ตอนที่ 5 รักซ่อนลึก

1603 คำ
ตอนที่ 5 รักซ่อนลึก “ผมว่าความหวังของเราคงไม่มีทางเป็นไปได้แล้วละคุณนาวี… เพราะตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่เคยเห็นอีกเลย ขนาดเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจอีกตั้งหลายครั้งก็ยังไม่พบแม้แต่เงาของมัน” นั่นคือถ้อยคำที่ออกมาจากปากของไพรสณฑ์ เจ้าของร่างกายใหญ่โตผิวคล้ำตามแบบฉบับลูกชาวเล ไพรสณฑ์เป็นหัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในอุทยานแห่งชาติเขาสก วันนี้เขามาทำหน้าที่เฉพาะกิจโดยการขับเรือหางยาวให้เพื่อนร่วมอาชีพ เพื่อทำตามความฝันที่มุ่งไปในเรื่องเดียวกัน นาวีถอนหายใจบางเบาเมื่อได้ฟังถ้อยคำจากเพื่อนร่วมอาชีพ แววตาคู่คมสลดลงไปเมื่อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่การแสดงความเห็นของคู่สนทนาไม่เป็นอย่างที่ใจคิด แต่ในความท้อแท้นั้นลึกๆ แล้วก็ยังอดมีความหวังไม่ได้ “มีหรือไม่มีผมก็อยากลองพิสูจน์ดูอีกสักครั้ง ผมเชื่อว่ามันยังมีอยู่” อีกฝ่ายหนึ่งนิ่งเงียบแทนคำตอบขณะที่กำลังติดเครื่องเพื่อออกเดินทางไปสู่ทิวเขาที่แลเห็นอยู่ลิบๆ มือกร้านโลกเร่งเครื่องยนต์พาเรือลำน้อยแหวกฝ่าผืนน้ำเบื้องหน้าจนเกิดละอองกระเซ็นซ่านเป็นฝอย จนนาวีอดที่จะก้มลงมองไปยังผืนน้ำเบื้องล่างไม่ได้ ลึกลงไปใต้ท้องน้ำนั้นได้บันทึกเรื่องราวหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้ เป็นเรื่องราวอันน่าหดหู่ที่ใครหลายคนไม่อยากจดจำ เมื่อเห็นเงาตัวเองสะท้อนบนพื้นน้ำ ภาพในอดีตเริ่มผุดขึ้นมาในความทรงจำราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นาน นับย้อนไปหลายสิบปี ผืนแผ่นดินที่ปัจจุบันได้กลายเป็นก้นทะเลสาบในวันนี้นั้น ในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านอันสงบสุข ผืนป่ามีแต่ความอุดมสมบูรณ์ชุกชุมไปด้วยสัตว์ป่า ชาวบ้านมีอาชีพทำสวนทำไร่และอาศัยผืนป่าแห่งนี้ทำมาหาเลี้ยงชีพกันมาจากรุ่นสู่รุ่น แต่เมื่อทางการมีโครงการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ การสูญเสียเพื่อนำมาซึ่งประโยชน์ที่ทางการเล็งเห็นจึงเกิดขึ้น นับจากที่มีการเริ่มปล่อยน้ำเข้ามาบริเวณผืนป่า สัตว์ป่ามากมายหลายร้อยชีวิตที่เคยอยู่อาศัยกันอย่างสงบสุขต่างหนีตายหาที่พักพิง ที่หนีไม่ทันก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับสายน้ำที่ถาโถม รวมถึงบ้านเรือนของชาวบ้านที่ไม่ยอมย้ายออกจากผืนป่าตามที่ทางการร้องขอความร่วมมือ นับเป็นการสูญเสียที่หลายคนยากจะทำใจ นั่นเป็นเบื้องหลังอันแสนโหดร้าย ก่อนที่สภาพภูมิประเทศของผืนป่าบริเวณนี้จะกลายมาเป็นทะเลสาบที่แสนงดงามตราตรึงใจใครหลายคนในวันนี้ นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาชื่นชมความงาม นาวีคิดว่ามันมีราคาแพงมหาศาลที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและหยาดน้ำตา แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้นาวีได้จดจำชายคนหนึ่งไว้ในใจเสมอมา ซึ่งบุคคลนั้นคือผู้ชายที่นาวีนับถือในความเสียสละของเขา เมื่อคราวที่บรรดาสัตว์ป่าหนีตายไปติดตามต้นไม้และภูเขา ที่ได้กลายมาเป็นเกาะกลางน้ำภายในชั่วพริบตา เขาและทีมงานต่างพากันล่องเรือตระเวนช่วยเหลือสัตว์ป่าที่รอดตายเหล่านั้นไปปล่อยยังที่ที่ปลอดภัยโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย นั่นเป็นภาพแห่งความประทับใจที่ชายหนุ่มจดจำมาตลอดตั้งแต่วัยเด็กจวบจนกระทั่งปัจจุบัน แต่ชายผู้นั้นกลับต้องมาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของตัวเองเพียงเพราะอยากให้ผืนป่าแห่งหนึ่งทางภาคตะวันตกได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกก่อนจะถูกทำลายจนไม่เหลือทรัพยากรอันมีค่า เหตุผลเพื่อรักษาความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและความปลอดภัยของชีวิตสัตว์ป่าเอาไว้ และในวันนี้ความตั้งใจของชายผู้นั้นสัมฤทธิ์ผลแล้ว แต่นาวีอดคิดไม่ได้ว่ามันคุ้มกันหรือไม่กับการที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตอันมีค่าของคนหนึ่งคน กว่าที่ทางการจะลงมือทำอะไรสักอย่างอย่างจริงจัง ทำไมต้องรอให้มีคนตาย นั่นเป็นคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจและนาวีมักใช้ถามตัวเองเสมอมาเมื่อยามที่เขาต้องประสบพบเจอกับเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาตลอดอายุการทำงานด้านป่าไม้ จากเหตุการณ์นี้ นาวีจึงยอมขัดความประสงค์ของบิดา ด้วยการหนีมาสอบเข้ากรมป่าไม้แทนที่จะไปสอบเป็นทหารเรือตามที่บิดาตั้งความหวังเอาไว้ จุดมุ่งหมายเพื่ออยากอุทิศตนทำในสิ่งที่ตนเองรัก และที่สำคัญคือ เขาตั้งใจที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของ “สืบ นาคะเสถียร” บุรุษผู้เป็นฮีโร่ในดวงใจชายหนุ่มเสมอมา ด้วยการอุทิศตนเพื่อปกป้องผืนป่าและสัตว์ป่าให้รอดพ้นจากการถูกคุกคามจากน้ำมือของผู้มีอิทธิพลทั้งหลายในประเทศไทย นาวีตื่นจากภวังค์หลังจากคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ชายหนุ่มเหลียวมองรอบกายแลเห็นภูเขาน้อยใหญ่ที่ตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบผ่านหน้าไปลูกแล้วลูกเล่า ไพรสณฑ์ยังคงนิ่งเงียบด้วยนิสัยเฉพาะตัว เป้าหมายของทั้งสองอยู่อีกไม่ไกล สังเกตได้จากทิวเขาเบื้องหน้าที่เริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าว นาวีและไพรสณฑ์ยังคงมุ่งหน้าเดินทางเข้าสู่ป่าลึกขึ้นเรื่อยๆ ความเหน็ดเหนื่อยทำให้ทั้งสองเริ่มหมดหวัง เพราะเดินสำรวจมาเกือบทั้งวันแต่ยังไม่เห็นแม้ร่องรอยที่กำลังตามหา จุดที่ไพรสณฑ์ยืนยันว่าเมื่อหลายปีก่อนได้พบเจอร่องรอยของมัน แต่ปัจจุบันกลับถูกทับถมไปด้วยใบไม้ใบหญ้า ไม่เหลือร่องรอยใดๆ ให้เห็น นาวีเริ่มถอดใจด้วยคิดว่าเขาคงเพ้อฝันไปเอง จริงๆ แล้วอาจจะเป็นอย่างที่ไพรสณฑ์พูดไว้ก็ได้ “คุณวี! นั่นมัน…” นาวีหันไปตามเสียงเรียก น้ำเสียงนั้นออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “มาดูอะไรนี่เร็ว! ผมเจอร่องรอยบางอย่าง” นาวีกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปบนทางเล็กๆ ที่แทบถูกกลืนหายไปกับใบไม้ใบหญ้า ไพรสณฑ์ชี้ให้นาวีดูร่องรอยบางอย่างที่อยู่ถัดไปไม่ไกล “นี่มันปลักโคลนนี่ครับ!” นาวีอุทานออกมาด้วยความดีใจ ขณะสาวเท้าเดินเข้าไปสำรวจใกล้ๆ ความหวังเริ่มก่อเกิดขึ้นภายในใจ เมื่อได้พบร่องรอยที่อาจนำพาไปสู่การค้นพบอันแสนยิ่งใหญ่ “แต่…ไม่เห็นมีรอยเท้า “ไม่แน่นะครับ อาจจะมีปลักอื่นอีกก็ได้” ไพรสณฑ์เป็นฝ่ายแย้งขึ้น ซึ่งต่างจากท่าทีตอนแรกของเขา อาจเป็นเพราะสายเลือดนักอนุรักษ์ได้กลับมาอีกครั้งเมื่อเจอร่องรอยที่ตามหามานาน นาวีและไพรสณฑ์ตัดสินใจเดินสำรวจต่อด้วยความหวังที่เริ่มกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง ทั้งสองต่างคิดตรงกันว่าคราวนี้อาจโชคดี ได้พบกับชีวิตที่กำลังตามหาอยู่ในขณะนี้ แม้ว่าคืนนี้ทั้งสองอาจจะต้องนอนค้างในป่าก็ยอม ขอเพียงให้ได้พบเจอสิ่งที่ต้องการ "โอ๊ะ! คุณไพร ดูนั่น" ในความสิ้นหวังและท้อแท้ สุดท้ายอาจสมหวัง ในที่สุด ความตั้งใจของทั้งสองก็ไม่เสียเวลาเปล่า เมื่อร่างบึกบึนมีสีคล้ายขี้เถ้าที่ปรากฏแก่สายตาเบื้องหน้านั่นทำให้ทั้งสองยืนนิ่งดั่งถูกมนต์สะกด ไพรสณฑ์ส่งสัญญาณมือให้เพื่อนทำตัวสงบนิ่งที่สุด ก่อนที่ร่างนั้นจะไหวตัวทันจนหนีไป เนื่องจากสัตว์ชนิดนี้มีประสาทด้านการรับกลิ่นที่ดีมาก สองหนุ่มนั่งเกร็งกลั้นหายใจอยู่หลังไม้ใหญ่ เมื่อได้เห็นชีวิตที่ตามหามานานแบบใกล้ชิด มันกำลังพักผ่อนอย่างเป็นสุขบริเวณปลักโคลนขนาดใหญ่ โดยไม่เฉลียวใจสักนิดว่ากำลังถูกเฝ้ามองจากสิ่งมีชีวิตที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดบนโลกใบนี้ จิตใจของนักป่าไม้หนุ่มเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ ด้วยไม่อยากจะเชื่อว่าสัตว์ชนิดนี้แท้จริงแล้วยังไม่สูญพันธุ์ นับเป็นการค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของการทำหน้าที่พิทักษ์ป่า มันมีค่ายิ่งกว่าการขุดเจอเพชรน้ำงามในความคิดของนาวี ที่ผ่านมามนุษย์นั้นมีความเชื่อว่าทุกส่วนของกระซู่นั้นเป็นยาอายุวัฒนะชั้นเลิศ การไล่ล่าเพื่อสนองความเชื่อของมนุษย์จึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัตว์เดียรัจฉานที่ไม่มีอาวุธไฉนเลยจะสู้รบปรบมือกับมนุษย์ที่ชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้ เมื่อมีการล่ามากขึ้น มันจึงทยอยลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีใครพบเห็นมันอีกเลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ จนใครๆ ต่างคิดว่ามันได้สูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยแล้ว เด็กรุ่นหลังบางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเคยมีสัตว์ชนิดนี้ฝากรอยเท้าไว้บนผืนแผ่นดินบ้านเกิดตน นาวีเฝ้ามองพฤติกรรมของสัตว์ป่าหายากด้วยหัวใจที่เป็นสุข อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ว่าสัตว์สายพันธุ์นี้ยังมีชีวิตอยู่ แม้จะเหลือเพียงหนึ่งชีวิตก็ตามที ซึ่งนาวีและไพรสณฑ์ได้ตั้งใจมานานแล้วว่า ถ้าพวกเขาพบว่าสัตว์ป่าชนิดนี้ยังมีอยู่จริง เขาและไพรสณฑ์จะนำเรื่องนี้เข้าทำโครงการวิจัยเพื่อหาวิธีช่วยขยายพันธุ์ให้พวกมันกลับมาผงาดบนผืนแผ่นดินอย่างสง่างามอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม