EP.06

1203 คำ
      ดวงตาคมเข้มที่ปรายมองมาอย่างต้องการคำตอบเป็นแรงบีบเค้นให้ทนายสูงวัยต้องสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของตัวเองให้กลับคืนมา เพราะแค่สายตาตวัดมอง เขาเองยังรู้สึกเกรงได้มากขนาดนี้ และหากพินัยกรรมเปิดออก เขาจะถูกมองแบบไหน จะมอดไหม้เป็นจุลเพราะดวงตาคู่นี้หรือเปล่า            “ท่านชายระบุไว้ว่าพินัยกรรมของท่านจะถูกเปิดออกก็ต่อเมื่อ คุณชาย หม่อม และคุณวรรณรดา ร่วมรับฟังพร้อมกันครับ”            เมื่อพูดออกไปแล้วทนายวีระเดชก็ถอนใจหายอย่างโล่งอกไปเปราะหนึ่งก่อนจะใช้ฝ่ามือปาดเหงื่อที่ผุดออกมาจากบริเวณหน้าผากอย่างมากมาย เพราะหัวใจยังเต้นรัวเร็วรอลุ้นกับคำตอบจากคุณชายธีรดนย์            “ใคร วรรณรดา”            คิ้วเข้มเลิกสูงพร้อมดวงตาคมเข้มกร้าวขึ้นอย่างฉับพลันเพราะคำตอบของทนายวีระเดชก็ทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป เสียงทุ้มราบเรียบจึงเปล่งออกไปซึ่งก็ทำให้ทนายวีระเดชต้องซับเหงื่อที่ยิ่งไหลออกมามากขึ้น            “เปิดพินัยกรรมพรุ่งนี้บ่ายโมง ผมตรงต่อเวลาเสมอ”            นั่นคือสิ่งที่เขาจะยอมได้มากที่สุด เพราะเพียงต้องเผชิญหน้ากันอยู่นี้ก็มากพอแล้ว และเขาจะไม่เป็นฝ่ายรอใคร หากใครผิดนัดหรือมาไม่ตรงเวลา ทั้งหมดนั่นคือยุติ หากใครต้องการจะร่ำร้องขอเปิดพินัยกรรมอีกครั้ง คนเหล่านั้นต้องเป็นฝ่ายติดตามหาเขาเอง ซึ่งจะไม่มีวันตามพบ            ‘วรรณรดา’ คือชื่อของหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านข้างของหม่อมสุดาวดีตามที่ทนายวีระเดชบอกกับเขา เธอคือหนึ่งในผู้ร่วมรับฟังพินัยกรรมในวันนี้ตามคำสั่งของพ่อ และหากจะถามว่าเธอเกี่ยวข้องเป็นญาติทางฝ่ายไหนของเขานั้น คำตอบคือไม่มีเลย เพราะเธอไม่ใช่ญาติทางฝั่งของเขา หรือทางฝั่งของพ่อ แต่เธอเป็นหลานสาวของหม่อมสุดาวดี และจากใบหน้าของคนทั้งคู่ที่ละม้ายคล้ายคลึงกันมากก็ยืนยันได้ว่าคนทั้งคู่ต้องมีส่วนเกี่ยวพันทางสายเลือดอย่างแน่นอนที่สุด แต่หากจะเปรียบเทียบจากทุกสิ่งที่ประกอบขึ้นเป็นเธอ กลับแตกต่างจากหม่อมสุดาวดีอย่างสิ้นเชิง            ใบหน้าอ่อนเยาว์ของคนที่นั่งก้มหน้างุด ประสานฝ่ามือทั้งสองข้างไว้บนหน้าตักบีบกระชับเข้าหากันอย่างคนมีอาการประหม่าอย่างเห็นได้ชัด รวมทั้งใบหน้าและเรือนผมของเธอก็มองออกว่าไม่ได้รับการแต่งแต้มใดๆ เลย ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติที่ช่างสร้างสรรค์ได้อย่างวิจิตรบรรจง จะมีก็เพียงเครื่องแต่งกายเท่านั้นที่ดูทันสมัยเหมาะสม เขาจึงคิดว่าเธอต่างจากหม่อมสุดาวดี เพราะรายนั้นจัดเต็มตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ความแตกต่างในความเหมือน            “เริ่มได้แล้วครับคุณลุง ผมจะได้กลับ”            เพียงเขาเอ่ยพูดคนที่ก้มหน้างุดก็เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอัตโนมัติ และนั่นก็ทำให้เขาได้เห็น ‘ดวงดาว’ ในยามที่ยังคงมีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์            ดวงตาคมเข้มมองตรงไปยังทนายประจำตระกูลที่มีท่าทางอึดอัดเล็กน้อยคล้ายคนต้องตัดสินใจในบางสิ่ง ดวงตาผ่านพ้นวันเวลามองผ่านเลนส์แว่นใสมองตรงมาที่ผู้ร่วมรับฟังพินัยกรรมทีละคน เริ่มจากเขา หม่อมสุดาวดี และอีกคนที่ยังก้มหน้าเฉกเช่นเดิม ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับเปิดแฟ้มเอกสารออก            “พินัยกรรม ทำที่วังวรเวชเดชากร วันที่...”                    แค่ทนายวีระเดชเริ่มอ่าน หัวคิ้วเข้มของธีรดนย์ก็ขมวดเข้าหากันก่อนจะปรับให้เป็นนิ่งขรึมดังเดิม เพราะวันที่ซึ่งระบุไว้ในพินัยกรรมนั้นแสดงว่าพ่อของเขาเพิ่งทำพินัยกรรมฉบับนี้ได้เพียงปีเดียวเท่านั้น                  ดั้งนั้นเนื้อความด้านในอาจเป็นสิ่งยืนยันได้ว่าหม่อมสุดาวดีมีส่วนรู้เห็นกับการตายของพ่อจริง                    “ทรัพย์สินของข้าพเจ้า รายการที่หนึ่ง ที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่ตามโฉนดที่ดินเลขที่... จำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบไร่ ขอยกให้แก่นางสาววรรณรดา ประคองไชย ที่ดินที่จังหวัดเชียงรายตามโฉนดที่ดินเลขที่... จำนวนเก้าสิบสามไร่ ขอยกให้แก่นางสาววรรณรดา ประคองไชย ที่ดินที่จังหวัดลำปางตามโฉนดที่ดินเลขที่... จำนวนเจ็ดสิบสี่ไร่ ขอยกให้แก่นางสาวรรณรดา ประคองไชย ที่ดินที่จังหวัด...”            รายการทรัพย์สินมากมายที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ของพ่อถูกระบุให้แก่เธอที่นั่งหน้าซีดอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเขา พร้อมส่งสายตามองเขาทีมองคนด้านข้างของเธอที อย่างกับคนจะร้องไห้ แต่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะสนใจ เพราะไม่ว่าพ่อจะมอบทรัพย์สินทั้งหมดนี้ให้ใครก็ไม่เกี่ยวกับเขา เพราะเขาไม่เคยคิดอยากได้อะไรของที่นี่อยู่แล้ว เพียงแต่ข้อความในพินัยกรรมดั่งจะระบุตัวคนร้ายได้โดยง่าย เพราะใครบางคนที่มีรอยยิ้มในสีหน้าอย่างปิดไม่มิดนั้น นั่นคือความสมใจชัดๆ            เพราะจะเป็นไปได้ยังไงที่พ่อจะยกสมบัติมากมายมหาศาลนั้นให้กับหลานสาวของหม่อมสุดาวดีแต่เพียงผู้เดียว แม้เขาจะไม่อยากได้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นเลย เพราะเท่าที่แม่กับแด๊ดดี้มีไว้ให้ใช้ชาตินี้ก็คงกินไม่หมดอยู่แล้ว แต่สมบัติที่เป็นของต้นตระกูลก็ควรจะถูกแบ่งให้กับญาติพี่น้องในเทือกแถววรเวชเดชากร ไม่ใช่ให้คนนอกนามสกุลอย่างนั้น            นั่นคือสิ่งแปลกที่เขาต้องได้คำตอบจากทนายวีระเดชหลังจากการเปิดพินัยกรรมสิ้นสุด ผู้หญิงที่นั่งหน้าซีดอยู่ตรงกันข้ามกับเขานี้มีความสำคัญอะไรกับพ่อ เธอจึงได้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติเหล่านั้น คงไม่ใช่เพียงแค่เป็นหลานสาวของหม่อมสุดาวดีแน่ เพราะพ่อน่าจะคิดหน้าคิดหลังให้มากกว่านี้            “คุณคะ”            “เงียบ”            ท่าทางลุกลนของวรรณรดากับน้ำเสียงเฉียบขาดของหม่อมสุดาวดีที่ปรามให้เธอนิ่ง นั่นยิ่งทำให้เขาต้องมองด้วยความสงสัย เพราะวรรณรดาเรียกหม่อมสุดาวดีว่า ‘คุณ’ ทำไมไม่เรียกว่า ‘คุณอา’ ทว่าพินัยกรรมข้อสุดท้ายที่ทนายวีระเดชอ่านออกมากลับทำให้ทุกสายตาพุ่งตรงไปที่ทนายสูงวัยแต่เพียงผู้เดียว เพราะพินัยกรรมข้อนั้นระบุว่า            “ทรัพย์สินของข้าพเจ้ารายการที่เจ็ด คือ วังวรเวชเดชากรและที่ดินโดยรอบบริเวณวังจำนวนสิบไร่ ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่ หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร บุตรชายของข้าพเจ้า และทรัพย์สินของข้าพเจ้าจะตกเป็นของผู้รับมอบตามรายการที่ระบุไว้แล้วข้างต้นก็ต่อเมื่อ นางสาววรรณรดา ประคองไชย และ หม่อมราชวงศ์ธีรดนย์ วรเวชเดชากร จดทะเบียนสมรสและอยู่ร่วมกันในฐานะสามีภรรยา ณ ที่วังวรเวชเดชากร เป็นจำนวนหนึ่งปี โดยให้เริ่มนับระยะเวลาตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรส”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม