บทที่4.1

1768 คำ
แววตาเขาเต็มไปด้วยประกายไฟ มันร้อนแรงแต่ก็เยือกเย็น “มีแต่ความคิดต่ำๆ” ฉันด่า “ต่ำกว่าใต้สะดือน่ะได้อยู่” แอลหลุบตามองใต้สะดือฉันเป็นการประกอบคำพูด ฉันหนีบขาเข้าหากันโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มรู้สึกว่าการคุกคามทางสายตานั้นอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดฉันป่วยอยู่เขาก็ไม่วายทำตัวเลวทราม! เมื่อฉันเงียบ แอลจึงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างผู้กุมชัย เขาลากสายตากลับไปเหมือนเดิมและก้าวเท้าออกจากห้องของสีเพลิง ตอนนั้นฉันพยายามกวาดสายตาไปรอบบริเวณเเต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของสีเพลิง มันเงียบสงัดประหนึ่งว่ามีฉันคนเดียวมาตั้งแต่ต้นแล้วยังไงยังงั้น “เพื่อนฉันไปไหน!” ด้วยความเป็นห่วงสีเพลิง มันเลยอดไม่ได้ที่จะถาม แอลอุ้มฉันมาถึงด้านนอกพอดีจึงพยักพเยิดหน้าไปยังรั้วบ้าน ห่างจากตรงนี้ไปไม่กี่เมตร ฉันเห็นสีเพลิงกับครามแฟนเธอ เหมือนทั้งคู่กำลังทะเลาะกันอยู่ “เพื่อนนายทำให้ลูกพลัมเสียใจมาเท่าไหร่แล้วคราม” เสียงนั่นแว่วมาพร้อมกับสายลม “ไม่คิดจะห้ามเลยนะ” “อืม ไม่ห้าม” ครามเป็นผู้ชายเงียบขรึมและค่อนข้างเย็นชา ดังนั้นเขาจึงตอบสีเพลิงด้วยประโยคสั้นกระชับจนน่าหงุดหงิด ฉันเห็นสีเพลิงเม้มริมฝีปากอย่างข่มกลั้น แต่เพราะครามหันมาเจอเราสองคนเข้าซะก่อนเลยจูงมือสีเพลิงมาทางนี้โดยไม่พูดอะไรอีก “ลูกพลัม!” สีเพลิงเรียก เธอกึ่งเดินกึ่งวิ่งมาหาฉัน “ไม่เป็นไรนะ” “เพลิงช่วยฉันที ไอ้แอลมันจะพาฉันกลับคอนโดฯ ฉันไม่อยากไป ฉันอยากอยู่ที่นี่” ฉันดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของแอล ซึ่งจนป่านนี้แล้วเขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันลงสักที อึดอัด! “แอล ปล่อยลูกพลัมซะ” สีเพลิงหันไปทางแอลทันที “นายกำลังทำร้ายเพื่อนฉัน” หัวใจฉันพองโตเมื่อได้ยินคำว่า 'เพื่อน' จากปากสีเพลิง ปกติเธอไม่ค่อยพูดแบบนี้หรอก เป็นฉันซะมากกว่าที่ต้องเป็นฝ่ายแสดงออก ฉันอยากเป็นเพื่อนกับสีเพลิงมาตลอด และตอนนี้ฉันก็ได้เธอมาแล้ว โชคดีจริงๆ ที่ยัยนั่นเป็นห่วงฉัน อย่างน้อยๆ ถ้าไม่มีแอลหรือใคร ฉันก็ยังมีเพื่อน “เปล่าทำร้าย แค่พาเมียกลับ” แอลแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เสียงเขามีความขี้เล่นและกวนประสาท ใครได้ยินก็คงอยากตบให้ช้ำเลือดทั้งนั้น “เนอะไอ้ครามเนอะ” แอลหันไปหาครามซึ่งยืนทำหน้าเมื่อยอยู่ข้างสีเพลิง หาพวกสินะ ที่แอลมาหาฉันถึงบ้านสีเพลิงได้ก็เพราะครามยอมให้ความช่วยเหลือว่างั้นสิ เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย! “มึงเคยช่วยกู” ครามตอบ “กูช่วยบ้าง เจ๊ากัน” คำพูดของครามทำให้ฉันนึกเมื่อปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ฉันกับแอลจะมีปัญหากัน ตอนนั้นครามกับสีเพลิงก็มีเรื่องระหองระแหงกันทุกวี่ทุกวัน ฉันกับแอลเลยเป็นตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ก็ทำนอง... พ่อสื่อ แม่สื่อ “มึงน่ารักจุง ไว้ว่างๆ จะเลี้ยงเหล้านะ~” แอลมักจะทำตัวขี้เล่นกับเพื่อน หรือกับใครก็ตามที่เขาสนิทและคิดว่าดีพอสำหรับตัวเอง