“มันความชอบของนิ่มไหม เหมือนที่พี่ชอบมีเรื่องชกต่อยไง” ฉันรีบพูดเพราะเขามาว่าแขวะความชอบของฉัน ชอบอ่านนิยายแล้วผิดตรงไหน
ขี้มโนก็ตัวฉันไหม หนังสือนิยายทำให้ฉันยิ้มได้เถอะ มโนว่าตัวเองเป็นนางเอก ฟินจะตาย
“มึงมันเด็กขี้เหงา” พี่เคลิ้มส่ายหัวใส่ฉัน
“นิ่มไม่เหงาหรอก พี่นั่น…อื้อ”
ครืด ครืด ครืด…
“ว่าไงฟีน” พี่เคลิ้มรีบเอามือมาปิดปากฉัน แล้วเขาก็กดรับสายคนที่โทรเข้ามาหาเขา
(…)
“ก็ว่าง ทำไม”
(…)
“เหรอ ได้ดิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ที่จริงมึงทิ้งไปเลยก็ได้นะ”
(…)
“เออ ๆ เลิกบ่น รำคาญ”
(…)
“เออ เดี๋ยวไปเลยเนี่ย” พี่เคลิ้มกดวางสาย แล้วเขาก็บีบที่ปากฉันแน่นเหมือนเขาลืมตัว
“เอ็บ!” ฉันว่าและพยายามดึงมือเขาออก
“โทษที” พี่เคลิ้มเอามือออก แล้วเหมือนเขาแปลกไป เขาดูเศร้า ถ้าในนิยายที่ฉันอ่านก็คงเหมือนคนอกหัก และกำลังจะไปเจอคนที่ทำให้ใจเจ็บ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ สกิลการมโนของฉันไม่เคยพลาด
เอ๊ะ… นี่ฉันมโนมากไปไหมนะ
“เดี๋ยวไปหาเพื่อนแป๊บนึงนะ” พี่เคลิ้มบอกแล้วก็ขับรถออกจากข้างตึกของคณะที่ฉันเรียน
สีหน้าของพี่เขาดูเกร็ง ๆ ดูเครียดยังไงไม่รู้
หลายนาทีต่อมา…
“ช็อกโกแลตไหมพี่” ฉันแกะช็อกโกแลตแล้วยื่นไปตรงหน้าของเพื่อนพี่ชาย ก็ตั้งแต่นั่งรถมากับพี่เขา พี่เขาก็ถอนลมหายใจบ่อยมาก แล้วก็เงียบนิ่งไปเลย
เหมือนเขาจะเครียด ฉันก็เลยมีน้ำใจแบ่งช็อกโกแลตที่ฉันพกไว้กินบ่อย ๆ ให้เขา
“กินแล้วหายเครียดนะพี่” ฉันคะยั้นคะยอพร้อมบอกสรรพคุณที่ฉันเชื่อไปเองว่าการกินของหวานมันทำให้เราลืมความทุกข์ใจได้ชั่วขณะ
“จริง ๆ นะจ๊ะ” ฉันยื่นไปจ่อตรงปากของพี่เคลิ้ม
“มึงแดกแต่แบบนี้ไง ตัวมึงถึงได้ขนาดนี้” เขาอ้าปากงับช็อกโกแลตจากมือฉัน แต่ก็ไม่วายหันมาตำหนิหุ่นของฉัน
“ยุ่งอะไรกับหุ่นนิ่ม” ฉันชักน้ำเสียงแล้วจากนั้นก็แกะยัดช็อกโกแลตอีกชิ้นเข้าปากตัวเอง
วุ่นวายกับหุ่นฉันอยู่นั่นแหละ
