บทที่ 1.1

1447 คำ
19:19 นาฬิกา “กลับคนเดียวได้แน่นะ?” “พูดเป็นเล่นน่า ฉันไม่ใช่เด็กสักหน่อย” ฉันยกมือผลักศีรษะ ‘สีเพลิง’ หลังจากเธอเอ่ยปากถามเหมือนฉันเป็นเด็กห้าขวบ คงเพราะฉันสะสางงานที่มหาวิทยาลัยเสร็จค่ำล่ะมั้ง ยัยนั่นเลยเป็นห่วง เผื่อมีคนสงสัย ผู้หญิงสวยแซ่บตรงหน้าคือเพื่อนของฉันเอง ภายนอกเธอดูหยิ่งและเย็นชา แต่จริงๆ เป็นคนน่ารัก บางทีก็เปราะบางจนน่าปกป้องอีกด้วย ปกติถ้าฉันขี้เกียจนั่งรถเมล์หรือแท็กซี่กลับหอก็มักจะขออาศัยสีเพลิงไปส่ง แต่บางครั้งฉันก็เกรงใจนะ ซึ่งในกรณีของวันนี้ฉันแค่อยากแวะซื้อของนิดหน่อยไง ไม่อยากรบกวนเวลายัยนั่นมากก็เลยยืนกรานว่าจะกลับเอง “ก็ถามไง เป็นห่วง” ยัยผู้หญิงคนนี้... นานๆ ทีจะพูดอะไรชวนจักจี้หัวใจต่อหน้าฉัน เจอแบบนี้จับหอมแก้มสักทีดีกว่า “มะ มาหอมแก้มฉันทำไมเนี่ย!” เป็นดังคาด สีเพลิงสะดุ้งอย่างรุนแรง ไม่ลืมยกมือลูบแก้มตัวเองในขณะที่ฉันยืนยิ้มแฉ่งหลังขโมยหอมแก้มเธอไปหนึ่งฟอด แก้มนุ่มนิ่มแบบนี้ ‘คราม’ แฟนยัยนั่นคงจะฟินน่าดู “เออน่า! ไม่มีโจรที่ไหนกล้าฉุดฉันหรอก” ฉันตบกระเป๋าเป้ของตัวเองสองที “ในนี้มีทั้งคัตเตอร์ เครื่องช็อตไฟฟ้า ใครมันกล้า แม่จะจัดให้น่วม” ฉันยิ้มอีกครั้ง แต่สีเพลิงทำหน้าเจื่อนๆ เหมือนฉันพูดอะไรผิด “อือ เดินทางดีๆ” หลังจากนั้นเราก็ล่ำลาก่อนแยกย้ายกันในที่สุด ฉันเดินลัดเลาะไปตามฟุตบาทขณะล้วงเอาเฮดโฟนขึ้นมาสวม ห่างจากมหาวิทยาลัยไปไม่กี่ถึงกิโลฯ มี Max value น่ะ ฉันตั้งใจตั้งแต่แรกแล้วว่าจะซื้อของเข้าครัวเพราะช่วงนี้ขี้เกียจออกไปหาอะไรกินข้างนอก คงเพราะอยากอยู่หอทำรายงานเงียบๆ ล่ะมั้ง ก็ปีสี่เทอมสองแล้วนี่นะ... ฉันเรียนคณะศิลปศาสตร์ คณะของฉันมีกำหนดฝึกงานในเทอมแรกของปีสี่ ส่วนเทอมสองต้องทำรายงานหนึ่งเล่มเกี่ยวกับสถานประกอบการที่ฉันไปฝึกมา แม้จะเป็นงานแค่ชิ้นเดียว แต่อาจารย์ท่านค่อนข้างเข้มงวดพอสมควร ขืนส่งแบบชุ่ยๆ ไป มีหวังถูกฉะแบบไม่เหลือซากแหง ดีไม่ดีอาจเรียนไม่จบด้วยนะ ฉันมาถึง Max value และจัดการซื้อของที่จำเป็นโดยใช้เวลาไม่มากนัก เมื่อได้ของที่ต้องการก็ขึ้นรถเมล์กลับเป็นปกติ ทว่าเมื่อเดินทางมาถึงหน้าหอแล้ว ฉันพบกับความผิดปกติบางอย่างตรงหน้าประตูห้อง มีรอยเท้าขนาดใหญ่ ข้างนอกฝนกำลังตกแบบปรอยๆ ด้วย เป็นไปได้ว่าใครสักคนที่เพิ่งมาจากข้างนอกเดินวนเวียนแถวหน้าห้องฉัน แต่ว่านะ... รอยเท้าดังกล่าวมันหายเข้าไปห้องฉันแทนที่จะเป็นทิศทางอื่น “ไม่ตายดีแน่” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนล้วงเอาอาวุธในกระเป๋าเพื่อเตรียมพร้อม จังหวะที่ไขกุญแจเข้าไปสารภาพตามตรงว่ามือฉันสั่นเทามาก ทว่าเมื่อเอาตัวเองเข้ามาด้านในแล้วฉันกลับไม่พบใคร กระทั่งเดินผ่านหน้าห้องน้ำ... ซ่า! ได้ยินเสียงเหมือนมีคนกำลังอาบน้ำอยู่ในนั้นอย่างสบายอกสบายใจ หัวใจฉันกระตุกวูบหนึ่งครั้งด้วยความกลัว แต่โชคดีที่ฉันมีสติพอจึงกระชับคัตเตอร์ในมือพลางย่ำเท้าเข้าไปใกล้ประตูห้องน้ำ เสียงหยดน้ำ เสียงลมหายใจ ทุกอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหยุดอยู่หน้าประตู ตอนนั้นฉันพบว่าประตูมันถูกแง้มเอาไว้จนมีช่องว่างเล็กน้อยในการสอดสายตาเข้าไปด้านใน ฉันเผลอเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อรู้สึกว่าความประหม่าเริ่มคืบคลานเข้ามาในจิตใจ ทว่าจนแล้วจนรอดฉันก็ทำใจดีสู้เสือด้วยการมองเข้าไปผ่านช่องว่างเล็กๆ นั่น และมันทำให้ฉันได้เห็น... ผู้ชายคนหนึ่ง เรือนผมสีแดง ตัวสูง ผิวขาว มีรอยสักน่าเกรงขาม กล้ามเป็นมัดๆ ราวกับนายแบบ เขาเปลือยกาย... ไม่จริงใช่ไหม? ฉันร้องถามในใจอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ผมสีนั้น รอยสักแบบนั้น ทุกๆ อย่างที่ได้เห็นแทบจะเป็นคนเดียวกันกับไอ้สารเลวคนหนึ่งที่ทิ้งฉันไปอย่างเลือดเย็น “อ๊ะ” ฉันสะดุ้งและรีบผละออกมาโดยสัญชาตญาณเมื่อนัยน์ตาคมปลาบสีสวยเคลื่อนมาทางนี้พอดี ทำให้เราสบตากันผ่านช่องว่างของประตูที่ถูกแง้ม แอล... เป็นเขาจริงๆ เป็นไอ้เลวนั่นจริงๆ ด้วย! คัตเตอร์ในมือฉันสั่นเทาเมื่อได้คำตอบว่าผู้ชายคนนั้นคือคนที่ทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจช่วงปีก่อน นึกอยากจะใช้มันแทงเขาจนเลือดไหลให้สาสมกับความโกรธที่สุมอยู่ในอก แต่ฉันกลับพบว่ามันน้อยไปเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เขาทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียวโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา “ไง คิดถึงจัง” แอลออกมาจากห้องน้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนหนึ่ง ตัวเขาเปียกชุ่ม รอยยิ้มน่ารักที่ขัดกับแววตาเย็นเยียบนั่นสั่งให้ฉันต้องใช้มีดคัตเตอร์ชี้หน้าเขา คิดถึงจังงั้นเหรอ? ปล้ำฉันเสร็จก็ทิ้งขว้าง หายไปเป็นปีแล้วยังมีหน้ามาบอกว่าคิดถึง... ต้องเห็นแก่ตัวขนาดไหนนะ! “ออกไปจากห้องฉันซะ” แน่นอนว่าสิ่งที่ฉันควรทำไม่ใช่การต้อนรับหรือยิ้มแย้ม หากแต่เป็นการขับไล่ผู้ชายตรงหน้าให้ไสหัวไปไกลๆ ทว่า... แอลกลับก้าวเท้าตรงมาที่ฉันเหมือนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ฉันก้าวถอยหลัง... ไม่ใช่เพราะกลัว แต่ไม่อยากอยู่ใกล้เขามากไปกว่านี้ ไม่ใช่เพราะจะหวั่นไหวหรือใจอ่อน แต่เมื่อเราจบกันแล้วก็ไม่ควรมาข้องเกี่ยวกันอีก ฉันโกรธ ฉันเสียใจ ใช่ เรื่องแบบนี้มันปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว ปึก! แผ่นหลังฉันแนบติดกับผนังห้องในเวลาต่อมา ก่อนที่แอลจะตามมาประชิดตัวโดยไม่มีเวลาให้ฉันได้ตั้งตัว เขารวบมือข้างที่ถือคัตเตอร์ไว้เหนือหัว นัยน์ตาทรงเสน่ห์กวาดไปทั่วใบหน้าฉันราวกับพินิจพิเคราะห์ รอยยิ้มที่ดูผิวเผินยังคงน่ารักขี้เล่นแบบที่เคยเป็น แต่ฉันมองสิ่งเหล่านั้นไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว “ขาวขึ้นนะ สวยขึ้นด้วย” แอลหลุบตามองริมฝีปากฉันและทำท่าจะโน้มหน้าเข้ามาใกล้ เขากำลังจะจูบฉันอย่างที่ชอบทำเหมือนครั้งที่เรายังคบกัน “อย่าเอาปากที่เคยพ่นคำด่ามาจูบฉัน!” แม้จะผ่านไปเป็นปีแล้ว แต่ฉันยังจำได้ว่าคืนนั้นแอลใช้คำว่า ‘กลับกลอก’ ในการครหาฉัน ถ้าแปลให้เข้าใจง่ายหน่อยก็คง ‘ตอแหล’ อะไรทำนองนั้น ฉันจ้องหน้าแอลที่ยังคงชุ่มไปด้วยหยดน้ำ ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก องค์ประกอบภายนอกแทบจะหาที่ติไม่ได้เลย แต่ข้อเสียด้านลักษณะนิสัยของเขา... ให้เขียนลงใส่กระดาษเอสี่เป็นพันๆ ข้อก็คงไม่พอ ที่ฉันตกลงคบกับเขา ฉันรู้ดีอยู่แล้วว่านอกจากหน้าตาและฐานะร่ำรวย... แอลแทบจะไม่มีอะไรดีเลย ชอบตีกับชาวบ้าน เลือดร้อน ทำอะไรไม่ค่อยคิด เรื่องผู้หญิงมีน้อยแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มี แต่เขาเป็นพวกกล้าได้กล้าเสีย แคร์เพื่อน แคร์พวกพ้อง ถึงจะทะเลาะและทำให้ฉันเสียใจอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็มักมีเหตุผลที่ดีพอเสมอ นั่นทำให้เราประคองสถานะมาจนเกือบสามปี กระทั่งคืนนั้น... จนป่านนี้ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าอะไรทำให้ทุกอย่างมันพังง่ายดายขนาดนั้น “อยากจูบ ไม่ได้เหรอ?” คงสะกดคำว่ายางอายไม่เป็นใช่ไหม ถึงไม่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไงกับสถานการณ์แบบนี้ หรือว่าลืม... ลืมว่าวันนั้นเขาสัมผัสฉันด้วยความรุนแรงระดับไหน มองฉันด้วยสายตาแบบไหน ใช้คำพูดแบบไหนกับฉันที่นอนไร้ทางสู้อยู่ใต้ร่างกายของเขา! “เราจบกันแล้ว อย่ามาหน้าด้านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!” ฉันบิดข้อมือ มีความรู้สึกอยากฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ แล้ว “หายไปเป็นปี... ทำไมไม่ตายไปซะเลยล่ะ” “...” “กลับมาหาพระแสงอะไร”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม