@มหาวิทยาลัยเอกชน K
เวลา 14.45 น.
“ฮ่าๆๆๆ ตลกอ่ะซิน”
เสียงหัวเราะรวนของใบหม่อนดังขึ้น เมื่อฉันเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้เธอฟัง เธอขำแรงถึงขั้นที่ว่าใช้มือกุมท้องเลยก็ว่าได้ ต่างจากฉันที่พูดจบแล้วยังรู้สึกขมคอไม่หาย จำต้องคว้าน้ำยาบ้วนปากบนโต๊ะไม้มากลั้วปากฆ่าเชื้อ
“แล้วยังไงต่ออ่ะ พี่โซ่เขาหวงขาอ่อน แล้วเธอทำยังไง?” เมื่อถูกถามกลับมาแบบนี้ ฉันก็รีบกลั้วปากกลั้วคอก่อนบ้วนน้ำยาล้างปากทิ้งแล้วหันไปตอบเธอ
“ฉันก็ลุกออกจากเตียงหมอนั่นน่ะสิ ถามได้!”
“แปลกจังเลยนะที่พี่โซ่พาเธอไปห้องของเขาน่ะ ทั้งที่พี่อาร์มก็อยู่ด้วยนี่ ทำไมพี่โซ่ถึงไม่พาเธอไปไว้ห้องพี่อาร์มล่ะ”
“อะไออู้ไอ้อังไอ! (จะไปรู้ได้ยังไง!)” ฉันตอบเสียงอู้อี้เมื่อจัดน้ำยาบ้วนปากกระดกเข้ากลั้วปากเป็นรอบที่ 2 นับตั้งแต่เริ่มเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นจบ
“แล้วเธอแน่ใจได้ไงอ่ะ ว่าเขาไม่ทำอะไรเธอนอกจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้”
พรูดดดดดด!!
ร่างกายตอบโต้คำถามดังกล่าวด้วยการพ่นน้ำยาบ้วนปากออกไปอย่างเต็มเหนี่ยว จนใบหม่อนขยับตัวหนีอย่างนึกรังเกียจ เธอขมวดติ้วเล็กน้อยมองฉันที่ตกอยู่ในอาการช็อกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนพึมพำออกมา
“ซินอ่ะ ทำไรเนี่ยสกปรก…”
ฉันรีบตั้งสติยกหลังมือปาดคราบน้ำยาบ้วนปากที่เปรอะตามขอบปากแบบลวกๆ สลัดภาพลักษณ์ดาวคณะนิเทศฯที่ทุกคนหมายปองทิ้ง รีบหันขวับมองใบหม่อนและใช้แววตาจริงจัง ซึ่งในความจริงจังบนแววตานั้น มันก็เต็มไปด้วยความเป็นกังวล
“อะ… อะไรอ่ะซิน มองทำไม”
“หมอนั่นไม่ทำอะไรสามเหลี่ยมทองคำฉันหรอก” ต่อให้ไม่แน่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ฉันก็ยังพยายามพูดเข้าตัวเอง และคิดในแง่ดี
ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วโดนเขาด่า ฉันไม่ได้รู้สึกปวดเมื่อย หรือเจ็บส่วนไหนตามแบบพวกผู้หญิงในนิยายเวลาถูกพรากเวอร์จิ้นเลยสักนิด
ใช่! มันคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกน่า!
“ทำไมถึงมั่นใจแบบนั้นอ่ะ”
“ก็…” นั่นสิ ทำไมล่ะ ทำไมฉันถึงต้องมั่นใจว่าเขาจะไม่ทำอะไรฉันด้วย!?
‘ถ่านไฟเก่า แค่พ่นลมเบาๆ ก็ติดพรึบพรับแล้ว รู้ยัง?’
“ก็เพราะเขาเป็นพวกผิดเพศยังไงล่ะ!” คราวนี้ฉันตอบไปแบบมั่นอกมั่น พอจะยกน้ำยาบ้วนปากขึ้นเตรียมตั้งท่าจะกรอกใส่ปากเป็นหนที่สาม ฉันก็ต้องสะดุดเมื่อน้ำยาในขวดพลาสติกขนาดกะทัดรัดตอนนี้มันได้หมดเกลี้ยงขวดไปแล้ว
“ไม่คิดอยากลองเปลี่ยนเก้งให้เป็นชายบ้างเหรอ?” ใบหม่อนถามน้ำเสียงติดตลก แต่นอนว่าคำตอบของฉันคือการส่ายหน้าพรืดแบบรัวๆ เพราะงั้นแม่คนขี้สงสัยแบบเธอจึงเอ่ยถามประโยคต่อมา “ทำไมอ่ะ ได้แฟนแถมยังได้เพื่อนสาวเพิ่มมาด้วยนะ”
“แฟนที่พร้อมจะแย่งผู้ชายที่ฉันแอบชอบอยู่ตลอดเวลา แถมยังฝีปากคมอย่างกับกรรไกรแบบนั้นน่ะ ถ้าให้ต้องคบจริงๆ ฉันวิ่งไปรถบรรทุกแถวเขตชานเมืองชนตายเสียยังดีกว่า” ฉันเบ้ปาก สะบัดหน้าในท่ากอดอก ยืนยันความคิดและคำพูดของตัวเองแบบไม่สนใจนัยน์ตากลมที่มองทุกอย่างเป้นเรื่องตลก
“ซินเนี่ย… ท่าจะชอบพี่อาร์มมากๆ เลยนะ”
“ก็ใช่น่ะสิ” อีกเช่นเคยที่ฉันตอบเพื่อนสาวกลับแบบไม่ต้องคิด แน่นอนว่าใบหม่อนเองก็น่าจะรู้อยู่แล้วเหมือนกัน
“แต่เขาลือกันว่าพี่อาร์มเคยคบกับผู้ชายมาก่อนนะ”
คำพูดหักล้างของใบหม่อนทำฉันสะอึกขึ้นกลางใจ ไม่ใช่เพราะช็อกที่รู้ข่าวเรื่องคบผู้ชายของพี่อาร์มหรอก แต่สะอึกเพราะฉันรู้ยันลิ้นปี่เลยต่างหากว่าเขาเคยคบกับใครมาก่อน!
