ตอนที่ 9
ปฏิบัติการแรก
บรรยากาศมืดสลัวเมื่อยามเช้าตรู่ค่อยๆ กลืนหายไปกับแสงแรกของวันที่เข้ามาทำหน้าที่แทนตามวัฎจักรของกาลเวลาที่ต้องหมุนเวียนไป นาวีสำรวจความเรียบร้อยของเครื่องแต่งกายเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มคว้ากระเป๋าสัมภาระขึ้นมาสะพาย จากนั้นจึงเปิดประตูห้องออกมาแล้วเดินตรงไปยังโต๊ะรับประทานอาหาร กาแฟที่ชงทิ้งไว้เริ่มคลายความร้อนลง ชายหนุ่มยกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ด้วยเกรงว่าจะไม่ทันตามกำหนดการที่ได้นัดกับทุกคนเอาไว้
“อ๊ะ...บ้าจริง!”
นาวีถึงกับสบถออกมาอย่างลืมตัว ชายหนุ่มผลุบร่างเข้ามาหลบอยู่หลังบานประตูบ้านพักแทบไม่ทัน เขากำลังจะก้าวขาออกจากบ้าน ก็พบว่าร่างคุ้นตามายืนกอดอกพิงรถอย่างสบายอารมณ์รออยู่หน้าบ้านแล้ว
ชายหนุ่มถอนหายใจออกมาเล็กน้อย ขณะค่อยๆ แง้มบานประตู ด้วยเกรงว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าบ้านพักจะสังเกตเห็น สายตาคมกล้ามองลอดช่องบานประตูออกไป วันนี้เธอมาในชุดยีนขาสั้น สวมเสื้อเชิ้ตสีสดใสพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก รองเท้าผ้าใบทะมัดทะแมงนั่นทำให้เขานึกหวั่นใจยิ่งนัก เขาค่อนข้างแน่ใจในวัตถุประสงค์ที่เธอมา อาจเป็นเพราะกิจกรรมบางอย่างที่เขาจะทำ
นำพาให้เธอมาปรากฏกายแต่เช้าตรู่เช่นนี้
“อ้าว คุณครับ มารอคุณวีหรือเปล่า”
คมกฤชซึ่งเดินมาจากบ้านพักของตนเองเอ่ยทักขึ้น เนื่องจากชายหนุ่มกำลังจะเดินมาเรียกเจ้านาย แต่มาสบเข้ากับหญิงสาวร่างคุ้นตาเสียก่อน เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอคนนี้คือผู้หญิงของเจ้านาย เนื่องจากนายของตนไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้มาก่อน
เพียงเห็นลูกน้องเดินรี่ยิ้มร่าเข้าไปทางญาตาวี นาวีถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง ชายหนุ่มคิดคาดโทษคมกฤชพลางส่งกระแสจิตไปยังลูกน้องตัวดีว่าอย่าเผลอพูดอะไรออกไปเชียว
“ใช่ค่ะ ฉันจะไปปลูกต้นไม้กับพวกคุณ”
“แสดงว่าคุณมารอเพื่อที่จะไปด้วยใช่มั้ยครับ…แล้วนี่ เจ้านายผมรู้หรือยังครับ เห็นปิดบ้านเงียบเชียบ”
“ไปตามให้ฉันหน่อยสิคะ ยืนรอจนเมื่อยหมดแล้ว เกรงใจเลยไม่อยากเรียกน่ะค่ะ”
รอยยิ้มพราวปรากฏขึ้นบนใบหน้า เมื่อเห็นตัวช่วยสำคัญ เขาคนนี้แหละ ที่เธอหมายหัวเอาไว้จะใช้เป็นสะพานเพื่อเข้าถึงตัวหัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าให้จงได้
“เดี๋ยวผมเรียกให้นะครับ คุณมาได้โอกาสเหมาะพอดี เพราะช่วงนี้เจ้านายผมค้างที่นี่บ่อย ไม่ค่อยได้กลับบ้านเลยครับ”
คมกฤชหมายถึงบ้านของนาวีที่ชายหนุ่มซื้อไว้ใกล้ๆ
รีสอร์ทที่อยู่ห่างออกไปจากเขตที่ทำการไม่ไกลนัก ขับรถเพียงชั่วอึด
ใจก็ถึง
“จริงเหรอคะ”
ญาตาวีเอียงหน้าเล็กน้อย คล้ายตื่นเต้นกับข้อมูลที่ได้รับรู้
“ครับ คุณวีเป็นห่วงสถานการณ์ในป่าตอนนี้ที่พวกทำผิดกฎหมายจะเยอะขึ้น ขนาดบ้านที่นครนายกยังไม่ได้กลับมาเป็นเดือนแล้วล่ะครับ”
ญาตาวียิ้มให้คมกฤช เนื่องจากเขาให้ข้อมูลใหม่ที่เธอไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
“หัวหน้าคุณทุ่มเทกับงานขนาดนี้เลยเหรอคะ”
“ทุ่มเทหรือไม่...คุณคิดดูก็แล้วกัน คุณวีลงทุนแกล้งสอบทหารไม่ติด แต่หนีท่านนายพลมาเรียนด้านป่าไม้แทน”
“ท่านนายพล?”
คนฟังเลิกคิ้วขึ้นพลางทำหน้างง คมกฤชฉุกคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าทำไมหญิงสาวเบื้องหน้าถึงไม่รู้เรื่องครอบครัวของเจ้านายตน แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเธอคงเพิ่งมารู้จัก เขาจึงรีบสาธยายให้เธอฟังทันที
“อ๋อ คุณพ่อของคุณวีน่ะครับ ท่านเสียไปแล้ว ตอนนั้นท่านหมายมั่นปั้นมืออยากให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนไปเป็นทหารเรือ แต่คุณวีกลับไม่ชอบทหารเลยขัดกันจนทะเลาะกันรุนแรง พอเริ่มจะกลับมาคุยกันดีๆ ท่านก็เสียไปก่อนเพราะอุบัติเหตุ เจ้านายผมเลยกลายเป็นคนมีปม เสียใจมาจนทุกวันนี้ที่ไม่ทันได้ทดแทนบุญคุณ คุณพ่อก็ต้องมาจากไปอย่างกะทันหันเสียก่อน"
“เหรอคะ ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้จริงๆ”
ญาตาวีหุบยิ้มพร้อมภายในใจเริ่มครุ่นคิด อีกฝ่ายช่างมีอะไรที่น่าค้นยิ่งนักในความรู้สึกของเธอ นั่นยิ่งทำให้เธอเริ่มสนุกที่จะเดินเกมคว้าหัวใจของเขามาให้ได้ แม้ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าจะเผชิญกับอะไรที่รออยู่ข้างหน้าบ้าง
“รออยู่นี่นะครับ เดี๋ยวผมเรียกให้”
คมกฤชตัดบทด้วยเกรงว่าจะสายเสียก่อน เขาเดินตรงไปยังบ้างพักของเจ้านายพร้อมตะโกนเรียกเสียงดังลั่น ขัดกับเจ้านายที่ยืนนิ่งทำตัวลีบอยู่ในบ้าน
“ทำอะไรอยู่ครับหัวหน้าชักช้าจริง สาวมารอนานแล้วนะครับ”
“ไอ้บ้ากฤชเอ๊ย ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย”
นาวีกัดฟันกรอดพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนหน้านั้นเขายืนนิ่งแอบดูลูกน้องกับเธอคนนั้นสนทนากันอยู่ด้วยใจเต้นระทึก ลูกน้องเขาต้อนรับขับสู้หญิงสาวที่เขาไม่อยากให้เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต แค่นั้นยังไม่พอ ตอนนี้ลูกน้องตัวแสบยังตะโกนเรียกเสียงดังลั่นเพื่อให้รีบออกไปหาเธอด้านนอกอีกด้วย
“คุณวีคร้าบ มีสาวมารอ เร็วหน่อยครับ อะ...โอ๊ะ!”
คมกฤชทำหน้าเหลอหลาด้วยความตกใจ เมื่อประตูถูกเปิดพรวดออกอย่างแรงขณะเขากำลังจะดันบานประตูเข้าไป คล้ายผู้ที่อยู่ด้านในยืนตั้งท่ารอเชิงอยู่ก่อนแล้ว ร่างของเขาจึงคะมำไปข้างหน้าด้วยไม่ทันระวังตัว
“รู้ดีนักนะ!”
นาวีกัดฟันกรอดพูดออกมา สายตาคมกล้าจับจ้องไปยังลูกน้องตัวแสบอย่างคาดโทษ
“ก็…ผมเห็นคุณผู้หญิงมายืนรอ เลยอาสามาตามให้ครับ”
คมกฤชยันกายลุกขึ้นมาพลางตั้งสติ ก่อนชี้แจงความประสงค์ให้เจ้านายทราบ
“เออ…คราวหน้าคราวหลังอย่ารู้ดีให้มันมากนัก เดี๋ยวล่อซะเลยนี่”
ไม่พูดเปล่า นาวีทำท่าเงื้อหมัด คมกฤชรีบผลุนผลันกระโดดหลบพร้อมร้องห้ามเสียงหลง
“อย่าครับ คุณวี ทำไมต้องโกรธขนาดนี้ด้วย”
ไม่มีคำตอบจากผู้ถูกถาม มีเพียงสายตาไม่พอใจที่ฉายออกมาขณะจับจ้องมายังเจ้าของคำถามนิ่ง นาวีกระชับกระเป๋าสัมภาระที่สะพายอยู่แล้วเดินออกไปด้านนอกปล่อยให้อีกฝ่ายยืนเกาหัวแกรกด้วยความงุนงงในท่าทีนั้นยิ่งนัก
“สวัสดีค่ะ คุณหัวหน้าหน่วย”
ญาตาวีเอ่ยทักพลางส่งยิ้มหวาน เมื่อเห็นคนที่กำลังรอเดินตรงมาทางเธอ ใบหน้าบอกบุญไม่รับทำให้เธอรู้ดีว่าเขากำลังคิดอะไร แต่เธอทำเป็นไม่สนใจท่าทีนั่น กลับแสดงสีหน้าระรื่นออกมาราวกับกำลังจะชวนกันไปท่องเที่ยวพักผ่อนตามประสาคู่รักทั่วไป
“เอ...ไม่ทราบว่าวันนี้คุณผู้หญิงจะไปไหนเหรอครับ ถึงได้มาแต่เช้า”
ชายหนุ่มแสร้งถามออกมา ทั้งที่ใจรู้ดีอยู่แล้ว
“อ้าว…ถามแปลก ฉันมายืนอยู่ตรงนี้ก็หมายความว่าจะเข้าป่าไปกับคุณน่ะสิ”
“เข้าป่า? คุณจะเข้าป่ากับผม รู้ได้ยังไงครับว่าวันนี้ผมจะไปไหน”
ชายหนุ่มเดินเข้าไปใกล้ แขนข้างหนึ่งยกขึ้นท้าวหลังคารถเอาไว้ จนญาตาวีต้องรีบถอยออกห่างไปหนึ่งก้าว ด้วยเธอเข็ดกับการที่อีกฝ่ายเข้าประชิดตัวเมื่อวันก่อน เพราะรอยยิ้มของเขายามนี้ช่างเหมือนกับวันนั้นไม่มีผิด รอยยิ้มที่ตามมาด้วยเรื่องราวคาดไม่ถึง
“ฉันมีญาณทิพย์น่ะ รู้ความเคลื่อนไหวของคุณทุกฝีก้าว”
หญิงสาวเผยยิ้มสู้เสือออกมา ด้วยคิดว่ายังไงเสียวันนี้เขาคงต้องยอมเธออย่างเลี่ยงไม่ได้
“นี่คุณ มันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอกนะเพราะผมไม่ได้ไปเที่ยว แถมมันยังร้อนและเหนื่อยด้วย ทางที่ดีเปลี่ยนใจกลับบ้านไปเสียดีกว่า คุณหนูอย่างคุณคงไม่เหมาะกับงานแบบนี้สักเท่าไหร่”
คำพูดของวาคิมยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท นั่นยิ่งทำให้นาวีสร้างกำแพงขึ้นมาขวางกั้นไม่ให้ญาตาวีได้ทำอะไรตามอำเภอใจ
“ไม่…ฉันตั้งใจแล้วว่าจะไปกับคุณ ถ้าคุณไม่ให้ไปฉันก็จะ
ไปกับลูกน้องคุณ”
“คมกฤชน่ะเหรอ”
“มั้ง คนเมื่อกี้น่ะ”
ญาตาวีพยักหน้าส่งเดช ด้วยเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าชายหนุ่มเมื่อสักครู่นี้ชื่ออะไรกันแน่
“ถ้าอย่างนั้นผมยกหน้าที่นี้ให้คมกฤชก็แล้วกัน อ้าว มาพอดี คมกฤช ยังไงวันนี้ก็ช่วยดูแลคุณผู้หญิงด้วยก็แล้วกัน เพราะเธอบอกว่าจะไปกับนาย”
นาวีเห็นว่าสบโอกาสเหมาะ ส่วนคมกฤชทำหน้างงด้วยไม่เข้าใจในเจตจำนงค์ของเจ้านาย
“อะ…อะไรนะครับ”
“คุณคมกฤชดูสิคะ แค่ฉันพูดไม่เข้าหูก็พานโกรธยกฉันให้คุณเสียแล้ว ไม่ไหวเลยนะคะเจ้านายคุณ”
ญาตาวีหันไปทางคมกฤช น้ำเสียงออดอ้อนและสายตาเว้าวอนทำให้หัวใจของคมกฤชถึงกับละลาย พลางคิดในใจว่าเจ้านายของตนไปสอยหญิงสาวคนนี้มาจากที่ไหน เพราะช่างสวยน่ารักถูกใจเขายิ่งนัก
“คุณวีครับ มีปัญหาอะไรก็คุยกันดีๆ ก็ได้นี่ครับ คุณผู้หญิงอุตส่าห์มารอตั้งนาน”
“นั่นสิคะคุณวี ถ้าเมื่อสักครู่นี้ฉันทำอะไรให้ไม่พอใจ ก็ขอโทษด้วยนะ..นะๆ”
หญิงสาวไม่พูดเปล่า รีบปราดเข้าไปเกาะแขนนาวีเอาไว้ พลางช้อนสายตามองใบหน้าอีกฝ่าย รอยยิ้มอย่างคนเป็นต่อทำให้นาวีถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด
“ปล่อยสิ”
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมากระซิบ มือข้างหนึ่งพยายามแกะมือเล็กที่เกาะแขนของตนจนแน่นราวปลิงดูดเลือด
“ไม่ปล่อย”
ญาตาวีกระซิบกลับพร้อมพลางกระชับท่อนแขนอีกฝ่ายจนแน่นมากยิ่งขึ้น
“ให้ตายสิ ผู้หญิงอะไรหน้า…”
“คุณกำลังจะบอกว่าฉันหน้าด้านเหรอคะ”
“เปล่า ผมไม่ได้พูด คุณพูดออกมาเองนะ”
“ฉันยอมหน้าด้าน เพื่อหัวใจคุณ”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกญาตาวี”
“ฉันจะพยายาม”
“หึ…”
ต่างฝ่ายต่างยื้อยุดกันไปมาอยู่สักพัก ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคมกฤช นาวีเห็นว่าป่วยการที่จะยื้ออีกต่อไป ชายหนุ่มจึงปล่อยเลยตามเลย ด้วยไม่อยากโต้เถียงกันต่อหน้าลูกน้อง
"ไปเอารถมาสิ" ชายหนุ่มพยักพเยิดให้คมกฤชเตรียมตัวเอารถออกเพื่อที่จะเดินทางไปทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มชาวบ้านตามที่ได้นัดกันเอาไว้ เพราะตอนนี้ดูท่าแล้วเขาเองจะล่าช้ากว่ากลุ่มอื่นๆ ดูจากเวลาที่ฟ้องอยู่บนเข็มนาฬิกาข้อมือ
“แล้วอย่ามาบ่นให้ได้ยินก็แล้วกัน”
นาวีเอ่ยขึ้นเมื่อคมกฤชเดินห่างออกไป เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีท่าทีที่อ่อนลง หญิงสาวจึงยอมปล่อยมือจากท่อนแขนแข็งแกร่ง รอยยิ้มพราวผุดขึ้นราวเด็กได้ของเล่นถูกใจ นาวีส่ายหัวออกมาพลางเดินลิ่วนำหน้าเพื่อตรงไปขึ้นรถทันที
ท่ามกลางอากาศที่ค่อนข้างร้อน นาวีและกลุ่มชาวบ้านได้ร่วมกันขุดหลุมสำหรับปลูกต้นไม้ตามแนวเขาหัวโล้นโดยไม่มีใครปริปากบ่น เนื่องด้วยต่างเล็งเห็นถึงความสำคัญของกิจกรรมในวันนี้ ทุกคนต่างตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองในวันนี้ด้วยรอยยิ้ม เพราะต่างคิดตรงกันว่าอย่างไรเสียผลประโยชน์ก็ไม่ได้ตกที่ใคร ก็เพื่อลูกหลานของตนในอนาคตนั่นเอง
“ให้พี่ช่วยดีมั้ยครับ”
นาวีเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าพิมพกานต์ สัตวแพทย์สาวที่รู้จักกันมานานตั้งแต่เขามารับตำแหน่งยังพื้นที่แห่งนี้ จึงไม่แปลกที่จะมีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
“ขอบคุณค่ะ แต่พิมพ์ยังไหว”
พิมพกานต์ชะงักกิจกรรมที่ทำลง เธอส่งยิ้มไปให้ชายหนุ่มที่
กำลังย่อตัวลงนั่งข้างๆ ก่อนหลุบตาลงเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายที่
กำลังมองมา
“พี่ว่าน้องพิมพ์น่าจะอยู่บ้านเฉยๆ นะ พี่เสียดายผิวขาวๆ จะไหม้แดดจนเสียหมด”
“เอ่อ…”
พิมพกานต์ก้มหน้าหนีด้วยความเอียงอาย เมื่อคำพูดและสายตาของอีกฝ่ายทำให้เธอมือไม้เงอะงะทำอะไรไม่ถูก
หญิงสาวใจเต้นโครมครามทุกครั้งที่อีกฝ่ายเข้าใกล้ เธอไม่แน่ใจว่าเขาคิดเช่นไร แต่จากการกระทำและคำพูดนั้นฟ้องว่าเขาเองมีใจให้เธอบ้างไม่มากก็น้อย แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่เคยเอ่ยปากขอคบกับเธอแบบคู่รักอย่างเปิดเผย ท่าทีหมาหยอกไก่ทำให้เธอคิดเข้าข้างตนเองไม่น้อย แต่ก็ไม่กล้าแสดงอะไรออกมามากนัก จึงต้องสงวนท่าทีรอดูเชิงของอีกฝ่ายเพื่อที่จะได้ไม่เป็นฝ่ายเสียหน้า หากเขาไม่ได้คิดอะไรขึ้นมาจริงๆ
ญาตาวีมองตามพฤติกรรมนั้นอย่างนึกหมั่นไส้ ขณะที่กำลังนั่งหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ ตั้งแต่เหยียบย่างมาถึงเขาก็บอกให้เธอช่วยชาวบ้านคนอื่นปลูกต้นไม้ ความที่ไม่เคยสัมผัสกับงานแบบนี้มาก่อนจึงไม่ยอมทำตามคำสั่งนั้นแต่กลับเดินเล่นไปมา ฝ่ายนาวีเองไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เขาทำราวกับญาตาวีไม่มีตัวตน เนื่องจากคิดว่าถึงอย่างไรเสียเดี๋ยวคมกฤชลูกน้องตัวดีของเขาก็ต้องคอยดูแลเอง เขาดูออกว่าคมกฤชชื่นชมญาตาวีจนออกนอกหน้า
ญาตาวีจิกอุ้งมือตนอย่างลืมตัว กับเธอเขาทำราวรังเกียจ แต่สาวๆ คนอื่นเขากลับทำท่าทีเป็นมิตรใส่ ภาพบาดตาทำให้หญิง
สาวทนมองไม่ได้อีกต่อไป
“เหอะ…หมั่นไส้ที่สุด มาจีบกันหรือมาทำงานกันแน่”
มือเล็กคว้าหมวกปีกกว้างขึ้นมาสวม ก่อนลุกขึ้นยืนเดินไป
จุดบริการแล้วหยิบน้ำดื่มขึ้นมา จากนั้นจึงก้าวเดินตรงเข้าไปหานาวีที่กำลังช่วยพิมพกานต์ปลูกต้นไม้
“…..”
