3 วันต่อมา...
@Paradise’s Pub
เวลา 21.40 น.
ฉันกำลังตกเป็นเป้าสายตาและถูกลวนลามทางสายตา นับตั้งแต่ก้าวเท้าลงจากรถแท็กซี่โดยสาร จนกระทั่งเดินมาหยุดนั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ที่หน้าบาร์น้ำของผับชื่อดัง เพียงแค่ขยับกายเล็กน้อยเพื่อเปลี่ยนท่าก็สามารถทำให้หนุ่มๆ แถวนั้นน้ำลายแตกฟองได้แล้ว
และการที่ฉันแต่งตัวเปรี้ยวจี๊ดมาเที่ยวคนเดียวดึกๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่เพื่อมาล่อเสือล่อตะเข้ หรือเพื่อยั่วน้ำลายใครหรอกนะ แต่ฉันก็มีเหตุผลส่วนตัว…
ย้อนกลับไป 4 ชั่วโมงก่อน...
“แย่งแฟนคนอื่นได้เนี่ย มันน่าภูมิใจนักหรือไง!?” สถานการณ์ชุลมุนในตอนนั้น ฉันแผดเสียงตะคอกใส่หน้าวายร้ายตรงหน้าพลางเงื้อมมือตบเข้าใส่เธอฉาดใหญ่
เพียะ!
“ตอบสิ!” ส่วนปากก็เร่งเร้าเอาคำตอบ
“ปล่อยฉันนะ นังบ้า!” เสียงหวีดร้องอย่างคนคลุ้มคลั่งของหญิงสาวรูปร่างพอๆ กันกับฉันดังขึ้น ขณะมือไม้ของเธอตีสะเปะสะปะไปมา หน้าตาเธอดูสวยแต่ไม่ใช่กับตอนนี้ตอนที่ใบหน้าเรียวรูปไข่ของเธอจะเต็มไปด้วยเลือดซิบๆ เพราะถูกลูกตบของฉันเข้าไป
“มันเรื่องอะไรของแกด้วยไม่ทราบ!” หล่อนจิกผมฉันทึ้งลงกับพื้นเพื่อพยายามพลิกตัวเองให้กลับมาเป็นฝ่ายเหนือกว่า การกระทำแบบนั้นของหล่อนทำฉันพลาดท่า ถูกฝ่ามือของเธอตบเข้าใส่หน้าอย่างเต็มแรง
เพียะ!
เพราะเคยผ่านช่วงเวลาทำนองนี้กับผู้หญิงที่ชอบยุ่งกับแฟนชาวบ้านมาเยอะ ประสบการณ์จึงสอนให้ฉันรู้ว่าควรจะจะพลิกสถานการณ์อย่างไร
เมื่อตบไม่ได้ผล แผนสุดท้ายก็เลยต้องใช้กำลังให้เหมือนๆ ที่พวกผู้ชายชอบทำกัน พอคิดแบบนั้น มือข้างหนึ่งจึงพุ่งเข้าจิกเรือนผมยาวสลวยของศัตรูตรงหน้าเอาไว้แน่น ขณะที่มือข้างถนัดกำหมัดไว้แน่น ไวกว่าความคิด เพื่อยุติสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี่ลงฉันจึงตัดสินใจพุ่งหมัดพุ่งเข้าใส่ดั้งอีกฝ่ายแบบเต็มแรง
ผลัก!
ดูเหมือนว่ามันจะได้ผล เมื่อเธอยอมปล่อยมือที่จับทึ้งผมฉันออกไป รีบใช้สองมือขึ้นอังจมูกตัวเองที่ตอนนี้ปรากฏคราบของเลือดกำเดาจากแรงกระแทกเมื่อครู่ แถมยังหวีดเสียงแหลมสูงออกมาด้วยอาการตกใจ
“ละ เลือด! กรี๊ดดดดดด แก... แกทำบ้าอะไร!!” ในช่วงเวลาที่ร่างกายเป็นอิสระ ฉันก็ไม่รอช้ารีบหยัดกายลุกกลับขึ้นมายืนเป็นหนที่สอง
ยอมรับว่าการมีเรื่องกับหล่อนในวันนี้ค่อยข้างเสียหายไปเยอะพอดู มุมปาก ต้นแขน ข้างแก้มฉันเต็มไปด้วยรอยแดงและรอยขีดข่วนของเล็บ แต่รวมๆ แล้วฉันก็ถือว่าโอเคที่ได้เห็นอีกฝ่ายหยุดบ้าคลั่ง และสงบลงได้ด้วยเลือดกำเดานั่น
“เอาเวลาแย่งแฟนชาวบ้านไปทำดั้งใหม่ซะนะ” ฉันเหยียดยิ้มก่อนโน้มตัวก้มลงเก็บแว่นกันแดดสีทึบคู่ใจที่ตกอยู่บนพื้นนับตั้งแต่วินาทีที่เริ่มเข้าปะทะด้วยระยะองศาที่เหมาะสม จากนั้นก็เลื่อนขึ้นสวมแบบเชิดๆ
“ไปเถอะหม่อน เคลียร์แล้ว” คำพูดประโยคต่อมาถูกเอ่ยขึ้น เมื่อฉันหันไปสบตาเข้าเพื่อนสาวคนสนิทซึ่งยืนถือกระเป๋าสะพายให้ในระยะใกล้ๆ แน่นอนว่าเธอไม่ปฏิเสธคำชวนของฉันรีบก้าวเท้าเดินเร็วตามหลังฉันที่เดินปัดปลายผมยาวรวบไปไว้ด้านหลังในฐานะของผู้ชนะ
เพื่อนสาวคนที่ว่าเธอชื่อ ‘ใบหม่อน’ นางเป็นเพื่อนสนิทของฉันเอง เรารู้จักกันตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เพราะแบบนั้นเราทั้งคู่เลยค่อนข้างสนิทกัน
“เธอไม่น่าไปทำเขาแบบนั้นเลย เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด...”
“ผู้หญิงมักง่ายก็ควรจะถูกสั่งสอนแบบนี้นี่แหละ” ฉันก็ว่าไปตามท้องเรื่อง
มันก็จริงอย่างที่เธอว่านั่นแหละ เรื่องที่ฉันตบกับผู้หญิงหน้าไม่อายคนนั้นมันไม่ไม่เกี่ยวกับฉันเลยสักนิด แต่ที่ฉันต้องลงทุนลงแรงลงมือจัดการยัยนั่นด้วยตัวเองก็เพราะ ฉันทนไม่ได้ที่จะต้องเห็นเพื่อนของฉันร้องไห้ฟูมฟายเหมือนคนบ้า
ตั้งแต่รู้จักกับใบหม่อนมา ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนโชคไม่ดีเรื่องความรักมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว คบกับใครก็ไม่นาน คบไม่นานไม่เท่าไหร่แทบยังถูกแย่งแฟนบ่อยยิ่งกว่าอะไรดี ที่เป็นแบบนั้นไม่ใช่ว่าใบหม่อนไม่สวยหรอกนะ แต่เธอไม่รู้จักแต่งตัวมากกว่า การที่เพื่อนเป็นแบบนั้นมันเลยส่งผลมาถึงฉันที่ต้องเป็นฝ่ายลงไม้ลงมือจัดการด้วยตัวเอง เพราะฉันยึดคติที่ว่า ถ้าคิดจะทำอะไรมันก็ต้องทำให้สุด
เพราะแบบนั้นในช่วงดึกของวันเดียวกันฉันก็เลยต้องมานั่งแก่วอยู่ที่ผับดังแห่งนี้คนเดียวยังไงล่ะ!
และการที่ฉันชอบหยิบยื่นมือเข้าไปช่วยใบหม่อนอยู่บ่อยๆ มันก็เลยทำให้มีทั้งคนรักและคนเกลียดเคล้ากันไป เข้าข่ายที่ว่าเป็นดอกไม้ในสายตาผู้ชาย แต่เป็นอสูรกายในหมู่ผู้หญิงนั่นแหละ แต่แล้วยังไง ใครสนล่ะ สำหรับฉันแค่มีหม่อนเป็นเพื่อนแบบนี้มันก็พอแล้วล่ะ
พอต้องทนนั่งแก่วอยู่คนเดียวนานๆ มันก็เริ่มรู้สึกเบื่อ เดิมทีฉันก็ไม่ใช่สาวเที่ยวกลางคืน หลงแสงสีเสียงดนตรีอะไรอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะงั้นผู้ชายเพียงคนเดียวที่ฉันไว้ใจและเชื่อถือที่สุดแบบพี่อาร์ม จึงตกเป็นเป้าหมายแรกที่ฉันจะโทรหาในช่วงเวลาน่าเบื่อแบบนี้
“ฮัลโหลพี่อาร์มขา อยู่ไหนอ่ะ?” พอปลายสายรับ ฉันก็รีบยิงคำถามใส่ทันที
[อยู่ใกล้ๆ นี่แหละค่ะ] พอได้ฟังเสียงจากปลายสาย ร่างกายก็ตอบรับคำพูดเขาด้วยการหันซ้ายแลขวาทันที นอกจากคำตอบที่บ่งบอกว่าเขาอยู่ใกล้ฉันแล้ว เสียงเพลงที่ดังขึ้นในสายสอดคล้องกับกับที่หูได้ยินในระยะเวลาปัจจุบันก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งเช่นกัน
“อยู่ตรงไหนอ่าคะ หนูอยู่ตรงบาร์น้ำเนี่ย” ฉันพยายามตะเบ็งเสียงบอกคนในสาย พลางใช้มืออีกข้างอุดหูเพื่อรอฟังเสียงตอบรับกลับมาให้ถนัด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเงียบไป ฉันเลยต้องเรียกเขาอีกครั้ง “พี่อาร์มคะ พี่อาร์มได้ยินหนูไหม?”
กึก!
เสียงวางกระแทกก้นแก้วทำฉันซึ่งกำลังสนใจเสียงตอบรับจากปลายสายเหลือบมองด้วยความสงสัย ก่อนต้องเบิกตากว้างเมื่อเจอเข้ากับสายตาและรอยยิ้มเหยียดๆ ของบุคคลที่ฉันไม่ชอบขี้หน้ามากที่สุดในชีวิต
โดยเฉพาะกับปากคอและคำพูดของเขาซึ่งฟังแล้วเหมือนถูกหาเรื่องตลอดเวลา
“ร้องหาผู้ชง[1]เป็นชะนีเลยนะหล่อน!”
พี่โซ่ยิ้มเยาะ ก่อนสะบัดหน้าหันเข้าบาร์น้ำ เมื่อฉันเริ่มจิกตาจิกปากมอง
เขาเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางในท่าทางสบายๆ ส่วนมืออีกข้างก็หยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นโชว์ตรงหน้า ขณะอ้าปากพูดไปด้วย
“บังเอิญจังนะที่มาเที่ยวที่เดียวกัน แต่ขอโทษนะ... ยกนี้พี่ Win” มันก็คงจะเป็นอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ รอบนี้เขาชนะ เพราะสิ่งของที่เขาจงใจหยิบขึ้นโชว์ให้ฉันเห็นมันคือโทรศัพท์ของพี่อาร์ม “วันนี้อาร์มเขาอยากใช้เวลาส่วนตัวกับพี่น่ะ เราก็เลยมากันแค่ 2 คน...”
“อ๋อเหรอคะ ไม่บอกไม่รู้เลยนะเนี่ย” ฉันทำเป็นเมินคำสั่งดังกล่าว สะบัดหน้าหันเข้าบาร์น้ำแบบเดียวกับที่เขาทำเหมือนทองไม่รู้ร้อน
“นี่ชะนี หล่อนน่าจะรู้ตัวได้แล้วนะว่าอาร์มเขาไม่เอาอ่ะ” พี่โซ่พูดข่มพลางยกแก้วเหล้าในมือขึ้นจิบในท่าทางบ่งบอกจริตอย่างสุดๆ
“เขาแค่มาเที่ยวกับพี่ก่อนหนู ไม่ได้แปลว่าเขาไม่เอาหนูนี่คะ พี่โซ่อย่ามโน”
“หล่อนสิอย่ามโน นก[2]ตั้งนานแล้วยังไม่รู้ตัวอีก”
“แล้วยังไงล่ะคะ ถึงพี่อาร์มเขาไม่เอาหนู แล้วพี่คิดว่าเขาจะเอาคนแบบพี่หรือไง?” คราวนี้ฉันจงใจตอกกลับด้วยด้วยคำถามแรงๆ เพราะอดหมั่นไส้กับคำพูดมั่นอกมั่นใจของเขาไม่ไหว ทว่า พี่โซ่ดันย้อนถามกลับมา
“งั้นพี่ถามอะไรเราหน่อย” เขาเว้นช่วงพูดเล็กน้อยให้ค้างคาใจ จนต้องเหลือบมองจากทางหางตา ก่อนพบว่า เขากำลังเท้าคางหันมองฉันแบบตรงๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนตามมาด้วยคำถาม “หล่อนเคย 'ยิ้ม[3]' กับอาร์มแมะ?”
พอได้ฟังคำถามของเขา ฉันก็กระตุกยิ้มกว้าง พยายามยิ้มสวยๆ เหมือนนางเอกในละคร
“ยิ้มค่ะ เรายิ้มให้กันแบบนี้ทุกวัน” ฉันจงใจเน้นคำตอบของตัวเอง แกล้งยื่นหน้ายื่นตาเข้าใส่เขาพลางเกร็งรอยยิ้มหวานๆ เอาไว้ให้คงเดิม
ทว่า คนตัวสูงดันส่ายหน้า เขาใช้ปลายนิ้วดันหน้าผากฉันให้หยุด ก่อนถือวิสาสะลดมือลงต่ำคว้ามือฉันไปกุมเอาไว้แน่น จากนั้นก็ทำเรื่องไม่คาดฝันด้วยการ ฝืนมือฉันให้เลื่อนไปแตะเป้ากางเกงของตัวเอง จากนั้นก็พ่นคำพูดสั้นๆ
“หมายถึงยิ้มตรงนี้อ่ะจ้ะชะนี...”
O_O Whattttttttt!
พรึ่บ!
“พี่โซ่ทำบ้าอะไรคะ!?” ฉันรีบสะบัดมือออกห่างจากจุดลับของพี่โซ่แบบไม่ต้องสงสัย แม้วินาทีนั้น สติจะถูกทำให้เตลิดด้วยความไม่รู้จักอายของเขาก็ตาม
“หึ! คราวนี้ก็ถอยจากอาร์มได้แล้วนะ เพราะระหว่างแฟนเก่าแบบพี่กับชะนีอย่างเธอมันเทียบกันไม่ติดหรอก” ฉันกัดฟันกรอดอย่างนึกเจ็บใจ ฉันไม่ใช่เด็กอายุสิบขวดที่จะโง่จนไม่เข้าใจความหมาย ถึงอย่างงั้นพี่โซ่ก็ไม่ยอมหยุดพูดจาข่มเหงให้ตัวเองดูเหนือกว่าอยู่ดี “ถ่านไฟเก่า แค่พ่นลมเบาๆ ก็ติดพรึบพรับแล้ว รู้ยัง?”
“ถ้าไฟลุกพรึบพรับขึ้นมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวหนูนี่แหละจะสาดน้ำดับไฟเอง รู้ยัง?”
“คิดว่าดับง่ายเหรอครับ?” เขาย้อน
“แล้วพี่คิดว่าการกลับมารีเทิร์นกันมันง่ายไหมล่ะคะ?” เขาพยายามเล่นสงครามประสาทกับฉัน ฉันสัมผัสได้!
“ง่ายไม่ง่าย ถ้าได้ยิ้มกันเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้ โน๊ะ”