วันต่อมา…
@มหาวิทยาลัยเอกชน K
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะของเพื่อนสาวคนสนิทคนเดียวเดิม ดังรวนขึ้น เมื่อฉันทำหน้าบูดบึ้งเป็นยักษ์ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานให้เธอฟังทั้งหมด
“มันใช่เรื่องตลกไหมหะ หัวเราะอยู่นั่นแหละ”
“พี่โซ่อะไรของเธอเนี่ยร้ายจริงๆ เลยนะ ฮ่าๆ” ต่อให้จะถูกว่าแต่ใบหม่อนก็ยังไม่ยอมหยุดหัวเราะอยู่ดี “แล้วพวกคุณป้าเขาให้ข้อสรุปกันว่ายังไงอ่ะ?”
“ไม่รู้!” ฉันตอบเสียงแข็งในท่ากอด พลางสะบัดหน้าหันไปทางอื่น
“คงไม่ได้ให้หมั้นหรือแต่งเร็วๆ นี้หรอกใช่มะ?” ใบหม่อนถามน้ำเสียงอยากรู้ และพอฉันไม่ตอบ เธอก็ได้ทีเอาใหญ่ “หรือว่าจะแต่งกันเร็วๆ นี้ล่ะ… โอ๊ย!”
ด้วยความหมั่นไส้ที่เธอไม่หยุดล้อสักที ฉันจึงหันไปตีแขนเธอแรงๆ หนึ่งที่ให้เงียบ แต่แทนที่ใบหม่อนจะหยุด แต่ก็เปล่า
“ตีแก้เขินเหรอจ๊ะ” แถมยังกล้าพูดแซวต่อได้อีกแหนะ!
“เธอนี่มันน่าจริงๆ เลยอ่ะ คราวหลังถ้าโดนแย่งผู้ชายไปอีก ฉันจะไม่ยุ่งด้วยแล้ว!” ฉันพูดงอนๆ แสดงท่าทางฟึดฟัดใส่เพื่อนสาวเพื่อหวังให้เธอรู้ตัวได้แล้วว่า ฉันใกล้จะโกรธเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วหากเธอยังไม่ยอมหยุด
“โอ๋ๆ ขอโทษนะซิน จะไม่ล้อแล้ว~” ซึ่งมันได้ผลเมื่อใบหม่อนเริ่มรู้ตัวเบียดกระแซะเข้าหาฉันเพื่อง้อ แต่ยังง้อได้ไม่ถึง 10 วินาทีเธอก็เริ่มบ่น “แล้วเรื่องที่ฉันโดนแย่งแฟนน่ะ ฉันบอกเธอแล้วใช่ไหมว่าอย่าเข้ามายุ่ง!”
“โอ๊ย!” มิหนำซ้ำยังใช้มือตีแขนฉันคืนคล้ายกับจะลงโทษฉันซะอย่างงั้น
“รู้ไหมว่าเมื่อวานหลังจากที่เธอกลับไป ฉันโดนผู้ชายคนนั้นตามมาต่อว่าถึงหน้าหอ เรื่องที่เธอพาคนไปทำร้ายเขาที่ผับน่ะ!”
เอ้า! คดีพลิกซะงั้น!
“แค่เธอบุกไปตบแฟนใหม่ของพี่เขาจนหน้ายับมันก็พอแล้ว ทำไมเวลาห้ามถึงไม่ฟังเลยนะ!” ว่าแล้วใบหม่อนก็เริ่มรัวมือตีใส่ฉันแบบไม่นับที
จริงอยู่ที่เมื่อวานฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง แต่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉันบุกเพื่อไปหาเรื่องแฟนเก่าเธอในผับหรอกนะ เพราะส่วนมากเรื่องที่ฉันมักเล่าให้ใบหม่อนฟัง มักจะเป็นเรื่องน่ารำคาญใจที่พี่โซ่ทำใส่ฉันนั่นแหละ
ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เธอว่า ฉันมักจะเป็นตัวจัดการผู้หญิงทุกคนที่เป็นมารความรักของเธอ ก่อนจบลงด้วยการเอาคืนผู้ชายนิสัยมักง่ายที่ทิ้งเพื่อนฉันไป และทุกครั้งที่ฉันตั้งใจจะทำแบบนั้น ก็มักจะเป็นใบหม่อนนี่แหละที่คอยปราม คอยห้ามฉันอยู่เสมอ ก็เพราะความเป็นแม่ชีของเธอแบบนี้นี่ไง ถึงได้โดนชะนีร้อยมารยาที่ไหนไม่รู้แย่งแฟนไปบ่อยๆ!
ตึก…
ไม่นานเสียงโวยวายของใบหม่อนก็เป็นอันเงียบลงไปพร้อมๆ กับฝ่ามือที่เธอใช้ตีแขนฉัน พอหันมองถึงได้พบว่าเวลานี้ความสนใจของใบหม่อนกำลังพุ่งเป้าไปใครคนหนึ่งห่างจากโต๊ะไม้ที่เรานั่งอยู่ไปเพียงเล็กน้อย
นักศึกษาหญิงในชุดมหาวิทยาลัยเดียวกัน เจ้าของใบหน้าเหวี่ยงโลก ยืนกอดอกมองหน้าใบหม่อนแบบไม่ค่อยชอบใจราวกับโกรธแค้นอะไรกันมาก่อน ฉันไม่คุ้นหน้าเธอเลยสักนิด แต่ดูไม่ใช่กับใบหม่อนที่เริ่มแสดงความตกใจผ่านแววตา
“เธอคือใบหม่อนป่ะ?” เสียงแหลมเล็กเอ่ยถามแบบไม่เป็นมิตรสักเท่าไหร่นัก แต่ไม่ใช่กับเพื่อนฉันที่ได้แต่พยักหน้าด้วยท่าทางหงิมๆ ท่าทางไม่สู้คน
เมื่อนักศึกษาหญิงคนดังกล่าวได้คำตอบที่ตนพอใจ เธอก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวปราด พุ่งมือเข้าจิกหัวใบหม่อนเอาไว้แน่น พร้อมทั้งเริ่มตะโกนด่าทอ
“กล้าดียังไงบุกไปตบน้องสาวฉันถึงหอพักหะ!?”
“อะ... โอ๊ยยย” การกระทำป่าเถื่อนที่ไม่แม้จะรอให้เพื่อนฉันตั้งหลัก สร้างความเดือดพล่านในอารมณ์ได้อย่างไร้เหตุผล จำต้องตบโต๊ะลุกขึ้นด้วยความไม่พอใจ
รู้อีกที ฉันก็พุ่งมือเข้าจิกหัวเธอคนนั้นอย่างแรง ก่อนพุ่งมืออีกข้างเข้าตบเข้าใส่หน้าฉาดใหญ่ จนอีกฝ่ายยอมปล่อยมือออกจากผมของใบหม่อนในที่สุด
“ทำอะไร หัดรู้จักเกรงใจรุ่นน้องบ้างนะคะรุ่นพี่!” ฉันพ่นคำต่อว่าออกไปแบบไม่ไว้หน้า ไม่สนด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายจะอายุมากกว่าหรือยังไง แต่การที่เธอมาถามชื่อเพื่อนฉันแล้วแสดงมารยาทป่าเถื่อนใส่แบบนี้ฉันรับไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ฉันก็ต้องปกป้องเพื่อนที่ทำอะไรไม่เป็นและตัวเองด้วยการเอาคืนตามสัญชาติญาณ!
“เธอแส่อะไรด้วย!”
“หนูเป็นเพื่อนใบหม่อนค่ะ! แล้วก็เป็นคนตบสั่งสอนพวกผู้หญิงหน้าหนาที่เที่ยวแย่งแฟนชาวบ้านด้วย” เพราะเป้าหมายของผู้หญิงคนนี้คือการเอาคืนให้น้องสาวของตัวเองที่ถูกตบเมื่อวันก่อน ดังนั้นฉันก็เลยไม่มีเหตุจำเป็นอะไรที่จะอมความจริงเอาไว้ในปาก “ไม่ทราบว่าพี่ยังข้องใจอะไรหนูอีกหรือเปล่าคะ?”
“นังนี่!” เธอสบถลั่นด้วยความไม่พอใจ พร้อมทั้งทำท่าจะพุ่งตัวเข้ามายังโต๊ะที่ฉันกำลังนั่งอยู่ เมื่อเห็นแบบนั้น ฉันเองก็ไม่รอชา รีบก้าวเท้าออกจากม้านั่ง เตรียมตัวประจันหน้ากับเธอตรงๆ โดยมีเสียงห้ามปรามของใบหม่อนดังขึ้นแทบจะทันที
“ซินหยุด! ไม่เอา!”
แต่ดูเหมือนทุกอย่างมันช้าไปแล้วสำหรับการปะทะกันในคราวนี้ เมื่อนักศึกษาหญิงแปลกหน้าเปลี่ยนเป้าจากใบหม่อนมาเป็นที่ฉัน มือเธอพุ่งเข้าจิกหัวฉันแน่น โดยมืออีกข้างพยายามง้างขึ้นเพื่อจะกำราบสั่งสอน
“เธอว่าใครว่าเป็นผู้หญิงหน้าหน้าหะ!?” เสียงตวาดถามดังลั่นไปทั่วพื้นที่บริเวณหน้าทางเข้าตึกคณะนิเทศฯ เรียกความสนใจให้แก่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เป็นอย่างดี
ฉันไม่ใช่พวกผู้หญิงที่ยอมคนอยู่แล้ว รีบฉวยจังหวะที่เหมาะสมพุ่งฝ่ามือเข้าตบหน้าเธออีกหนึ่งฉาดพลางพุ่งมือเข้าจิกผมอีกฝ่ายแบบไม่ยอม
เพียะ!
ต่อให้รู้ตัวว่าผิดที่เป็นฝ่ายเข้าไปทำร้ายคนอื่นก่อน แต่ทางฝ่ายนั้นเองก็ผิดไม่ต่างกันที่ดันเข้ามาสร้างความร้าวฉานความรักของเพื่อนฉันจนพัง
“น้องพี่ไงคะ น้องพี่ที่เสร่อเข้ามาเป็นมือที่สามความรักเพื่อนหนู!” ปากฉันไว พูดความรู้สึกของตัวเองออกไปแบบไม่รั้งรอ โดยพยายามต้านแรงที่อีกฝ่ายพยายามตอบโต้กลับแบบไม่ยอม
“นังโง่! คนที่เข้ามาเป็นมือที่สามน่ะ มันเพื่อนหล่อนต่างหาก!” ฉันสะดุดกับคำพูดต่อว่าดังกล่าวไปชั่วขณะ และนั่นเอง มันเลยทำให้เกิดช่องโหว่ จนอีกฝ่ายสามารถพุ่งฝ่ามือกระแทกแก้มฉันได้สำเร็จ
เพียะ!
“หัดมีสมองแยกแยะด้วยนะ อย่าดีแต่เข้าข้างกัน!” นักศึกษาคนเดิมก่นต่อว่า พลางชี้หน้าฉันคล้ายกับสั่งสอน “โง่ก็อยู่ส่วนโง่ อย่าทำอวดฉลาดไปหน่อยเลย หัดเคารพรุ่นพี่บ้าง!”
หน้าฉันชาดิกเมื่อโดนต่อว่าแบบนั้น สมองสั่งให้สายตาเหลือบมองไปยังเพื่อนสนิทที่แสดงอาการตกใจผ่านสีหน้า แววตาของใบหม่อนตอนนี้ดูตกใจและตื่นกลัวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่ใช่! ไม่ใช่หรอก!
คนที่เข้าข้างน้องตัวเองมากเกินไปจนโง่น่ะ มันคือนักศึกษาคนนี้ต่างหาก!
แต่พอจะหันไปตอบโต้อะไรอีกฝ่ายคืนบ้าง เบื้องหลังก็ปรากฏกลุ่มคนในเครื่องแต่งกายคณะวิศวฯ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
พี่อาร์มที่มักจะมาหาฉันที่ใต้ตึกคณะประจำ เวลาที่เขาไม่มีเรียนอะไร รีบวิ่งเข้ามาดูอาการฉันทันที
“มีเรื่องไรกันวะเอ็ม” พี่อาร์มที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวถามน้ำเสียงสงสัย แต่ไม่ใช่กับนักศึกษาคนเดิม หรือ พี่เอ็ม ที่เอาแต่ต่อว่าไม่หยุด
“นังบ้านี่ปีนเกลียว เอ็มเลยตบสั่งสอน เอ็มไม่รู้หรอกนะว่าอาร์มจะสนิทกับมันแค่ไหน แต่ช่วยสั่งสอนหรือพามันไปฉีดยาแก้โง่บ้าง! อ๊ะ!” แต่ทว่า ยังไม่ทันที่พี่เอ็มอะไรนั่นจะพูดด่าทอฉันได้จบประโยคดี เธอกลับต้องร้องลั่นออกมาเสียก่อน
กึก! ฟึ่บ!
เมื่อเบื้องหลังปรากฏร่างสูงของชายหนุ่มในชุดนักศึกษาแตกต่างที่เข็มตราสถาบัน สองคนกำลังยืนขนาบอยู่ คนหนึ่งคือพี่โซ่ที่ฉันคุ้นหน้าดี แต่กับอีกคนฉันดันไม่รู้สึกคุ้นเขาเลยสักนิด
พี่โซ่ในตอนนี้กำลังดึงรั้งข้อมือของพี่เอ็มเอาไว้ สายตาบอกถึงความไม่พอใจ เหมือนๆ กับคำถามที่เขากล่าวออกมา
“ด่าคนอื่นโง่ เธอเคยเช็กความฉลาดรอยหยักสมองตัวเองบ้างยัง?” พี่โซ่ด่าอยู่ก็จริง แต่เขาก็เหลือบตามองมาที่ฉันซึ่งกำลังอยู่ในอ้อมกอดของพี่อาร์มไปด้วย วินาทีที่เราสบตากันตรงๆ พี่โซก็พูดขึ้นอีก
“ถ้าไม่อยากโดนตบคืน ไสหัวไปซะ!” คำสั่งห่ามๆ ฟังดูดุดันทำเอาพี่เอ็ม(เรียกตาม) ส่งเสียงแย้งด้วยความไม่พอใจ แต่กลับต้องร้องออกมาในท้ายประโยค
“อะไร!? พวกนายเป็นใคร!? อะ โอ๊ยย…” ฉันสังเกตเห็นมือพี่โซ่ที่จับข้อมือเธอไว้ค่อยเพิ่มแรงบีบที่มากขึ้น จนอีกฝ่ายหน้าเสีย
“บอกให้ไสหัวไปไง!” โดยเฉพาะกับน้ำเสียงตะคอกดุดันคล้ายกับเก็บความไม่พอใจเอาไว้นั่น
ฟึ่บ!
“พวกบ้า! เข้าข้างกันอยู่ได้ ทุเรศ!” พี่เอ็มยังคงตะโกนต่อว่า แม้ว่าเธอจะสามารถสะบัดมือจนหลุดเป็นอิสระได้สำเร็จ และวิ่งออกไปโดยมีสายตาของนักศึกษาแปลกหน้าที่เดินคู่มากับพี่โซ่มองตามออกไป
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” ตอนแรกบอกตามตรงเลยว่าฉันมีหลายความรู้สึกมาที่ถาโถมเข้ามาในความ แต่วินาทีที่ได้ยินเสียงนุ่มละมุนของพี่อาร์มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ความเป็นนางเอกประจำคณะนิเทศฯก็ประทับร่างทันที
“มะ ไม่เป็นค่ะพี่อาร์ม…” ยังไม่ทันสิ้นเสียงดี ใบหม่อนที่อยู่ในเหตุการณ์ตั้งแต่เริ่ม ก็รีบเข้ามาดูอาการฉันทันทีเช่นกัน
“ซิน เจ็บไหม ขอโทษนะ…” เสียงของใบหม่อนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับมือทั้งสองของเธอ ที่จับแขนฉันไว้กำลังสั่นจนรู้สึกได้
“โอ๊ย! ไม่ต้องห่วงก็ได้มั้ง”