การสนทนาต้องหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อบุคคลที่สามเข้ามาแทรกกลาง นาวีหันไปมองพลางถอนหายใจออกมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบุคคลนั้นเป็นใคร
“ฉันเอาน้ำมาให้คุณ”
ญาตาวียื่นขวดน้ำให้นาวียกเว้นพิมพกานต์ที่เธอไม่ได้ถือมาให้ นาวีมองด้วยสายตาเป็นเชิงขอร้องว่าให้เธอรีบเดินกลับไป แต่ดูท่าว่าจะไม่เป็นผล เมื่อเธอกลับย่อตัวนั่งลงใกล้แถมยังชวนทุกคนสนทนาเสียอีก พิมพกานต์ลอบมองก้างขวางคอชิ้นใหญ่อย่างไม่พอใจ แต่เธอพยายามเก็บซ่อนมันเอาไว้ไม่แสดงท่าทีออกมา
“สวัสดีค่ะ คุณ เอ่อ…”
“พิมพ์ค่ะ” พิมพกานต์เอ่ยขึ้น เมื่อเห็นญาตาวีจับจ้องใบหน้าของตนอย่างสนใจ ความหมายบางอย่างที่ฉายออกมาจากดวงตากลมโตทำให้พิมพกานต์รับรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าเธอเองน่าจะมีคู่แข่งเสียแล้ว
"คุณพิมพ์เป็นคนแถวนี้หรือคะ"
"ค่ะ บ้านเกิดดั้งเดิมเลยค่ะ"
"แหม ขยันจังเลยนะคะ ออกมาช่วยทั้งๆ ที่ร้อนแบบนี้"
คำชมนั่นมาพร้อมรอยยิ้มเย็น พิมพกานต์รับรู้ได้ถึงความไม่จริงใจที่แฝงอยู่ น้ำเสียงนั่นคล้ายว่าแดกดันให้เธอ จิตใต้สำนึก
ของเธอบอกอย่างนั้น
"พอดีอยู่ว่างๆ ก็เลยมาช่วย ดีกว่าอยู่เฉยๆ น่ะค่ะ ถือว่าทำเพื่อส่วนรวม เพื่อลูกหลานในอนาคต"
"อ้อ เหรอคะ แหม เป็นคนจิตใจดีจังเลยนะคะ"
ญาตาวียิ้มเฝื่อน รู้สึกหมั่นไส้หญิงสาวเบื้องหน้าขึ้นมาเสียดื้อๆ เธอแสร้งเบือนหน้าไปทางอื่นพลางลอบเบะปากออกมา
'แหวะ...ฉันรู้หรอกน่ะว่าแท้จริงแล้วเธออยากเข้าใกล้คนบางคนมากกว่า อย่าแสร้งทำเป็นคนดีไปหน่อยเลย'
"แล้วนี่ คุณ..."
พิมพกานต์หยุดนิ่งไปชั่วครู่ เนื่องจากยังไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผู้มาใหม่ สายตามองญาตาวีคล้ายเป็นคำถาม
"ดรีมค่ะ"
"คุณดรีมเป็นเพื่อนพี่วีเหรอคะ"
"ครับ เพื่อนมาจากกรุงเทพฯ เดี๋ยวก็กลับแล้ว"
นาวีรีบชิงเอ่ยแทรกขึ้น ด้วยกลัวว่าญาตาวีจะพูดอะไรมัดตัวเขาออกมา เขารู้ดีในความกล้าบ้าบิ่นของเธอดี และนั่นก็เรียกสายตาไม่พอใจที่ฉายออกมาจากทางญาตาวีได้เป็นอย่างดี
“คุณบอกให้ฉันช่วยปลูกต้นไม้ แต่ฉันทำไม่เป็น ช่วยไปสอนฉันขุดดินหน่อยได้ไหม"
ญาตาวีลุกพรวดขึ้น ก่อนคว้าแขนนาวีให้ลุกตามเธอขึ้นมา เมื่อเห็นเขายังคงไม่ขยับเขยื้อนเธอจึงออกแรงดึงมากขึ้น
พิมพกานต์มองการกระทำนั้นพลางมองหน้านาวีสลับกับญาตาวี
ไปมา คล้ายไม่เชื่อว่าสองคนนี้มีสถานะแค่ความเป็นเพื่อนจริงๆ
"เร็วสิคะเดี๋ยวค่อยมาคุย…ขอตัวพี่วีของคุณสักครู่นะคะ บังเอิญฉันไม่เคยทำงานแบบนี้จริงๆ"
ญาตาวียังคงไม่ยอมลดละ เธอหันหน้ามาทางพิมพกานต์ พลางเอ่ยปากเป็นเชิงขออนุญาตเพื่อมารยาท ทั้งที่ใจจริงไม่อยากพูดดีกับเธอคนนี้แม้สักนิด เธอรับรู้ได้ถึงรังสีไม่เป็นมิตรที่ฉายออกมาจากแววตาหวานซึ้งนั่น
"ยุ่งจริงๆ บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าตามมา"
"อุ๊ย!"
นาวีจำต้องยอมอย่างเลี่ยงไม่ได้จึงพรวดพราดลุกขึ้น ญาตาวีไม่ทันได้ระวังตัวจึงเซไปเล็กน้อย หากแต่ว่าเธอก็รีบคว้าแขนเขาเอาไว้ได้ทัน ด้วยมารยาจึงแสร้งเซถลาเข้าซุกซบอกแกร่งของอีกฝ่ายคล้ายหาที่ยึดเกาะ สายตาลอบมองพิมพกานต์ด้วยอยากรู้ว่าฝ่ายนั้นจะแสดงปฏิกิริยาอย่างไรออกมา
“คุณ ปล่อยผมก่อน หัดอายคนเขาบ้าง”
นาวีเหลียวซ้ายแลขวาขณะดันร่างสมส่วนให้ออกห่าง เขาไม่ได้เกรงใจพิมพกานต์ แต่เขาเกรงว่าชาวบ้านที่มาในวันนี้จะนำไป
พูดกันปากต่อปากว่าแท้จริงเขามีคนรักซ่อนเอาไว้
"ก็...ฉันจะล้ม ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้นี่คะ"
ญาตาวียอมผละออกก่อนหันไปมองพิมพกานต์ที่จับจ้องอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
"ไม่เป็นไรค่ะ พี่ไปดูแลเพื่อนเถอะ พิมพ์อยู่คนเดียวได้"
พิมพกานต์ฝืนยิ้มออกมา หญิงสาวซ่อนความไม่พอใจเอาไว้ภายใต้สีหน้าราบเรียบ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินออกห่างเธอไป
พิมพกานต์ขบกรามแน่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายหันกลับมามองเธอ รอยยิ้มที่ส่งออกมาไม่ต่างอะไรกับรอยยิ้มเยาะ ความรู้สึกของเธอบอกเช่นนั้น หญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ร้ายเหลือ เธอเห็นความร้ายกาจที่ฉายออกมาจากแววตาและสีหน้ายิ้มแย้มนั่น สัญชาตญาณของเธอจับได้ถึงการส่งสัญญาณเปิดศึกกับเธออย่างเป็นจริงเป็นจัง หากไม่ยอมหลีกทางออกไป
'มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอยายดรีม ฉันจะไม่ยอมเสียเขาไปให้เธออย่างเด็ดขาด'
พิมพกานต์กำก้อนดินที่อยู่ในมือแน่นจนแตกกระจายเป็นฝุ่นผงตามแรงบีบของเจ้าตัว ก่อนฟุ้งกระจายไปตามแรงลมที่พัดผ่านมาปลิวล่องลอยไปตามสายลม จางหายไปราวธาตุอากาศที่ไม่มีตัวตน ความรู้สึกของเธอยามนี้บอกว่าใครก็ตามที่ถือว่าเป็นศัตรู มันจะต้องแหลกเละราวฝุ่นผงที่อยู่ในอุ้งมือของเธอ....