“ฮรึก…”
น้ำตาหยดสุดท้าย เหือดแห้งในตอนที่รถไฟถึงสถานีปลายทาง หญิงสาวในชุดนอน สะพายกระเป๋าเป้สีดำลงจากรถไฟ แล้วมองหาหนทางที่จะไปต่อ แต่ก่อนอื่น เธอต้องจัดการหักเบอร์โทรศัพท์เก่าทิ้ง เปลี่ยนเป็นเบอร์ใหม่ เพื่อที่จะได้ตัดช่องทางการติดต่อสองคนนั้น ไม่ต้องมาเจอะเจอกันอีก
หลังจากเปลี่ยนเบอร์โทรเสร็จ ร่างผอมเพรียวก็เดินตรงดิ่งไปถามคนขับรถทัวร์ เพราะเธอต้องนั่งรถข้ามจังหวัด ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางอีกห้าชั่วโมง ด้วยความที่เธอเดินทางออกต่างจังหวัดคนเดียวเป็นครั้งแรก เลยคิดเพียงแค่ว่า ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไปได้ ถึงจะลำบากหน่อยเธอก็ยอม
เมรีละทิ้งทุกอย่างในชีวิต กลับไปอยู่ในจุดเริ่มต้น
ไม่สนการงาน ไม่สนการเรียน สนแค่เพียงความรู้สึกของตัวเอง ที่เพิ่งจะแหลกสลายมา ถึงตอนนี้น้ำตาจะหยุดไหลไปแล้ว แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงฝั่งลึกอยู่ในหัวใจดวงนี้...
“อีหนู ถึงแล้ว”
ลุงคนขับรถทัวร์มาสะกิดเรียก เมื่อเห็นว่าผู้โดยสารยังไม่ลงจากรถ เมื่อคืนเธอร้องไห้หนักมาก สูญเสียพลังงานไปเยอะ พอขึ้นรถทัวร์ เลยหลับเป็นตาย ยิ่งยาวจนถึงปลายทาง
“ขอบคุณค่ะ” เมรียกมือไหว้ขอบคุณ ก่อนจะรีบหอบกระเป๋าเป้ลงไปจากรถทัวร์ ซึ่งตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสอง ผู้คนกับนักท่องเที่ยวกำลังเดินพลุกพล่าน เหมาะที่จะหาห้องพัก
อย่างที่บอก ว่าเธอไม่เคยออกต่างจังหวัดตัวคนเดียว
ที่สำคัญ ยังไม่เคยมาจังหวัดนี้ เลยไม่รู้ว่าจะต้องไปเริ่มต้นหาจากตรงไหน แต่ด้วยความที่เธอเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนหลังจากสูญเสียพ่อมาก่อน จึงเลือกปล่อยใจ เดินตามทางไปเรื่อยๆ ไม่มองที่พักหรูหรา เน้นถูก เพราะเธอต้องอยู่ระยะยาว
“สามร้อยต่อคืน”
พนักงานรุ่นแม่บอกกล่าว ในขณะที่หญิงสาวกำลังกวาดสายตา สำรวจโรงแรมขนาดใหญ่ ที่เปิดให้เช่ารายเดือน
“แล้วถ้าเป็นรายเดือนล่ะคะ?”
“พัดลมแปดพัน ติดแอร์หมื่นหนึ่ง”
ราคาห้องพัก ทำเอาเมรีถึงกับปาดเหงื่อ ถ้าเธอมาอยู่โดยที่ไม่ทำงาน คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเงินเก็บก็ต้องควักมาใช้จ่าย สักวันก็ต้องหมด แต่ถ้าจะให้ทำงาน สภาพจิตใจก็ยังไม่เอื้ออำนวยอีก เฮ้อ! เอาเป็นว่าขอขึ้นไปดูห้องก่อนแล้วกัน เดินหามาสิบกว่าที่แล้ว ที่นี่เป็นที่ที่ราคาเบาที่สุดในย่านนี้
“นี่เป็นห้องพัดลม” พนักงานคนเดิมเป็นคนพาขึ้นมาดูห้อง ท่าทาง สายตาที่มองมา ได้ตัดสินไปแล้ว ว่าเธอทำอาชีพอะไร เพราะส่วนใหญ่สาวสวยที่เดินเข้าออกที่นี่ ล้วนแต่มีชายต่างชาติข้างกาย แต่งตัวน้อยชิ้นเหมือนเธอในตอนนี้
“นี่เหรอคะ ห้องแปดพัน?”
นัยน์ตาสีดำอำพัน มองเข้าไปในห้องพักขนาดเล็ก ที่มีพัดลมเพดานเปิดอัตโนมัติ ตอนใส่คีย์การ์ด สภาพโยกเยกจะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ผนังห้องแตกร้าว มีรอยคราบเลือดจางๆ บนกำแพง มิหนำซ้ำยังไม่มีหน้าต่างระบายอากาศด้วย
“ถ้าให้แนะนำ ไปเช่าห้องติดแอร์เถอะ”
เมรียิ้มไม่ออก แต่ก็ไม่คิดจะเช่าห้องนี้
“แพงขึ้นมาหน่อย แต่ถูกที่สุดในย่านนี้” พนักงานรุ่นแม่พูดพร้อมกับเปิดห้อง 407 ให้เมรีดู ซึ่งขนาดห้องยังคงเล็กกะทัดรัด ไม่ต่างจากห้องแรกที่ไปดู แต่โดยรวมถือว่าโอเค เพราะมีหน้าต่างที่มองเห็นวิวชายหาด มีเครื่องปรับอากาศสภาพดี มีห้องน้ำในตัว ถึงจะดูคับแคบแต่เธอก็สามารถอยู่ได้
“ตกลงค่ะ เช่าห้องนี้”
“อืม แต่ที่นี่มีกฎนะ เธอต้องรับผิดชอบแขกทุกคนที่พาเข้ามา เป็นไปได้ พาแขกไปที่อื่น จะได้ไม่มีปัญหา” เมรีขมวดคิ้วผูกโบว์ แต่ไม่นานก็เข้าใจ ในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการจะสื่อ ซึ่งเธอไม่ได้ปฏิเสธ เพราะตอนนี้ ไม่มีอารมณ์ไปวีนใส่ใคร
“มีกฎ แต่เห็นเดินควงแขนกันเต็มโรงแรม” หญิงสาวอดบ่นไม่ได้ แต่ก็แค่นั้นแหละ เพราะหลังจากจัดการเรื่องเช่าห้องเสร็จสรรพ เธอก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียง แล้วหลับเป็นตาย
หญิงสาวไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก ไม่ได้คิดว่าจะต้องตื่นกี่โมง จะต้องลุกไปทำอะไรต่อ หรือจะต้องไปใช้ชีวิตเหมือนที่เคยใช้ สามวันแรกที่มาถึงที่นี่ เธอเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง มองเพดานสีขาว สลับมองวิวชายหาด ที่ไม่คิดจะลงไปเที่ยวเล่น ผู้คนไม่ได้ทำให้เธอหลุดพ้นจากความเจ็บปวด น้ำตายังคงท่วมท้นในหัวใจ นึกถึงช่วงเวลานั้นทีไรน้ำตามันก็ไหลรินทุกที
“กะ กูไม่ได้โง่ พวกมันต่างหากที่เลวระยำ”
เมรีพูดเตือนสติตัวเอง เพราะเธอไม่ใช่คนผิด ที่ผ่านมา เธอพยายามนึกถึงน้องสาว กลัวว่าน้องสาวจะไม่เหลือใคร ถึงได้พามาอยู่ด้วยกัน ส่วนไอ้หน้าตัวเมียนั่น มันก็เป็นแค่สัตว์นรก ที่ใช้ความเชื่อใจ หลอกสวมเขาเธอ แล้วไปบำเรอความสุขกับน้องเมียโดยที่เธอไม่เคยรู้เรื่องเหี้ยอะไรเลย
“กูเกลียดพวกมึง กะ เกลียดพวกมึงทั้งสองคนเลย…”
น้ำเสียงสั่นเทิ้มระบายความรู้สึกพร้อมน้ำตา ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาบวมเป่ง บ่งบอกถึงสภาพจิตใจที่ไม่โอเค ขณะผ่านมาสามวันแล้ว ความเจ็บปวด ยังคงกัดกินหัวใจดวงนี้อยู่
โครกคราก!
นอกจากความรักกัดกินหัวใจ ตอนนี้ความหิวก็เริ่มกัดกินกระเพาะแล้ว สามวันที่ผ่านมา เธอกินแต่ขนมปังโบราณที่ซื้อติดกระเป๋าเป้ตอนขึ้นรถไฟ มีสามอัน กินวันละอัน แค่พอประทังชีวิต ส่วนน้ำดื่ม ก็ดื่มในตู้เย็น ไม่แตะต้องเหล้าเบียร์ เพราะว่ามันแพง ถ้าจะดื่มจริงๆ ลงไปซื้อข้างล่างจะดีเสียกว่า
หุ่นเพรียวที่เริ่มซูบผอม หอบร่างไร้เรี่ยวแรงขึ้นจากเตียงหกฟุต ไปล้างหน้าล้างตาแล้วออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อลงไปหาอะไรกินแก้หิว เจ้าของใบหน้าไร้เครื่องสำอาง สวมใส่เสื้อกล้ามสีดำ กางเกงขายีนสั้น รองเท้าแตะช้างดาว ปล่อยผมยาวสลวยสีดำจนถึงกลางหลัง เธอเดินสับสะโพกลงมาจนถึงหน้าล็อบบี้ ที่มีคู่รักชายหญิงเดินควงแขนกันหลายสิบคู่
คู่รักที่เธอหมายถึง คงจะรู้กัน ว่าแท้จริงแล้วเป็นอะไร
เมรีไม่อยากไปยุ่งเรื่องของคนอื่น เลยตั้งหน้าตั้งตาเดินสับขาออกไปที่ร้านสะดวกซื้อ ตรงข้ามกับโรงแรม ซึ่งราคาสินค้าภายในร้าน เป็นราคามาตราฐาน ไม่แพงหูฉีก เหมือนที่ขายให้ต่างชาติข้างนอก การซื้อของที่นี่ ช่วยลดทอนค่าใช้จ่าย ทำให้เธอมีเวลารักษาสภาพจิตใจได้อีกหลายเดือน