลังมิใช่เรื่องที่สุภาพบุรุษควรทำ
เสียงเล็ก ๆ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงผิดหวังที่เขาจำคนไม่ได้ ซุนโหวรู้สึกไม่ค่อยดีที่กลัวว่าบุตรชายคนนี้จะไม่ชอบเขาแล้ว จึงรีบเอ่ยถามต่อ
“เช่นนั้นนางมีลักษณะอย่างไร ไหนลองเล่าให้พ่อบุญธรรมฟังหน่อย”
“ตัวของนางน่าจะเท่า ๆ กับข้าใบหน้าเล็กเท่านี้ ดวงตากลมโต และยังเป็นคนมีน้ำใจและร่าเริงที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบ นางมักจะติดปิ่นดอกไม้ปักอยู่บนศีรษะ สลับเปลี่ยนสีไปทุกวัน ปิ่นดอกไม้บนศีรษะสตรีข้าคิดว่าน่ารักมากขอรับ”
“พ่อบุญธรรมจำได้แล้ว นางก็คือคุณหนูตัวน้อยที่มักจะมีสาวใช้อายุราวสิบหกติดตามอยู่ใช่หรือไม่ คนที่ชอบแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเหลือง หรือไม่ก็สีฟ้า เป็นเด็กที่น่ารักจนพ่อบุญธรรมลืมไม่ลง”
ครานี้ดวงตาของหวั่นซื่อจื่อเป็นประกาย ทำให้ซุนโหวรู้สึกใจชื้นขึ้นมา
“ขอรับ เป็นนางขอรับ พ่อบุญธรรมก็ชอบนางหรือขอรับ”
“เด็กที่น่ารักนอบน้อมเช่นนั้นย่อมชอบมาก หวั่นเอ๋อร์ของพ่อตาแหลมยิ่งนัก นางเป็นสตรีที่ดีและเพียบพร้อมจริง ๆ”
เขายกมือขึ้นลูบศีรษะของบุตรชายบุญธรรม
“ขอรับ ลูกจึงอยากมอบของขวัญให้นาง อาจจะกระทันหันเพราะลูกเองก็เพิ่งรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของนาง”
ท่าทางของหวั่นซื่อจื่อนั้นดูเขินอายเล็กน้อย ซุนโหวเอ่ยอย่างรู้ทัน
“นางคือคนที่เจ้าชอบหรือ”
“นางคือสหายที่มีน้ำใจต่อลูกขอรับ”
“แล้วชอบนางหรือไม่”
เด็กน้อยไม่ตอบ คิดว่าบิดาบุญธรรมก็รู้อยู่แล้วยังจะถามให้เขาอายทำไมอีก ควรจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไปเสีย แต่เขากลับเอ่ยว่า
“ท่านพ่อบุญธรรม ของขวัญต้องเป็นปิ่นดอกไม้เท่านั้นนะขอรับ”
ซุนโหวหัวเราะในลำคอ
“ได้สิ ต้องเป็นปิ่นดอกไม้เท่านั้น”
กว่าสองพ่อลูกจะกลับถึงจวนก็เลยเวลารับประทานอาหารเย็นแล้ว
ซุนหลีตั้งครรภ์ใหญ่จึงไม่อาจรอบุตรชายและซุนโหวได้ นางจำเป็นต้องกินอาหารให้ตรงเวลาหลังจากกินอิ่มแล้ว ฮูหยินใหญ่จึงเอ่ยว่า
“น้องหลีเจ้ากลับไปพักก่อนเถิด ไม่ต้องรอแล้วประเดี๋ยวพวกเขาก็กลับมา ซุนโหวไปรับด้วยตนเองไม่มีสิ่งใดน่าห่วง”
“เจ้าค่ะ”
ซุนหลีพยักหน้า ระยะนี้นางรู้สึกว่าท้องแข็งอยู่หลายครั้ง จะยืน จะนั่งก็ล้วนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
ท่านแม่ทัพกลับมาแล้ว เห็นสาวใช้กำลังพยุงซุนหลีกลับเรือนเขาจึงเอ่ยว่า
“ซุนหลี ข้าพยุงเจ้าเอง”
จากนั้นจึงหันไปมองฮูหยินใหญ่
“ฮูหยิน ซื่อจื่อเล่ายังไม่กลับมาหรือ”
“ยังเจ้าค่ะ วันนี้ซุนโหวไปรับเขาด้วยตนเองท่านพี่ไม่ต้องห่วง ท่านพาซุนหลีกลับเรือนก่อนเถิดเจ้าค่ะ นางยืนนานแล้วนะเจ้าคะ”
“อ้อ เช่นนั้นถ้าซื่อจื่อและซุนโหวกลับมาให้คนไปตามข้าด้วย ข้าจะรอกินข้าวพร้อมพวกเขา”
“เจ้าค่ะ”
เขาช้อนมือสอดเข้าไปที่ข้อพับสองข้างของซุนหลี แล้วอุ้มนางขึ้นมาก่อนจะก้าวขาพานางกลับไปที่เรือน
เมื่อไปถึงเรือนบ่าวรับใช้นำน้ำมาปรนนิบัติให้ซุนหลีบ้วนปากถูฟันก่อนนอน ท่านแม่ทัพก็เป็นฝ่ายปรนนิบัตินางด้วยตัวเอง
ระหว่างที่เขาช่วยนางเช็ดนิ้วมือที่บวมเป่งเพราะน้ำหนักตัวที่มากขึ้นระหว่างตั้งครรภ์ เขาก็เอ่ยอย่างห่วงใย
“ครรภ์นี้ของเจ้าใหญ่ยิ่งนัก ช่วงเวลานี้เจ้าก็พักผ่อนให้มาก ไม่ต้องไปร่วมทานข้าวที่โถงกลางแล้วต่อไปให้บ่าวนำมาให้ที่นี่”
“ข้าเหงานี่เจ้าคะ ได้กินข้าวและสนทนากับพี่หญิงข้ารู้สึกดียิ่งนัก”
“ทั้งวันข้าเห็นเจ้าขลุกอยู่กับนางสองคน ยังไม่พออีกหรือ”
นางยิ้มอย่างน่าเอ็นดู
“ไม่พอเจ้าค่ะ ข้าชอบอยู่กับพี่หญิงนางมักเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ข้าฟังมากมายเจ้าค่ะ ล้วนเป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยพบเจอ”
“เห็นเจ้าทั้งสองรักใคร่ปรองดองข้าก็ดีใจยิ่งนัก ในดินแดนกว้างใหญ่เอาไว้เจ้าคลอดเด็กแฝดสองคนนี้ออกมาก่อน พอพวกเขาเติบใหญ่ยามนั้นข้ากับซุนโหวจะพาพวกเจ้าไปท่องเที่ยวดีหรือไม่ ที่เมืองเหมาข้ามีคฤหาสน์ที่ฝ่าบาทมอบให้ พระองค์ตรัสว่าที่นั่นงดงามและอากาศดียิ่งนัก ตั้งแต่ได้รับมอบมายังไม่เคยไปสักหน เช่นนั้นฤดูร้อนหลังจากเจ้าคลอดลูก พวกเราไปที่นั่นกัน”
“ขอบคุณเจ้าค่ะ ข้ารักท่านพี่ที่สุดเลย”
แม่ทัพใหญ่หัวเราะ
“รักกว่าซุนโหวหรือไม่”
ซุนหลีอ้ำอึ้ง ในหัวใจของนางย่อมมีซุนโหวเป็นที่หนึ่ง ทว่าบัดนี้สามีแม่ทัพผู้นี้ก็ทำให้นางรักเขามากขึ้นในทุกวัน
“เอาเถิด ข้าไม่อยากทำตัวเป็นบุรุษขี้อิจฉา เจ้านอนเถิดข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ซุนหลียังนอนไม่หลับ นางรู้สึกอึดอัดครรภ์ยิ่งนัก กระทั่งบุรุษผู้หนึ่งเปิดประตูเงียบเชียบเดินเข้ามา
เขาสอดกายเข้ามาใต้ผ้าห่มพร้อมกับจุมพิตแผ่วเบาที่ศีรษะเล็ก
“นอนไม่หลับหรือ อึดอัดหรือไม่”
“ท่านพี่ ท่านช่วยร้องเพลงกล่อมข้าหน่อย”
ซุนโหวยกมือเรียวก็ลูบท้องใหญ่ของนางแผ่วเบา เด็กในท้องที่ปกติมักจะถีบมือของเขาอยู่เสมอบัดนี้คงกำลังนอนหลับเช่นกันจึงไร้การเคลื่อนไหว
ซุนหลีทาบทับมือของตนเองบนฝ่ามือของเขา ซุนโหวเริ่มต้นร้องเพลงกล่อมตามที่สตรีอันเป็นที่รักร้องขอ
ซุนหลีหลับตาอย่างมีความสุข ฟังน้ำเสียงไพเราะที่กำลังร้องเพลงกล่อมนางช้า ๆ
‘ข้าท่องทวนกระแสน้ำพร่ำหาท่าน ยิ้งเคว้งคว้างทางชันให้หวั่นไหว ข้างล่องไปตามสายน้ำอันแสนไกล จึงเห็นคนในดวงใจกลางสายธาร’
จบบริบูรณ์