แรกพบ

2055 คำ
เพราะต้องรับมือกับคนไข้อาการหนักที่อยู่ในความรับผิดชอบตลอดสองวันที่ผ่านมาตามคำหยิกแกมหยอกของผู้ร่วมงานที่ต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าห่างไกลจากดวงคุณชาย แต่เป็นดวง “เยิน” ไม่น้อยดีๆ นี่เอง พอก้าวเท้าออกจากโรงพยาบาลได้ ภาคินัยคิดว่ากาแฟสักแก้วคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด คาเฟอีนในระดับเข้มเกินลิมิตที่คนทั่วไปจะรับได้ของมันคงพอขับไล่ความมึนที่มีอยู่ในหัวเขาออกไปได้บ้าง คืนนี้เขายังมี “เรื่องอย่างอื่น” ที่ต้องทำอีกมาก ทว่าสิ่งที่ชายหนุ่มลืมคิดไปคือฟ้าหลังฝนก็ไม่ได้สดใสเสมอ หากก่อนหน้านี้เขาทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดีในการช่วยชีวิตรักษาคนไข้ แต่นั่นก็ใช่ว่าจะลบล้างความซวยไม่ให้มาปรากฎ เอี๊ยด!!! ภาพหญิงสาวที่วิ่งมาตัดหน้ารถกลางถนนเปลี่ยวทำให้เขาต้องเหยียบเบรกแทบไม่ทัน กาแฟที่ถืออยู่ในมือเตรียมยกขึ้นมาจะดื่มตอนนี้หกรดเสื้อตัวเองแบบไม่เป็นท่า แล้วอย่างนี้ใครจะรับผิดชอบสภาพดูไม่ได้ของเขา ภาคินัยเผลอสบถบางคำออกมาอย่างหัวเสีย ภาพร่างเล็กในชุดกระโปรงสีหวานแม้เขายังเห็นหน้าไม่ชัดแต่ก็เดาได้ว่าเป็นผู้หญิง นั่นทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องพยายามระงับอารมณ์ แล้วเปิดประตูออกไปคุยกับคู่กรณีให้รู้เรื่อง เป็นหนี้ แฟนทิ้ง ครอบครัวมีปัญหา หรือจะเหตุผลล้านแปดอะไร แต่อายุแค่นี้ก็ไม่ควรมาคิดสั้นฆ่าตัวตาย เด็กสมัยนี้เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ คุณหมอหนุ่มคิดอย่างปลงๆ ขณะก้าวลงมายืนเต็มความสูงตรงหน้าหญิงสาว อาการเหนื่อยหอบผสมกึ่งตกใจเพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมาหมาดๆ ของเธอ ทำให้เขาต้องพยายามใจเย็นรอให้เวลายัยตัวเล็กได้หายใจ ผิวขาวซีดที่โผล่พ้นระบายลูกไม้ของแขนเสื้อออกมา เธอดูบอบบางจนเขาไม่แน่ใจว่าจะล้มเป็นลมไปต่อหน้าต่อตาหรือเปล่า ทว่าอยู่ๆ ข้อมือของเขากลับถูกคว้าหมับด้วยมือเล็ก แรงเขย่าที่ส่งมาไม่น้อยไปกว่าเสียงร้อนรนของคนที่ยังก้มหน้าก้มตาบอกขณะหอบหายใจไปด้วย “คุณ คุณ คุณคะ ช่วยไปดูทางนั้นหน่อย” นัยน์ตาคมหรี่มองเจ้าของเสียงใสได้เพียงครู่ ทว่าจุดที่มือเล็กชี้ไปกลับเรียกความสนใจจากชายหนุ่มได้มากกว่า เพราะภาพที่เห็นมาแต่ไกลคือเด็กผู้ชายอายุราวสิบสี่สิบห้าที่ล้มลงไปนอนกับพื้นข้างรถมอเตอร์ไซด์ มีเลือดปริมาณไม่น้อยไหลออกมาจากตัว ภาคินัยไม่รอช้า สัญชาตญาณทำให้นายแพทย์หนุ่มรีบถลาเข้าไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อครู่เขาพอสังเกตเห็นลางๆ ว่ามีรถญี่ปุ่นขนาดกะทัดรัดจอดเปิดไฟสูงไว้ข้างทาง