ในความรู้สึกแล้วความพี่อาร์มกับอีพี่โซ่มันต่างกัน พี่อาร์มถึงแม้ว่าเขาจะเคยกับผู้ชายมาก่อนก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดูสมเป็นชายไม่เหมือนกับเก้งกวางบางคน อีกอย่างฉันก็ไม่เคยคิดหรอกว่า ในวันหนึ่งฉันถึงชอบเขาได้มากขนาดนี้จนสามารถรับได้ทุกข่าวลือและทุกอย่างที่เขาเป็น
อาจเพราะว่าพี่อาร์มปฏิบัติกับฉันพิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยล่ะมั้ง หรือไม่ก็เพราะ เวลาอยู่กับเขาฉันเหมือนรู้สึกเหมือนได้อยู่กับผู้ชายในความฝัน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรที่ฉันชอบเขา ตอนนี้มันไม่สำคัญหรอก ชอบก็คือชอบ เปลี่ยนแปลงกันได้ยาก และที่แน่นอนกว่าอะไรก็คือ ฉันจะไม่มีทางยอมให้เก้งกวางหน้าเก่าหน้าใหม่ที่ไหนมาพรากเขาไปจากฉันเด็ดขาด!
ทว่า ในตอนที่ฉันกำลังจะอ้าปากหาเหตุผลเพื่อหักคำทักท้วงของใบหม่อนอยู่นั้นเอง
Rrrrrr
ความสนใจของฉันทั้งหมดก็ต้องเป็นอันหันเหไปที่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ในกระเป๋าสะพายหนังสีชมพูคู่ใจแทน ไม่รอช้าฉันรีบเอื้อมมือเปิดกระเป๋าพร้อมทั้งหยิบสมาร์ทโฟนซึ้งขึ้นชื่อเด่นหลาบนหน้าจอว่า ‘แม่’ พร้อมทั้งกดรับสายทันที
[ฮัลโหลซิน หนูอยู่ไหนคะลูก?]
“มหา’ลัยค่ะแม่”
[พอดีวันนี้แม่มาเดินช็อปปิ้งที่ห้าง แล้วบังเอิญเจอคุณนายฉวี เราเลยคุยกันเพลินไปหน่อย…] ฉันกลอกตาหมุน 360 องศา เมื่อได้ฟังเสียงของแม่ที่ดูจะลั้นลากว่าที่เคย แถมยังเสแสร้งเอาเสียงมากๆ
ฟังไปตาขวาก็กระตุกยิบๆ ไปเหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นงั้นแหละ
[คุณแม่ซื้อกระเป๋าคลอเล็กชั่นใหม่ของ Louis Vuitton มาเผื่อหนูใบหนึ่งด้วยนะซิน คิกๆ] ให้ตายสิ! ฉันเกลียดเสียงคิกๆ ของแม่จริงๆ เลย เพราะเสียงหัวเราะแบบนั้นน่ะ มักบอกชัดเจนมากว่าแม่มีนัยยะอะไรแอบแฝงเอาไว้
“สรุปแล้วที่แม่โทรมา แม่ต้องต้องการอะไรกันแน่คะ?” เพราะรู้ทันฉันจึงถามออกไป
[แม่อยากให้หนูมาหาแม่ที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนS เย็นวันนี้ตอนหกโมงเย็นจ๊ะ] นั่นไงล่ะ!
“นี่แม่อย่าบอกนะคะ ว่า…”
[ใช่จ๊ะ คุณนายฉวีอยากดูหน้าหนู เผื่อว่าครอบครัวของเราจะได้เป็นทองแผ่นเดียวกันในอนาคต]
“ปฏิเสธไปเดี๋ยวนี้ค่ะ เย็นนี้หนูมีนัดแล้ว” ฉันแย้งเสียงแข็ง และรู้สึกเบื่อหน่ายทุกครั้งที่เวลารับสายแม่แล้วต้องเจอเรื่องเผด็จการอะไรทำนองนี้
จริงๆ แล้วฉันก็พอรู้อยู่ว่าธุรกิจของทางบ้างบางส่วนต้องต้องการพันธมิตรและการปรองดองระหว่างบริษัท แต่ในกรณีของครอบครัวฉัน แม่ไม่สนหรอกว่าครอบครัวนั้นจะเป็นอย่างไร แค่ฐานะพอๆ กัน มีหน้ามีตาในสังคมเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
[ปฏิเสธได้ยังไงล่ะนังลูกคนนี้ คุณนายฉวีขี้วีนจะตาย เธอไม่รู้เหรอ?] คราวนี้แม่พูดคล้ายกับกระซิบ เหมือนกับกลัวว่าคนข้างๆ จะได้ยิน [ถ้าหกโมงนี้เธอไม่มา แม่จะกัดลิ้นตายให้ลงข่าวหน้าหนึ่งไปเลยว่าฉันมีลูกไม่รักดี ฆ่าแม่ตัวเองได้ลงคอ!]
“หนูไม่แคร์!”
[จะเอาแบบนี้สินะซิน] ตอนนี้คุณนายลำดวนในสายเริ่มหัวร้อนแล้วค่ะ!
“ใช่!”
[ก็ได้! ถ้าเธอไม่มาหาแม่เย็นนี้ แม่จะอายัดเงินในบัญชีเธอให้หมด นังซิน!]