“มึงเป็นมึงแบบนี้ก็ดีนะนุ่มนิ่ม อย่าคิดว่าตัวเองแปลกประหลาดสิ ใครไม่คบเป็นเพื่อนก็เรื่องของมัน มึงเป็นคนดีใครมองไม่เห็นไม่อยากเป็นเพื่อนก็เรื่องของมัน โลกนี้มันโหดร้าย มึงจะมามโนว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิง มีเพื่อนมากมายรายล้อมแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ เลิกกดตัวเองให้ต่ำสักที ไอ้พวกที่พูดที่ว่ามึงนั่นแหละที่ต่ำยิ่งกว่าบัวในตม อย่าไปแคร์ อย่าไปเก็บมาคิด เป็นมึงในแบบที่มึงอยากเป็น มึงจะทำอะไรก็ทำเลย ถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่นก็ไม่ต้องไปสนคำพูดคน ถ้ามึงมัวแต่เก็บคำพูดคนอื่นมาคิด ชีวิตมึงจะมีความสุขไหม เกิดชาติเดียวเอาให้คุ้ม อย่าไปแคร์คำพูดหมา ๆ พวกนั้น” อะไรเข้าสิงให้พี่เคลิ้มมันพูดแบบนี้
“ช็อกโกแลตชิ้นนั้นผสมอะไรที่ผิดปกติแน่เลย พี่เคลิ้มถึงได้ขี้บ่นแบบนี้” ฉันแกล้งพูดแล้วหันมองออกนอกกระจก
ไอ้พี่บ้านี่ จะมารู้จักฉันมากเกินไปแล้วนะ แค่เป็นเพื่อนพี่ชายฉัน ทำมาเป็นพูดดี
“ไอ้อ้วน”
“…” ฉันเฉยไม่พูดอะไรต่อ ไอ้พี่บ้านี่แทบจะเป็นคนเดียวที่เรียกฉันว่าอ้วนแล้วฉันไม่โกรธ
เหตุผลที่ไม่โกรธนั่นเหรอ ก็แค่แม่ฉันบอกว่า…อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา
แล้วไอ้พี่บ้านี่มันก็เป็นทั้งคนบ้า และคนเมาในบางเวลา
หนึ่งชั่วโมงต่อมา…
“รออยู่ในรถนะเดี๋ยวกูมา” พี่เคลิ้มมันจอดรถอยู่ข้างทาง
“เดี๋ยวนิ่มกลับเองก็ได้นะ” ด้วยความที่ว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่าธุระของพี่เขาจะนานแค่ไหน
“กูบอกให้รอ ไม่รอมึงเจอกูแน่” เขาลงจากรถแล้วก็เดินไปที่บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ง
แล้วเขาก็หายเข้าไปในบ้านหลังนั้น
ทำไมฉันต้องมานั่งรอเพื่อนของพี่ชาย แล้วทำไมเขาต้องมาวุ่นวาย หรือเขาจะแอบชอบฉันจริง ๆ
“เป็นไปไม่ได้ ไอ้พี่บ้านั่นผู้หญิงเยอะจะตาย แล้วแต่ละคนก็สวย ๆ ทั้งนั้น เขาจะมาชอบหมูตอนแบบแกได้ไงยัยนิ่ม มโนไม่ถูกคนเล้ย” พูดพึมพำอยู่คนเดียวในรถ พูดย้อนพูดแย้งกับความคิดตัวเองอยู่นี่แหละ
สิบนาทีผ่านไป…
ฉันนั่งเด๋ออยู่ในรถประมาณสิบนาที ฉันก็เห็นพี่เคลิ้มเดินออกมาจากบ้านหลังนั้น ไฟที่ส่องตามทางทำให้ฉันที่นั่งอยู่ในรถมองเห็นใบหน้าที่เหมือนจะมีคราบน้ำตา พี่เคลิ้มเดินมาหยุดที่รถเขายกมือขึ้นเปิดประตูแล้วเข้ามานั่งในรถ
ใบหน้าพี่เขาไม่มีน้ำตาแล้วนะ หรือฉันจะตาฝาด แต่คงไม่หรอก เพราะขนตาพี่เคลิ้มเหมือนจะเปียก
ใครกันนะที่ทำพี่เขาเสียน้ำตา
ฟีนเหรอ ใช่รุ่นพี่มอร์ฟีนที่เป็นลูกหุ้นส่วนมหาวิทยาลัย ที่มีข่าวลือว่าเธอสวยมาก แต่ร่างกายเธอไม่แข็งแรง
ใช่ไหมนะ ฉันไม่เคยเห็นเธอ แต่เคยได้ยินผ่านหูจากปากพี่ชายทั้งสอง
“โอเคไหมพี่ อยากระบายไหม นิ่มฟังได้นะ คิดซะว่านิ่มเป็นตุ๊กตาล้มลุกก็ได้นะ นิ่มสัญญาว่าจะไม่บอกใคร จะเป็นความลับของเรา หรือจะกอด กอดกันไหม นิ่มกอดอุ่นนะ” เพราะอารมณ์มั้งถึงพูดออกไปแบบนั้น
ก็ดูพี่เคลิ้มเขาอาการไม่โอเคเลย
เหมือนเขาเศร้าเสียใจ
พี่เคลิ้มหันมามองฉันหลังจากที่ฉันพูดออกไป ฉันก็เลยฉีกยิ้มให้พี่เขา
“อะ ให้” พี่เคลิ้มโยนบางอย่างมาที่ตักของฉัน ฉันหยิบมันขึ้นมาดู มันคือสร้อยที่ห้อยด้วยเกียร์ของคณะวิศวะ ถ้าเปรียบก็เหมือนหัวใจของเด็กวิศวะ
นี่คงโดนเรียกให้มาเอาสร้อยของตัวเองสินะ
“ว้าว นี่พี่ชอบนิ่มจริงเหรอเนี่ย” ที่พูดไปก็แค่ติดตลก ไม่อยากให้พี่เขาเครียด
“หยุดมโนเลยอ้วน กูแค่ให้เกียร์ ไม่ได้คิดจะเอาทำเมีย” ชิ! เบรกซะฉันล้อลากเลยไอ้พี่บ้านี่
ใครจะอยากไปเป็นเมียนักเลงแบบพี่ล่ะ
“ไม่รู้ล่ะ ใจพี่อยู่ที่นิ่มแล้ว” ฉันพูดออกไป
ก็ฉันเคยได้ยินพี่ ๆ พูดว่าใจอยู่เกียร์ เพราะงั้นเขาก็ให้ฉันแล้ว สรุปแล้วหัวใจเขาอยู่ที่ฉัน
“มโนล้วน ๆ เลยนะมึง” พี่เคลิ้มเขาส่ายหัวใส่ฉัน แล้วจากนั้นเขาก็ขับรถออกจากข้างทางที่อยู่ข้างบ้านหลังใหญ่ที่เขาเดินหายเข้าไป
“เดี๋ยวนิ่มจะดูแลให้ดีเลยนะจ๊ะ” ฉันฉีกยิ้มใส่พี่เคลิ้ม
ก็ตอนนี้พี่เขาอกหัก ฉันก็แค่อยากเห็นพี่เขายิ้มก็แค่นั้น
“เรื่องของมึง เพราะกูไม่สนใจ มึงจะทิ้งก็ได้นะถ้ามันเกะกะลูกตามึง หรือจะให้กูโยนทิ้งตอนนี้ก็ได้นะ”
“อย่ามายุ่งกับของนิ่มนะ! ตอนนี้มันเป็นของนิ่มแล้ว พี่ห้ามยุ่ง” ฉันตะคอกพร้อมยัดใส่กระเป๋าสะพายเมื่อไอ้พี่เคลิ้มชะลอรถแล้วเหมือนจะยื่นมือมาดึงสร้อยเส้นนั้นไป
“มโนอะไรก็มโนไป แต่อย่ามโนว่ากูเป็นผัวมึงก็พอ เพราะมันเป็นไปไม่ได้”
“ชิ! คิดว่านิ่มอยากเป็นเมียพี่หรือไง ฝันไปเถอะ นักเลงอย่างพี่เคลิ้ม นุ่มนิ่มไม่เอามาเป็นผัวหรอก ปวดหัวเรื่องผู้หญิงที่เยอะอย่างกะฝูงวัวฝูงควาย แล้วนิ่มก็ไม่มีปัญญาวิ่งหนีคู่อริพี่ด้วย นิ่มอ้วน นิ่มเหนื่อย”
“มึงมโนไปไกลแล้วนะอ้วน หยุดต่อมมโนมึงเดี๋ยวนี้”
“…”