แต่ไม่คิดว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงนั้น “คุณเป็นคนชนเขาเหรอ” เขาหันมาถามเจ้าของร่างบอบบางที่วิ่งตามมาติดๆ แล้วหันไปประเมินอาการคนเจ็บโดยคร่าวๆ อย่างรวดเร็ว “ไม่ค่ะ ฉันยังไม่ได้ชนเขา แต่ฉันเผอิญขับรถผ่านมา แล้วเห็นเขานอนเจ็บอยู่ ก็เลยลงมาช่วย” เธอช่วยทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าบนทางเปลี่ยวในเวลามืดค่ำเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นพวกนกต่อหรือเปล่า ช่วย…โดยการยอมสละตัวเองกระโดดเข้าไปขวางรถคนอื่นอย่างนั้นหรือ… ประโยคที่เสียงใสเจือแววเหนื่อยตอบออกมา สะดุดหูจนทำให้คนฟังต้องเหลือบตากลับไปมอง เห็นดวงตากลมโตกำลังตื่นตกใจค้านกับร่างบางที่ย่อตัวลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเตรียมพร้อมร่วมด้วยช่วยกันอย่างเต็มที่ ท่าทางแอบสูดหายใจลึกๆ อย่างคนพยายามรวบรวมกำลังใจทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดของเธอ ทำให้คนมองอมยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ คุณหมอหนุ่มหันไปให้ความสนใจกับคนเจ็บตรงหน้าอีกรอบ ไล่ดูจนหาจุดที่เกิดบาดแผลใหญ่เจอ มือหนากดหยุดเลือดในเบื้องต้นขณะหันไปถามคนที่ผ่านมาเจอก่อนเพื่อความแน่ใจอีกที “คุณได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือเปล่า” “ไม่ค่ะ ฉันเคยเรียนวิชาปฐมพยาบาลมาบ้าง เลยรู้ว่าไม่ควรเคลื่อนย้ายคนเจ็บเพราะอาจเป็นอันตรายกับเขา” ภาคินัยแน่ใจว่าถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์อันตรายต่อชีวิตคนแบบนี้ เขาคงได้หลุดขำกับคำตอบของเธอแน่ๆ “ดีมากครับ คุณเก่งมาก พอมีผ้าสะอาดบ้างหรือเปล่า ช่วยหาให้ผมหน่อย” เขาเอี้ยวตัวหันมาบอกหญิงสาวแล้วหันไปให้ความสนใจกับคนเจ็บต่อ ทิ้งให้คนได้เกรดสี่วิชาสุขศึกษาได้แต่งง อยู่ในใจ ขณะเธอเดินหันหลังไปหาของตามที่เขาว่า คิ้วเรียวทั้งสองก็ไม่วายขมวดเข้าหากัน ณัฐรดาไม่เข้าใจตัวเองพูดอะไรผิดไป เธอเห็นอยู่หรอกว่าตอนชมเธอว่า “เก่ง” เขาแอบส่ายหน้าแล้วอมยิ้มด้วย ทว่าพอหญิงสาวเดินกลับมาอีกครั้ง เธอก็พอโล่งใจไปบ้าง เพราะเลือดที่ไหลออกมามากเมื่อครู่ของคนเจ็บตอนนี้เหมือนจะค่อยๆ หยุดไหล “ไม่เป็นไรนะครับ ทำใจดีๆ ไว้ คุณปลอดภัยแล้ว” ณัฐรดาได้ยินเสียงทุ้มบอกคนเจ็บที่พอมีสติอยู่บ้างออกมาแบบนั้น ต่อท้ายด้วยเสียงไหว้วานเธออีกอย่าง หญิงสาวจึงไม่รอช้าที่จะทำ ร่างบางรีบวิ่งไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ในรถมาเพื่อเตรียมจะโทร ทว่าเพียงไม่ถึงนาทีเสียงฝีเท้าคนตัวเล็กที่วิ่งซอยเท้าถี่ๆ มาหยุดหอบหายใจอยู่ด้านหลัง ก็ทำให้คนถูกเรียกจนต้องเหลียวหลังกลับไปมองอดไม่ได้ที่จะยิ้ม คราวนึ้คุณหมอหนุ่มไม่ใช่แค่อมยิ้ม… แต่เป็นยิ้มอ่อนที่ระบายชัดบนใบหน้า “ขอโทษนะคะ คุณพอรู้หรือเปล่า คือฉันจำไม่ได้ว่าถ้าจะเรียกรถพยาบาลต้องโทรเบอร์อะไร” ****** “วันหลังอย่าวิ่งมาตัดหน้ารถใครอีกนะครับ รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย” ภาคินัยเอ่ยทำลายความเงียบหลังจากส่งผู้บาดเจ็บขึ้นรถพยาบาลเป็นที่เรียบร้อย บนเส้นทางเปลี่ยวที่มักถูกใช้เป็นทางลัดหลบปริมาณรถหนาแน่นบนถนนสายหลักในเวลาร่วมเที่ยงคืน สายตาเรียบนิ่งของชายหนุ่มที่มองมาราวตำหนิ ณัฐรดาทำได้ดีที่สุดเพียงแค่ยิ้มสำนึกผิดกลับไปอย่างขอโทษขอโพย เธอรู้ดีว่ามันเสี่ยงและไม่ควรทำ แต่ตอนที่เห็นคนเจ็บมีเลือดท่วมอยู่ตรงหน้า เธอไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก “ขอโทษค่ะ ตอนนั้นฉันเป็นห่วงเขามาก ฉันกลัวเขาจะตาย อีกอย่างฉันก็ดูแล้วค่ะว่าคุณขับรถไม่เร็ว” เธอบอกเหตุผลของตัวเองพลางส่งยิ้มสดใสกลับไปให้ เป็นยิ้มที่ทำให้คนพยายามปั้นหน้าดุต้องยอมใจอ่อน ภาคินัยลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ “แต่คุณก็ไม่ควรทำแบบนี้ ไม่ว่าจะผมหรือใคร คุณเป็นผู้หญิงก็อันตรายรอบด้าน” ชายหนุ่มบ่นอย่างไม่จริงจังนักกลบเกลื่อน จบประโยคนั้นคราวนี้ไม่ใช่แค่ยิ้มแต่ยังตามด้วยเสียงกลั้วหัวเราะออกมาของหญิงสาว แพ้ทางเด็ก… คำนี้เขาเคยคิดว่าใช้ได้แค่กับหลาน ไม่นึกว่ากับผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่ยิ้มทีไรแล้วโลกสดใส เขากลับนึกอยากจะใช้คำนี้กับเธอด้วยเหมือนกัน “ฉันไม่คิดว่าคุณเป็นมิจฉาชีพหรอกค่ะ มิจฉาชีพคงไม่ขับรถคันละตั้งหลายล้าน” เธอว่าพลางโบ้ยหน้าไปยังรถยุโรปสีดำคันหรูที่จอดทิ้งไว้อยู่อีกฝั่งของถนน “แต่โชคดีจังค่ะที่เจอคุณ คุณเก่งจังเลยนะคะ ขนาดฉันเคยเข้าคอร์สฝึกอบรมกับมหาวิทยาลัยตั้งหลายครั้ง ยังไม่ใจกล้า แล้วทำได้ดีเหมือนคุณเลย” เสียงใสเจื้อยแจ้วพาเปลี่ยนไปอีกเรื่อง เธอเคยเข้าอบรมการกู้ชีพสมัยเรียนมหาวิทยาลัยในหัวข้อการห้ามเลือด จำได้ว่าหลักการตามทฤษฏีที่วิทยากรสอนคือบอกว่าเจอแผลที่ไหนให้กด ฟังแล้วดูเหมือนเป็นเรื่องไม่ยาก แต่พอมาเจอกับตัวในสถานการณ์จริง วันนี้เธอก็เพิ่งเข้าใจว่ามันไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่คิดเลย “ครับ ผมก็พอเคยเรียนเรื่องพวกนี้มาบ้าง ว่าแต่คุณจะไปไหนหรือครับ” ชายหนุ่มถามขณะก้มลงมองหน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือ แต่คนตัวเล็กกลับรู้ทันความคิดเอ่ยปฏิเสธตั้งแต่เขายังไม่ได้บอก “ฉันไม่ได้ไปไหนเหรอกค่ะ ฉันไปโรงพยาบาลนั้นมา แต่ตอนนี้กำลังจะกลับแล้ว คุณไม่ต้องขับรถตามมาส่งนะคะ ฉันคุ้นเคยกับทางเส้นนี้ดี” มือบางชี้ไปยังโรงพยาบาลที่รถพยาบาลเพิ่งนำคนเจ็บไปส่ง ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่เขาเพิ่งออกมาเมื่อครู่ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างจับสังเกตใครอีกคน “คุณไม่สบายหรือครับ” หญิงสาวระบายยิ้มแล้วกระซิบในประโยคต่อมาราวกับมันเป็นความลับ “ฉันเกลียดหมอแล้วก็พยาบาลมาก แต่มาดูที่ทางสำหรับทำธุรกิจ” เธอว่าขณะส่งยิ้มจริงใจให้เขา หารู้ไม่ว่าคำพูดท้ายประโยคทำให้ “คนถูกเกลียด” อึ้งไปชั่วขณะ ชั่วขณะ แต่พอเห็นท่าทางสดใสเป็นตัวของตัวเองซึ่งคนมองสรุปแล้วว่าคงเป็นนิสัยประจำตัวของเธอ ไม่รู้ทำไมเขาถึงนึกอยากแหย่เธอกลับไปบ้าง “ธุรกิจอะไรเหรอครับ ฟังดูยิ่งใหญ่จังเลยนะ บอกได้หรือเปล่า” คราวนี้เป็นภาคินัยที่ยิ้มนัยน์ตาถามเธอกลับไปบ้าง แล้วก็ต้องกลั้วหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ดีแล้วที่เขาไม่บอกเธอตั้งแต่แรกว่าตัวเองเป็นหมอ ใบหน้าติดจะงอง้ำลงนิดๆ ของคนตัวเล็ก เธอคงจับได้ว่าโดนแกล้งเข้าให้ คุณหมอหนุ่มใช้จังหวะที่ตากลมเผลอช้อนมองขึ้นมา แกล้งสบเข้าไปในดวงตาคู่สดใสชัดๆ น่ารัก… เป็นคำนิยามเดียวที่เขานึกได้ สำหรับผู้หญิงใจดีที่เพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงชั่วโมง “ดึกมากแล้วค่ะ ฉันคงต้องกลับแล้ว นี่ค่ะ เปลี่ยนซะนะคะ คุณมิจฉาชีพมอมแมม” ชายหนุ่มมารู้ตัวอีกทีก็เพราะคำพูดกับสิ่งที่หญิงสาวยื่นมาให้ “แล้วผมจะคืนคุณได้ที่ไหน” ภาคินัยรับเสื้อยืดสีขาวสะอาดที่ถูกส่งให้มาไว้ในมือ เขาก้มลงมองตัวเองแล้วก็ต้องระบายยิ้มยอมรับสภาพที่คนยิ้มจนตาหยีค่อนขอด “ไม่ต้องคืนหรอกค่ะ เติมน้ำมันครบหนึ่งพันแล้วเขาแถมมา ได้มาฟรีก็เลยยกให้คุณฟรีๆ หรือถ้าอยากจะตอบแทน ก็ช่วยกินขนมนี่” เธอว่าแล้วยื่นถุงบลูเบอร์รี่ชีสพายกับเค้กชาเขียวอีกกล่องมาให้ “ถ้าคุณกินหมดแล้วบอกตัวเองว่าอร่อย นั่นก็ถือว่าเป็นคำขอบคุณแล้วค่ะ” คนตัวเล็กยิ้มส่งท้าย โบกมือร่ำลาแล้วขึ้นรถขับออกไป ตอนนี้จึงเหลือแต่ผู้ชายที่ปกติไม่ชอบกินขนมหวาน กับคำพูดของคนที่เพิ่งจากไปและรอยยิ้มกระจ่างชัดของเธอคนนั้นที่ลอยขึ้นมาในหัว ภาคินัยขับรถตามไปส่งหญิงสาวจนแน่ใจว่าปลอดภัย หลังจากเขากลับถึงห้องพักและอาบน้ำเสร็จ ขณะกำลังเดินผ่านและคิดว่าตัวเองคงลืมไปแล้ว แต่สิ่งที่วางอยู่และเห็นผ่านแค่เพียงหางตา มัน…ทำให้ผู้ชายไม่ชอบขนมหวานต้องหยิบขึ้นมากินอย่างช่วยไม่ได้ พร้อมกับคำตอบชายหนุ่มที่บอกกับตัวเอง อร่อย… นี่เท่ากับเขาได้ขอบคุณเธอแล้วสินะ แล้วเธอล่ะ จะได้ยินที่เขากำลังพูดอยู่หรือเปล่า
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม