ในเวลาต่อมา
“อะไรนะ! นายหัวของพวกคุณไม่ยอมแม้แต่จะให้พวกเราเข้าพบได้พูดคุยพบปะเจรจาความกันสักนิดสักหน่อยไม่ได้เลยอย่างนั้นเหรอ”เสียงของหนึ่งในขณะเดินทางเอ่ยออกมาด้วยความขัดใจ
“พวกคุณกลับไปเสียเถอะ! ไม่มีประโยชน์สิ่งใดที่จะมาพูดโน้มน้าวนายหัวของพวกเรา จะบอกอะไรให้อย่างนะหมู่เกาะจันทราแค่คิดว่าจะซื้อก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว ต่อให้มีเงินมากมายมหาศาลสักเพียงไหนก็ไม่สามารถซื้อได้ นายหัวของเรามีเงินมากมายมหาศาลจนชาตินี้ก็กินไม่หมดแล้ว ไม่ต้องมาเสนอให้หรอกป่วยการ เข้าใจไหมเพราะว่าตระกูลนรบดินทร์ เขาโคตรรวยมหารวย รวยจนไม่รู้จะรวยอย่างไง”นายโชคกล่าวทิ้งท้ายพร้อมหันหลังกลับไม่สนใจกลุ่มคนจากเมืองกรุงตรงหน้าอีกเลย
“เดี๋ยว!”เสียงหนึ่งเรียกรั้งร่างสูงของหัวหน้าคนงานให้รั้งรอ
“มีอะไรอีกล่ะ! ทำไมถึงพากันเข้าใจอะไรยากกันหนักกันหนานักวะ”นายโชคกล่าวอย่างรำคาญ
“เมื่อกี้คุณบอกว่า นายหัวของคุณมาจากตระกูลอะไรอย่างนั้นเหรอครับ”น้ำเสียงเอ่ยถามนุ่มนวลอย่างสุภาพชนพึงมีพร้อมร่างสูงโปร่งของชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ต้นๆ คะเนคงไม่เกิน 45 เสียกระมัง ก้าวเดินออกมาข้างหน้าพร้อมมองด้านหลังของหัวหน้าคนงานเขม็ง
“อยากจะรู้ไปทำไม!”นายโชคสะบัดเสียงใส่
“อยากรู้ว่าจะใช่คนที่ผมเคยได้ยินมาหรือเปล่า”เสียงนั้นเอ่ยตอบตามความเป็นจริง และนั้นทำให้หัวหน้าคนงานหันกลับมาทันที
“รู้แล้วจะเกิดประโยชน์อะไรกับพวกคุณมิทราบ ขอบอกนะว่าป่วยการอย่างไรเสียนายหัวก็ไม่มีทางออกมาพบปะกับพวกคุณเป็นแม่นมั่น”หัวหน้าคนงานกล่าวย้ำด้วยความมั่นใจ
“ก็บอกมาสิครับ ถ้าหากไม่ใช่พวกเราทุกคนก็จะกลับเข้าฝั่ง ไม่มารบกวนนายหัวของคุณ”ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบกลับไปด้วยความสุภาพ
นายโชคยืนมองร่างสูงตรงหน้า แม้ว่าจะแลดูมีอายุไม่มากหากแต่ศีรษะของเขานั้นเล่ากลับปกคลุมด้วยเส้นผมสีดอกเลาขาวโพลนเต็มไปหมด แต่ใบหน้ายังพอมีเค้าความหล่อเหลาหลงเหลืออยู่
“ถามจริงๆ เถอะรู้แล้วจะช่วยอะไรขึ้นมาได้อย่างนั้นเหรอ”นายโชคถามย้ำกลับไปอีกครั้ง
“สิ่งที่คุณบอกไม่ได้ช่วยให้พวกเราได้ประโยชน์อะไรหรอกครับ แต่ผมคิดว่าทันทีที่นายหัวของคุณล่วงรู้ว่าเจ้านายใหญ่ของพวกเราเป็นใคร อาจจะเปลี่ยนใจยอมคุยกับเจ้านายของเราก็เป็นได้”
ถ้อยคำของบุรุษตรงหน้าทำให้นายโชคยืนนิ่งไปโดยพลันเมื่อได้ยินเช่นนั้น ก่อนจะตัดสินใจกล่าวถ้อยคำออกมา
“นายหัวของเราชื่อ สิงหา นรบดินทร์ เจ้าของหมู่เกาะจันทรา ทายาทเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นเจ้าของหมู่เกาะแห่งนี้เท่านั้น รู้แล้วแบบนี้ยังจะใช่คนที่พวกคุณตามหาอยู่อีกหรือเปล่า”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคน เขาพยักหน้าขึ้นลงติดๆ กันทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะล้วงเข้าไปในกางเกงเพื่อหยิบกระเป๋าเงินของเขาก่อนจะหยิบนามบัตรพลาสติกยื่นส่งให้
“ผมขอฝากนามบัตรนี้ให้กับนายหัวของคุณ รบกวนช่วยบอกด้วยว่า เจ้านายใหญ่ของพวกเรารอคอยที่จะได้สนทนากับนายหัวแห่งหมู่เกาะจันทรา”
นายโชครับนามบัตรพลาสติกที่ทำมาจากวัสดุชั้นดีด้วยท่าทีงงๆ กับคำพูดของชายกลางคนตรงหน้า
“พวกคนกรุงพูดอะไรของมันวะ ฟังไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”หัวหน้าคนงานบ่นพึมพำพลางยกมือเกาศีรษะของตนด้วยความรำคาญกับคำกล่าวของชาวกรุง
บ้านพักนายหัว
นามบัตรที่ทำจากวัสดุอย่างดีถูกยื่นส่งให้กับนายหัวหนุ่ม ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยจากผู้เป็นนายเมื่อเห็นนามบัตรดังกล่าวอยู่ในมือ
“เอ็งเอาอะไรมาให้ข้าวะไอ้โชค”หนุ่มใหญ่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“พวกคนกรุงเขาฝากมาให้นายหัวครับ แล้วยังฝากมาบอกด้วยว่า เจ้านายใหญ่ของพวกเขาเฝ้ารอคอยจะได้คุยกับนายหัว แถมยังบอกอีกว่า นายหัวรู้จักกับเจ้านายใหญ่ของพวกเขาด้วย”
นายหัวหนุ่มรับนามบัตรจากเพื่อนรักก่อนจะก้มลงอ่านข้อความที่อยู่ในนามบัตรนั้นด้วยความสงสัย
“นเรศ วิกิจธรานนท์”หนุ่มใหญ่เอ่ยชื่อที่อยู่ในนามบัตร ก่อนจะตาลุกวาวขึ้นมาทันทีที่เขาจดจำเจ้าของชื่อนั้นโดยพลัน
“ไอ้นเรศ!”ชายหนุ่มกำนามบัตรดังกล่าวเข้าหากันจนแน่น เมื่อจดจำได้ว่าเจ้าของชื่อนั้นเป็นใคร
“นายหัวรู้จักเจ้านายใหญ่ของพวกคนกรุงเหรอครับ”นายโชคเอ่ยถามด้วยความอยากรู้เมื่อเห็นท่าทางของผู้เป็นนายแปรเปลี่ยนไปโดยพลันทันทีที่เห็นนามบัตรดังกล่าว
หากแต่ผู้เป็นนายหากล่าวถ้อยคำใดๆ ออกมาเกี่ยวกับพวกคนกรุงแต่อย่างใด
“ข้าหิวแล้ว วันนี้อ้อยทำกับข้าวอะไรบ้างไปหาอะไรมาให้กินหน่อย”นายหัวหนุ่มกล่าวตัดบท พลางลุกขึ้นจากเก้าอี้รับแขกกลางห้องเดินตรงเข้าไปห้องทำงานของเขาก่อนจะเอ่ยสำทับขึ้น
“รีบไปไอ้โชค! มัวยืนเซ่ออยู่ทำไม”
“ค..ครับ..นายหัว”นายโชครีบรับคำก่อนจะวิ่งกลับไปโรงครัวที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของนายตนเสียเท่าใดนัก
ร่างสูงใหญ่ของนายหัวหนุ่มเดินตรงเข้าไปยังห้องทำงานส่วนตัวของเขาก่อนจะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้ทำงานขนาดใหญ่ นามบัตรที่ถูกขยำป่นปี้อยู่ในมือ ถูกทิ้งลงในถังขยะโดยไม่ใยดี ใบหน้าคมหันกลับไปมองท้องทะเลสีเขียวมรกตเบื้องหน้า ดวงตาสีสนิมเหล็กทอดมองน้ำทะเลสีเขียวขจีด้วยความรู้สึกที่เลื่อนลอย
“ดวงใจ”ชื่อเสียงเรียงนามของหญิงสาวที่อยู่ในหัวใจของเขามาโดยตลอด หลุดออกจากปากโดยไม่รู้ตัว
ครั้นเมื่อรู้สึกตัว
“โธ่เว้ย! ยังจะคิดถึงผู้หญิงประเภทนั้นอีกทำไมอีกวะสิงหา เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บไม่รู้จักจำคือควาย!”หนุ่มใหญ่กล่าวอย่างหัวเสียเมื่อความคิดของเขายังเฝ้าคร่ำครวญหาผู้หญิงที่อยู่ในหัวใจของเขาโดยมิอาจลืมเลือนไปจากความทรงจำได้เลย
ดวงตาคมก้มลงมองนามบัตรที่ถูกขยำอย่างไม่มีชิ้นดีซึ่งถูกทิ้งอยู่ในถังขยะ ก่อนจะถูกมือหนาเอื้อมลงไปเก็บและถูกคลี่ออกมาอีกครั้ง นายหัวหนุ่มนั่งมองนามบัตรตรงหน้าอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานพร้อมกับความคิดบางอย่างผุดขึ้นมาทันที
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืนพลางก้าวเดินออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็ว
“ไอ้โชค! ไอ้โชคโว้ย!”ชายหนุ่มตะโกนเรียกชื่อเพื่อนสนิทดังกระหึ่ม
“คร้าบบบ”เสียงขานรับดังมาก่อนตัว ก่อนจะเห็นเจ้าของร่างรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามายังบ้านพักของผู้เป็นนาย
“นายหัวเรียกไอ้โชคมีอะไรเหรอครับ”
“ไปเตรียมเรือเร็ว ข้าจะขึ้นไปบนฝั่ง”
“ห๊ะ!”สิ้นเสียงอุทาน หัวหน้าคนงานถึงกับยืนนิ่งไปทันที ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานายหัวของเขาไม่เคยขึ้นฝั่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว
“เป็นอะไรวะไอ้โชค ข้าบอกให้ไปเตรียมเรือเร็ว มัวยืนเซ่ออยู่ได้”ชายหนุ่มเอ็ดเพื่อนที่ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นก่อนจะได้ยินเสียงอีกฝ่ายตอบกลับมา ครั้นรู้สึกตัว
“นายหัวจะขึ้นฝั่ง ไอ้โชคหูฝาดไปเหรอเปล่าเนี่ย”นายโชคยังมิวายทวนถ้อยคำย้ำไปย้ำมา
“เออ...เอ็งได้ยินไม่ผิดหรอก ไปเตรียมเรือเร็วให้ข้าได้แล้ว”หนุ่มใหญ่ย้ำคำหนักแน่น
“ครับนายหัว...ว่าแต่นายจะไปไหนเหรอครับ”มิวายอยากจะสอดรู้สอดเห็นเป็นที่สุด
“ไปทำธุระ!จะอยากรู้ทำไมไอ้โชค! รีบไป!ชักช้าเดี๋ยวพ่อเตะถวายเจ้าเลยนะเอ็ง”กล่าวพร้อมทำท่าจะวาดลูกเตะเข้าให้จริงๆ
“ไปแล้วนาย! ไปแล้ว!”หัวหน้าคนงานรีบเผ่นออกจากบ้านพักนายของตนอย่างเร่งด่วนก่อนจะโดนลูกเตะพิฆาตเข้าให้จริงๆ โดยมีสายตาของผู้เป็นนายมองตามหลังจนลับสายตา