เมื่อก่อนฉันได้เห็นมุมนั้นของเขาทุกวัน ตอนนี้เหรอ อย่าให้พูดเลย “กูน่ารัก แต่เมียแม่งเหมือนจะไม่รัก” ครามแอบมองสีเพลิง “ต้องง้อแล้ว” “แอล ปล่อยลูกพลัม ยัยนั่นไม่อยากไป ไม่เห็นเหรอ” สีเพลิงไม่สนใจคราม “เห็น” แอลตอบพลางกระชับปลายนิ้วกับขาอ่อนฉัน "แล้วไง?” เห็นได้ชัดว่าแอลไม่สนใจ ซ้ำยังเลิกคิ้วทำหน้ากวนประสาทใส่สีเพลิงอีก ทำเอาเธอกำหมัดแน่นเหมือนอยากตั๊นหน้าแอลเต็มทนแล้ว ครามที่เห็นว่าแฟนตัวเองกำลังหมดความอดทนจึงเข้ามาคว้าข้อมือสีเพลิงอีกครั้ง คราวนี้ดึงเธอออกห่าง ก่อนจะเป็นฝ่ายก้าวเท้ามายืนอยู่ตรงหน้าซะเอง “มึงรีบไป” คำพูดนั้นเป็นของคราม “ยืนเลวอยู่ได้” “อ้าว ด่ากูเฉย” แอลแค่นหัวเราะแบบไม่คิดอะไรมาก ก่อนเดินไปยังจุดที่รถของเขาจอดไว้ แน่นอนว่าฉันไม่ได้อยู่เฉยๆ ให้เขาทำตามอำเภอใจ แต่การดิ้น การด่า รวมถึงการใช้เล็บยาวๆ จิกเข้าเนื้อจนเลือดซิบ มันไม่ได้สะทกสะเทือนผู้ชายไร้หัวใจอย่างเขาเลย “รู้ว่าทำอะไรฉันไม่ได้ก็หยุดพยายาม ไม่มีประโยชน์” แอลพูดโดยไม่มองหน้ากัน ก่อนจะบังคับให้ฉันนั่งบนเบาะรถบิ๊กไบค์คันโตที่ฉันเคยคุ้นเคยอย่างนุ่มนวล... แต่ในความนุ่มนวลนั้นให้ความรู้สึกหนักแน่นและป่าเถื่อนอยู่ลึกๆ “ฉันเกลียดนาย แอล!” “อือ” แอลครางตอบในคอขณะคร่อมรถ แผงอกกรุ่นร้อนทาบแผ่นหลังฉันทันที มือข้างหนึ่งคว้าเอวฉันไว้หลวมๆ เหมือนเป็นการเซฟไม่ให้ฉันหล่นลงไป วินาทีนั้นเสียงทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง มันเย็นชาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ต้องบอกก็พอรู้” “...” วันต่อมา “หกโมงตรงจะมารับ ห้ามขาดห้ามเกิน” “เฮอะ” พอนึกถึงคำบอกกล่าวสุดท้ายของแอล มันก็อดหัวเราะไม่ได้จริงๆ เขาทำราวกับว่าฉันต้องเชื่อฟังทุกอย่างที่ตัวเองพูด แน่นอน! เลิกเรียนเมื่อไหร่... ฉันไม่โง่ยืนรอให้เขามารับแน่! เมื่อคืนตอนเขาลากฉันกลับคอนโดฯ กว่าจะได้นอนก็ทะเลาะกันไปหลายยก เขาเองทั้งนั้นที่หาเรื่อง เป็นเขาทั้งนั้นที่สร้างความวุ่นวายในชีวิตฉัน นอกจากไม่สำนึกแล้วยังเอาแต่ทำร้ายจิตใจฉันไม่จบไม่สิ้น เกินบรรยายจริงๆ “เป็นอะไร?” สีเพลิงที่นั่งกระดกน้ำอัดลมอยู่ข้างๆ ใช้นิ้วสะกิดเมื่อเห็นฉันหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า “ไปห้องพยาบาลไหม?” “สบายดีน่า” ฉันยิ้มกว้าง ตอนนี้เราสองคนนั่งเล่นอยู่หลังตึกคณะระหว่างรอเรียนวิชาเสริม เป็นคลาสที่อาจารย์คอยแนะนำและช่วยเรื่องรายงามเล่มจบของพวกเรา ความจริงตอนปีสามเทอมสองก็เรียนไปแล้ว แต่ทางคณะบังคับให้เด็กศิลปศาสตร์ที่เพิ่งฝึกสหกิจเสร็จลงเรียนคลาสนี้อีกครั้งเพราะคาดว่านักศึกษาหลายคนยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับงานชิ้นสุดท้าย วิชานี้จะไม่มีการแบ่งเซกชัน สามารถเรียนรวมได้ ฉันกับสีเพลิงเลยลงเรียนวันพุธ ฉันว่าดีนะ ระหว่างทำรายงาน อันไหนที่ผิด อันไหนที่ไม่เข้าท่า อาจารย์ก็จะบอกให้เราไปปรับปรุงทันที “เรื่องแอลหรือเปล่า” สีเพลิงถามถูกประเด็นมาก รอยยิ้มที่เคยประดับใบหน้าเลือนหายไปทันที ได้ยินชื่อเขาแล้วโมโหชะมัด “เขาไม่มีค่าพอที่ฉันจะเก็บเอามาคิดให้รกสมองหรอก” ฉันยักไหล่เนือยๆ ความจริงสีเพลิงทำเรื่องลาเรียนให้แล้วนะวันนี้ แต่ฉันดื้อด้านจะมาเอง ส่วนหนึ่งคือฉันหาเรื่องออกมาจากคอนโดฯ แอลด้วย ถึงอาการจะดีขึ้นกว่าเมื่อวานแค่นิดเดียวก็ตามที “ยังรักอยู่ไหม?” “...” ฉันชะงักแทบจะทันทีเมื่อสีเพลิงยิงคำถามที่ไม่คาดคิดกลับมา เธอมองฉันด้วยสายตาที่... ต้องการคำตอบ เมื่อวานฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังแล้ว ฉันจำประโยคหนึ่งของเธอได้ เธอพูดว่า ‘เหมือนแอลยังแคร์เธออยู่หน่อยๆ นะลูกพลัม’ “ไม่รักแล้ว” “แล้วคิมล่ะ? เธอคิดยังไงกับเขา ถึงขึ้นรักหรือยัง?” จริงสินะ ช่วงที่อยู่กับแอล ฉันไม่ได้ติดต่อกับคิมอีกเลย วันนี้ก็ไม่เจอ “หรือเฉยๆ เหมือนเดิม” “ก็เฉยๆ” ฉันตอบ คำว่าเฉยๆ มันก็ยังดีกว่าคำว่า ‘เกลียด’ หรือ ‘ไม่รัก’ ซึ่งฉันมองว่าคำตอบของตัวเองชัดเจนพอจะบอกแล้วว่าถ้าให้เลือก ฉันต้องเลือกคิม “พูดถึงก็มาเลย ตายยาก” สีเพลิงพยักพเยิดหน้าไปทางด้านขวา อย่างที่เธอบอกจริงๆ คิมกำลังเดินตรงมาที่ฉัน เขารู้ว่าฉันชอบมานั่งเล่นกับสีเพลิงที่นี่ สารภาพเลยนะว่าที่สิงสถิตเมื่อก่อนต้องเป็นห้องชมรมเครื่องยนต์ของวิศวะฯ เท่านั้น แต่พอเกิดเรื่อง ฉันก็ไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นอีก แม้ว่าครามจะกลายเป็นหัวหน้าชมรมแทนแอลไปแล้วก็ตาม อ่า เพิ่งเห็นว่าใบหน้าคิมมีเเต่บาดแผล เหมือนมีเรื่องกับใครมาเลย “คุยกันไปนะ ตามสบาย” สีเพลิงลุกขึ้น เธอยิ้มนิดๆ แล้วเดินจากไป เมื่อตรงนี้เหลือเพียงเราสองคน คิมจึงทิ้งตัวนั่งข้างๆ ฉัน เขาดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก “ที่หายไปเพราะอยู่กับไอ้แอลใช่ไหม” “...” ฉันเงียบ ส่วนคิมก็ยกมือเสยผมลวกๆ เหมือนต้องการระบายความร้อน จังหวะที่เรือนผมสีดำขลับถูกเสยขึ้น ทำให้ฉันเห็นรอยสักขนาดเล็กบริเวณเหนือคิ้ว รู้มาว่าเขามีรอยสักนั้นตั้งแต่อายุสิบสาม แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้ใหญ่และเงียบขรึม และบางครั้งอาจดูอบอุ่น แต่เขาก็มักจะมีมุมเย็นๆ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ “มันทำเธอเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” “ช่างมัน” ฉันเลี่ยงที่จะตอบคำถาม เพราะรู้ดีว่าแอลและคิมไม่ชอบขี้หน้ากันตั้งแต่ปีหนึ่งแล้ว “ว่าแต่นายเถอะ ไปมีเรื่องกับใครมาเนี่ย” ฉันยื่นมือไปแตะบาดแผลเหนือคิ้วใกล้กับรอยสักของเขา แต่สัมผัสได้แค่นิดเดียว คิมก็คว้าปลายนิ้วฉันไว้ พร้อมทั้งหันมามองสบตาตรงๆ “แฟนเก่าเธอ” คำตอบนั้น แม้ไม่ได้เอ่ยชื่อโดยตรงก็ชัดเจนแล้วว่าเป็นใคร เมื่อวานพวกเขามีเรื่องกันสินะ อย่างนี้นี่เอง “ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน” สาบานเลยว่าที่ฉันพูดมันไม่ใช่การปกป้องแอล “แต่มันยุ่งกับเธอ” คำตอบของคิมทำให้ฉันนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง แสดงว่าเมื่อวานแอลพูดเรื่องฉันให้เขาฟังสินะ จริงๆ ก็สงสัยนิดหน่อย ปกติคิมไม่ค่อยมีเรื่องกับใคร เวลาเขาไม่พอใจอะไร อย่างมากก็ได้แค่นั่งสงบสติอารมณ์เงียบๆ ดื่มเบียร์ ฟังเพลง แล้วก็หายไปเอง แต่เมื่อวานเขากลับ... ท่าจะรุนแรงพอตัวด้วย เพราะบาดแผลไม่ใช่เล่นๆ เลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม