กู้เฉียวจิงหลังจากตรวจดูข้าวของบุตรชายเสร็จ นางก็เอ่ยเรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาไต่ถาม
“เจ้าชื่ออะไร” น้ำเสียงและแววตาของกู้เฉียวจิงไม่ได้ข่มขู่หรือแข็งกร้าว มันเรียบนิ่งเย็นชา ทำให้อี้เหมยเกิดอาการประหม่า
“เรียนแม่นางกู้ ข้าน้อยชื่ออี้เหมยเจ้าค่ะ”
ลัวมามาคิดว่ากู้เฉียวจิงเป็นเพียงหญิงสาวชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องใช้บ่าวรับใช้ขั้นหนึ่งมารับใช้ ทว่าอี้เหมยแม้จะไม่เคยรับใช้ผู้สูงศักดิ์โดยตรง แต่ก็คล่องแคล่วอีกอย่างก็ทำงานในจวนมานาน จึงคิดว่าไม่ต้องระมัดระวังสิ่งใด
“อี้เหมยหรือ...ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเกี่ยวกับจวนตระกูลเสิ่น เจ้าจะพอให้ความกระจ่างได้หรือไม่”
อี้เหมยเงยหน้ามองกู้เฉียวจิง ภาพตรงหน้าเป็นสตรีสวมชุดสีชมพู่ดอกไห่ถังสดใส ใบหน้างดงามเพริศแพร้ว ยิ่งพินิจที่แววตามันกระตุ้นใจของนางกระตุก ไม่รู้เหตุใดนางถึงรู้สึกถึงกลิ่นอายความโหดร้าย
“แม่นางจะสอบถามสิ่งใด หากผู้น้อยตอบได้ ..ยินดีจะตอบอย่างไม่ปิดบังเจ้าค่ะ”
กู้เฉียวจิงปรับสีหน้ายิ้มพราย “เหตุใดเจ้ากล่าวจึงจริงจังเพียงนั้น เจ้าก็ทราบว่าข้ามาจากถิ่นไกล..แค่อยากจะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปเท่านั้น”
อี้เหมยพลันได้สติ หรือนางจะครุ่นคิดไปเอง แถมยังตีความไปไกล นางถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเริ่มเล่า
ข้อมูลที่อี้เหมยเล่าเกี่ยวกับตระกูลเสิ่นล้วนเป็นเรื่องทั่วไปผู้คนในเมืองหลวงต่างรับรู้ กู้เฉียวจิงเองก็ได้สนใจทว่านี่ก็เป็นอ**บทหนึ่งที่นางควรจะทำและที่สำคัญนางอยากให้กู้ซวินรับรู้ด้วย
เสิ่นเยี่ยหงหลังจากได้พบกับครอบครัวเกือบจะทุกคนพูดคุยจนเหนื่อยล้า ครั้งเดินเข้าเรือนไผ่หยก ไม่เห็นกู้เฉียงจิงชะงักเล็กน้อยพอไตร่ตรองก็พลันเข้าใจจึงเอ่ยถามบ่าวรับใช้
“ฮูหยินของข้ากับบุตรชายพักอยู่เรือนใด”
อู่เจินรีบตอบ “เรียนคุณชาย ทั้งสองคนพักอยู่เรือนรับรองแขกขอรับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าจากนั้นก็ก้าวเท้าเดินออกไป ยังไม่ถึงเรือนรับรองเขาก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะของภรรยาและบุตรชาย ในขณะที่กำลังก้าวเข้าไป พวกเขาต่างหันมาพร้อมกัน ไม่รู้เหตุใดเขารู้สึกว่าระหว่างเขากับภรรยามีม่านบางกั้นอยู่ หัวใจคล้ายอ้างว้างขึ้นมา ความหดหู่จู่โจมเข้ามาโดยไม่รู้สาเหตุ เขาส่ายหน้าเบา ๆ ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนบ่าวไพร่ต่างลุกขึ้นทำความเคารพ ในขณะที่ทั้งสองคนไม่รู้ว่าตนเองจะปฏิบัติตนอย่าง กู้ซวินมองบิดาดวงตาเป็นประกายบิดาในวันนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความสง่างามและน่าเกรงขาม ความเคารพและนับถือภายในใจล้นทะลักออกมาจากใบหน้า เสิ่นเยี่ยหงย่อมรู้ใจของบุตรชายดี เขาจึงยิ้มให้เด็กชายอย่างอ่อนโยนแล้วนั่งลงเคียงข้าง
“มีสิ่งใดขาดหรือไม่”
กู้เฉียวจิง ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีเจ้าค่ะ ทุกอย่างที่นี้มีพร้อมยิ่งนัก” นางก้มหน้ายิ้มบาง ทว่าที่ขาดคงเป็นขาดท่าน
การมาของเสิ่นเยี่ยหงกู้เฉียวจิงมิได้ตกใจ นางทราบจากเนื้อหานิยายอยู่แล้ว
“ท่านพี่ ท่านหิวข้าวหรือยังเจ้าคะ” น้ำเสียงของนางมีความคาดหวัง
“ท่านพ่อ พวกข้ารอทานข้าวพร้อมท่าน” กู้ซวินเอ่ยบอกโดยไม่คิดว่าสิ่งนี้ผิดอันใด เสิ่นเยี่ยหงมองดวงตาสดใสของบุตรชายครุ่นคิดชั่วขณะจึงตอบ
“ยัง..ในเมื่อพวกเจ้ารอทานข้าวก็ตั้งโต๊ะเถอะ” หลังจากเสิ่นเยี่ยหงสั่ง อี้เหมยก็หันไปสั่งบ่าวไพร่รีบตั้งโต๊ะ
หลังจากทางอาหารเสร็จ เสิ่นเยี่ยหงยังต้องไปร่วมโต๊ะกับคนในเรือนใหญ่ เขาจึงมิได้ทานเยอะ กู้ซวินเห็นเช่นนั้นจึงถาม
“ท่านพ่อ อาหารที่นี่อร่อยมากเลยเหตุใดท่านถึงทานน้อยจังเลยขอรับ”
“พ่อยังมีกิจจะต้องไปจัดการ วันนี้พวกเจ้าอยู่ที่นี่เสียก่อน ขาดเหลือสิ่งใดก็ให้บ่าวไพร่ไปจัดการให้ กู้ซวินต่อไปนี้ที่นี่คือบ้านของเจ้า และพ่อจะจัดหาอาจารย์มาสอนเจ้า เจ้าจะเกียจคร้านไม่ได้เด็ดขาดเข้าใจไหม”
“ขอรับท่านพ่อ ข้าเข้าใจขอรับ”
เสิ่นเยี่ยหงพยักหน้ายิ้มอย่างพอใจ จากนั้นก็เงยหน้าไปสบตากับกู้เฉียวจิง ชั่วขณะที่ผุดวาบขึ้นคลับคล้ายเขาไม่รู้ภรรยาคนนี้แม้แต่น้อย ทว่าพอกระพริบตานางก็กลับกลายเป็นจิงจิงที่คุ้นเคยเช่นเคย นางคลี่ยิ้มอย่างอ่อนหวานแล้วพูดขึ้น
“ท่านพี่ ข้ามีเรื่องสำคัญจะกล่าวกับท่าน”
เสิ่นเยี่ยหงเข้าใจว่า กู้เฉียงจิงคงหาวิธีให้เขากลับมาพักที่เรือนด้วย แต่วันนี้เป็นวันแรกที่มาพักในจวนตระกูลเสิ่นหากปล่อยพวกนางทิ้งไว้ก็คล้ายไร้น้ำใจเกินไป และที่สำคัญท่าทีของเขาย่อมมีผลต่อการปฏิบัติของคนใจจวน ชายหนุ่มจึงบอก
“หลังจากทำธุระเสร็จ ข้าจะกลับมา”
“ขอบคุณท่านพี่”
เสิ่นเยี่ยหงกำชับกู้ซวินหลายอย่างก่อนจะผลักออกไป กู้เฉียวจิง ยืนมองส่งชายหนุ่มคลับคล้ายอาลัยอาวรณ์ ทว่าภายในใจกลับตรึงตรองแผนการอีกครั้ง
หลังจากทานข้าวเสร็จก็พูดคุยกับนายท่านเสิ่นเมื่อมาถึงเรือนเสิ่นเยี่ยหงก็เห็นกู้เฉียวจิงเผลอหลับอยู่บนโต๊ะ แววตาเย็นชามีความอบอุ่นขึ้นจาง ๆ
ชายหนุ่มนั่งลงเก้าอี้ตรงข้ามกับกู้เฉียวจิง สายตาที่มอง ฮูหยินของตนเองหาได้เต็มไปด้วยความหวานล้ำเช่นเคย มันถูกแทนที่ความหนักอึ้งและลำบากใจ
กู้เฉียวจิงรู้สึกตัวขึ้นมา นางมองบุรุษตรงหน้าแววตาที่จ้องมองเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“เหตุใดท่านไม่ปลุกข้าเล่า”
“ข้าพึ่งมาถึง”
กู้เฉียวจิง ก้มหน้าลงเล็กน้อยเหมือนพยายามกลั้นใจที่จะพูดบางอย่าง
“ก่อนอื่น...ข้ามีเรื่องจะสารภาพกับท่าน”
เสิ่นเยี่ยหงขมวดคิ้ว “สารภาพ?”
“ใช่เจ้าค่ะ สารภาพ...ความจริงคนที่ช่วยท่านหาได้เป็นท่านพ่อ แต่เป็นอาจารย์ของข้า...อาจารย์ได้กำชับเอาไว้ ให้บอกกล่าวท่านในวันที่ความทรงจำท่านกลับคืนมา...เดิมข้ากับท่านพ่อหาได้เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านอี้หลาง ท่านพ่อก็เหมือนกับท่าน คือไปค้นหาหญ้าลิ้นฟ้าที่หุบเขาคุนซาน” ได้ยินคำว่าหญ้าลิ้นฟ้า เสิ่นเยี่ยหงก็ลุกพรวดขึ้น กลิ่นอายแฝงความเย็นเฉียบกดดันผุดขึ้นกู้เฉียวจิงสบนัยน์ตาสีหมึกลึกล้ำจ้องมองมา นางยิ้มละมุนพูดต่อ
“เหตุใดท่านต้องตกใจด้วยเล่า...เดิมพวกเราก็ต่างไม่รู้ฐานะที่แท้จริงกัน ก็นับว่ายุติธรรมดีแล้ว..จริงสิ ท่านพี่กู้เจา ข้ายังไม่ทราบนามที่แท้จริงของท่านพี่เลย”
น้ำเสียงของกู้เฉียวจิงแฝงความยี่ยวน แววตาเสียดสีอย่างร้ายกาจไม่ปิดปัง ชั่วพริบตาชายหนุ่มก็พลันไม่รู้จักสตรีที่อยู่เบื้องหน้า นี่คือภรรยาอิงเอ๋อร์ของเขาจริงหรือ
ท่าทีของเสิ่นเยี่ยหงยิ่งทำให้กู้เฉียวจิงอารมณ์ดีขึ้น
“อาจารย์เจ้าต้องการอะไรกันแน่”
คำกล่าวนี้ของเขาดูขุ่นเคืองไม่น้อย
“อาจารย์ไม่ต้องการสิ่งใด เป็นข้าเองที่หลงรักท่าน ยอมเป็นภรรยาท่านทั้งที่รู้ว่าวันข้างหน้าอาจจะต้องเจ็บปวดก็ตาม”
กู้เฉียวจิงรินสุราในจอกยกขึ้นดื่มแล้วพูดต่อ ท่วงท่าเปรียบดั่งสตรีในยุทธภพ แน่นอนว่าเรื่องราวที่เล่าคือตกแต่งข้อมูลขึ้น
“ท่านพ่อเองก็ถูกพิษเช่นเดียวกัน แม้จะพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถหาตัวยาครบได้ ท่านพ่อถึงได้จากไปเร็ว ท่านไร้ความจำจึงไม่ทราบเพียงท่านพ่อป่วยเท่านั้น”
เสิ่นเยี่ยหงพลางนึกถึงช่วงผู้เฒ่ากู้เสียชีวิต นับว่าคล้ายคนถูกพิษอยู่บ้าง
“เมื่อสิ้นท่านพ่อ ตอนนั้นข้างรู้สึกเหมือนฟ้าดินถล่มลง ร่างกายแทบจะทรุดลงกับพื้นไร้เรี่ยวแรง จึงได้ยึดท่านเป็นที่พึ่ง เป็นข้าที่ผิดเอง ท่านพี่แม้ว่าข้าจะภรรยาร่วมผูกผมของท่าน แต่ด้วยฐานะของข้าการจะเป็นฮูหยินของท่านช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินไป เรื่องมาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรให้กล่าวอีก.. ส่วนกู้ซวิน..ข้าไม่อาจจะดื้อดึงพาเข้าติดตามไปด้วย ข้าฝากให้ท่านช่วยดูแลเขาด้วย...พูดไปยิ่งมากความ..ท่านหย่าข้าเถอะเจ้าค่ะ”