“ส่วนข้อสอง ถ้าทำข้อแรกไม่สำเร็จ ก็ให้เอาศัตรูมาเป็นของตัวเองซะ”
ฉันรีบหันกลับไปเผชิญกับพี่โซ่ซึ่งๆ หน้า คราวนี้สายตาของเขาที่มองมามันชัดเจนเสียยิ่งกว่าตอนมองผ่านเงาในกระจกเสียอีก ฉันไม่เคยเห็นเขามุมนี้มาก่อนเลย เพราะงั้นสถานะของเราในเวลานี้ คนที่ดูเสียเปรียบจึงกลายมาเป็นฉันแบบไม่ต้องสงสัย
“พี่อย่ามาคิดอะไรโง่ๆ นะ” ฉันตะคอกเสียงดุและหวังว่าเขาจะไม่ได้คิดทำอะไรๆ อย่างที่ปากพูดจริงๆ
ต่อให้จะกลัว แต่สิ่งหนึ่งที่เขาคงไม่รู้ก็คือ ฉันน่ะสู้คนนะ และถ้าหากเขาคิดอะไรโง่ๆ ด้วยการแตะเนื้อต้องตัวฉันโดยไม่ได้รับอนุญาตล่ะก็ ต่อให้จะเป็นแฟนเก่าพี่อาร์ม หรือใครก็ตามแม่จะฟาดไม่เลี้ยงเลยคอยดู!
พี่โซ่กวาดตาสำรวจไปทั่วหน้าฉันอย่างพินิจเหมือนทุกครั้งที่เราเริ่มฉะใส่กัน รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นมุมปากด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งเสมือนตัวเองเหนือกว่า สร้างความไม่พอใจและความหวาดหวั่นให้ฉันได้ในคราวเดียวกัน
“คิดอะไรโง่ๆ งั้นเหรอ?” คนตัวสูงพึมพำออกมาเบาๆ คล้ายกับพูดทวนสิ่งที่ฉันเพิ่งกล่าวออกไป และในตอนนั้นเอง พี่โซ่ก็เริ่มทำการจู่โจมใส่ฉัน ด้วยการพุ่งมือเข้าบีบคางฉันแน่นจนปากจู๋
“อื้อ!” ฉันหลุดเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้เขากระทำอยู่ฝ่ายเดียวที่ไหน มือไม้รีบยกขึ้นตบตีใส่ตามแขนของเขาเพื่อให้ปล่อยแบบไม่ยอม
“อ่อยอู๋อ๊ะ! (ปล่อยหนูนะ!)” มือน่ะตบ ส่วนปากก็พยายามปรามเขาไม่หยุด
“นี่ให้มันน้อยหน่อย!” เขาหวีดเสียงใส่ พอลองมองหน้าพี่โซ่ดีๆ แล้วฉันถึงได้รู้ว่าเขากำลังจ้องเขม้นมองฉันอยู่ แววตาไม่ได้แสดงความต้องการอะไรอย่างที่ปากพูด เขาปล่อยมือออกจากคางและขยับกลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองพลางสะบัดมือข้างที่จับค้างฉันเมื่อครู่ไปมา “ความคิดหล่อนเนี่ยมันสกปรกจริงๆ”
แถมยังว่าฉันแบบไม่ไว้หน้า
“ก็พี่โซ่ทำแบบนั้นใส่หนูทำไมล่ะคะ!?” ฉันย้อนเมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิดอะไร ก็คนที่ทำให้ฉันคิดอกุศลแบบนี้มันก็เพราะเขาไม่ใช่หรือไงล่ะ!
“พี่ก็แค่บอกวิธี แล้วหล่อนทำไมต้องขึ้นเสียง!?” พี่โซ่เองก็ไม่น้อยยังคงโบ้ยความผิดมาให้ฉันแบบไม่ยอม
“ก็พี่ทำเหมือนกับ!” ทั้งที่ตอนแรกฉันกะจะตะคอกให้ใส่หน้าเขาให้รู้แล้วรู้รอด แต่พอรู้ว่าต้องพูดความรู้สึกของตัวเองก่อนหน้านี้ออกไป เสียงมันก็ดันหายไปเสียดื้อๆ
“เหมือนกับ?” และนั่นเลยทำให้คนตัวสูงเอ่ยแทรกขึ้นแทบจะทันที
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร!” ฉันตอบอย่างนึกหงุดหงิดตัวเอง รีบสะบัดหันมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อจบบทสนทนาลง แต่นั่นคงไม่ใช่กับพี่โซ่ที่หลุดหัวเราะในลำคอดังหึ
“อะไร นี่คิดว่าพี่จะเบี้ยน จะฟิเจอริ่งกับหล่อนจริงๆ เหรอ?” คำถามติดเสียงหัวเราะทำฉันหันไปมองค้อนพี่โซ่อีกครั้ง
ดูเขาพูดเข้าสิ!
ตอนนี้คนตัวใหญ่ไม่ได้มองฉันหรอก เพราะเขากำลังวุ่นวายกับการติดสตาร์ทเครื่องยนต์รถและปรับเบาะของฉันให้กลัมาอยู่ในสภาพปกติ ไม่มีคำพูดจาต่อจากนั้น เพราะเหมือนว่าเขากำลังพุ่งสมาธิไปที่พวงมาลัยขณะเลี้ยวรถขับออกจากริมฟุตบาธ
“เราจะไปไหนกัน?” ปากมันไว เลยพลั้งถามออกไปแบบไม่ตั้งใจ เมื่อพี่โซ่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปบนถนน
“พี่ไม่ได้จะพาหล่อนไปยิ้มในดงก็แล้วกัน”
“หนูไม่ได้คิดถึงเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นกับพี่หรอกค่ะ”
“อ่ะเหรอ?” โอ๊ย! ตอนนี้ฉันชักจะหงุดหงิดขึ้นมาอีกแล้ว เอาเป็นว่าไอ้ความดีความชอบที่เขาเข้ามาช่วยฉันในร้าน ถือว่าปัดตกไปก็แล้วกัน
“แน่ใจเหรอว่าหล่อนไม่ได้คิด?” เขาย้อนยิ้มๆ ขณะสายตามองผ่านกระจกหน้ารถ
“แน่ค่ะ!” ฉันจงใจย้ำคำพูดของตัวเองเพื่อตอกหน้าให้เขารู้ว่าควรเลิกหลงตัวเองได้แล้ว และมันก็เหมือนจะได้ผลเพราะหลังพูดจบ ทั้งฉันกับพี่โซ่ก็ต่างฝ่ายต่างเงียบมาตลอดทาง
จริงอยู่ที่พี่โซ่เป็นศัตรูหัวใจของฉัน แต่ยังไงก็ต้องยอมรับนั่นแหละนะ ว่าเขาเป็นคนที่หน้าตาดีเลยคนหนึ่ง ซึ่งผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะหลงใหลเขาจนหัวปักหัวปำเลยก็ได้ ถ้าหากเขาลดนิสัยของสตรีเพศในตัวลงบ้างน่ะนะ
ไม่ว่าเขาจะหล่อ ดึงดูด หรือมีเสน่ห์ล้นเหลือแค่ไหนก็ตาม แต่บอกเลยว่าสำหรับฉัน เขาคือข้อยกเว้น ฉันคงทำใจไม่ได้จริงๆ ที่ต้องมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพี่โซ่ีท่เคยเป็นแฟนกับพี่อาร์มมาก่อน
แค่คิดนี้ก็ขนลุกไปหมดแล้ว อี้!
“พูดก็พูดเถอะ…” เสียงของพี่โซ่ดังแทรกความคิดในหัว พานให้สายตาเผลอเหลือบมองด้วยความสงสัย ตอนแรกก็คิดว่าเขาน่าจะหยุดพูดได้ แล้วแต่มันกลับไม่ใช่ “ตั้งแต่เกิดมา พี่ยังไม่เคยยิ้มกับชะนีเลยสักครั้งนะ…”
ฉันแอบเบ้ปากกับสิ่งทีได้ฟัง ก็แหงล่ะ เล่นทำตัวเป็นจงอางหวงผู้ชายขนาดนั้น หลับตามองยังรู้ว่าเลยว่าเขาไม่แมน!
“ชีวิตพี่โซ่เนี่ย เคยผ่านการนอนแต่กับผู้ชายจนชินสินะคะ” พอได้โอกาสฉันเลยแอบจิกกัดเขากลับไป
“ครับ นอนกับผู้ชายตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ที่ต่างประเทศนู้นแหนะ” ที่เลวทรามสุดๆ ก็คือเขาดันหน้าด้านยอมรับข้อครหาจากปากฉันนี่แหละ! “ปกติแล้วเวลาพี่จะนอนกับใคร พี่เลือกคนนะ…”
“…” ฉันเงียบเพราะไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาไปมากกว่านี้ อีกอย่างตอนนี้ฉันชักเริ่มแปลกๆ กับเส้นทางที่เขาพาฉันขับออกมาจากร้านอาหารด้วย
เส้นทางตอนนี้มันไม่ใช่ทางไปหอพักหรือบ้านฉัน ไม่ใช่เส้นทางไปคอนโดของพี่อาร์มด้วย
“นี่เราจะไปไหนกันคะ?” ฉันเอ่ยขัดเรื่องน่ารังเกียจในชีวิตของพี่โซ่แบบไม่สนใจ แต่ไม่ได้มองเขาหรอกนะ ไม่อยากเสียสายตาอ่ะ
“บ้านพี่เองครับ” แต่พอได้คำตอบ หน้าฉันก็สะบัดกลับไปมองเขาแทบจะทันที พี่โซ่กำลังยิ้ม สายตามองตรงไปที่ถนนตรงหน้าแต่ไม่ใช่กับปากที่เริ่มขยับพูดไม่หยุด “ก็อย่างที่พี่บอกไง… ชีวิตนี้พี่ยังไม่เคยยิ้มกับผู้หญิงเลย”
ฉันทำตาโตเมื่อได้ฟัง ลางสังหรณ์กำลังบอกฉันว่า ไอ้เกย์วิปริตคนนี้กำลังมีนัยยะอะไรบางอย่างที่ไม่ดีต่อฉันแน่ๆ
“ปกติพี่เป็นคนเลือกคนว่าอยากจะนอนกับคนแบบไหน… แต่เวลาที่จะต้องเสียซิงพี่ก็ไม่แคร์เรื่องเลือกคนหรอกนะ”
“พี่โซ่จะพูดอะไรคะ!” เมื่ออะไรๆ เริ่มฟังไม่เข้าหู ปฏิกิริยาตอบสนองโดยอัตโนมัติจึงบังเกิดขึ้น สมองสั่งให้ฉันขยับตัวเบียดแนบกับประตูรถที่ปิดสนิท สายตาจ้องมองเสี้ยวหน้าคมคายของเขาแบบไม่วางตา
“ก็อย่างที่บอก…” พี่โซ่เงียบเสียงลง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เขาขับรถเลี้ยวเข้ามาในซอยแห่งหนึ่ง และหยุดรถลงที่หน้ารั้วบ้านหลังใหญ่ราวกับพระราชวัง
คนตัวใหญ่ค่อยๆ หันหน้ามองฉันตรงๆ อีกครั้ง หลังจากที่เราไม่ได้เผชิญสายตากันมาสักพักใหญ่ จากนั้นก็ลั่นวาจาเชิญชวน
“หล่อนอยากลองเป็นชะนีคนแรกที่โดนพี่ยิ้ม[1]ไหมล่ะ?”