ย้อนกลับมาช่วงต้นของเรื่อง
รถม้าที่จางเจี้ยนช่วยหามาให้ใหม่ ใช้เวลานานกว่าปกติ พอส่งอวี้เพ่ยเอ๋อร์ถึงเรือน หญิงสาวก็จ่ายเงิน และมองซ้ายแลขวา เพื่อดูว่ามีผู้ใดเห็นตนหรือไม่ กระทั่งกลับเข้าเรือน สิ่งแรกที่หญิงสาวกระทำคือสำรวจใบหน้างามในกระจกทองเหลือง!
นางยอมรับว่า อยากเป็นคนงาม และดูดีที่สุดเมื่อไปพบหน้า คนที่อยู่ในโรงเก็บฟื้น ซึ่งซ่อนตัวเขาไว้หลายวันแล้ว และอวี้เพ่ยเอ๋อร์ ทั้งตื่นเต้น มีความสุขอย่างประหลาด ราวกับยิ่งปิดบังผู้อื่น ทั้งลอบมีความสัมพันธ์กับเหวินมู่ถัง ยิ่งทำให้ร่างกายนี้หวานฉ่ำ ทั้งหัวใจเหมือนพองโตคับแน่นในอก ยามที่เขาเรียกนางว่า
‘เพ่ยเอ๋อร์...’ ก็ชวนให้นางอยากพลีร่างให้เขา ขบ กัดเบาๆ และทำรักอย่างถึงใจ
แม้หลายวันที่ผ่านมา ลำคอระหงจะถูกเขาดูดเม้ม และขบเบาๆ หลายหนจนช้ำ หัวไหลกลมข้างหนึ่งมีแผลกัด ทว่านางกับซ่านสยิวกับการกระทำของเหวินมู่ถัง นางปรารถนาเขา อยากพบความสุขที่ชายหญิงพึงปฏิบัติต่อกันไปชั่วชีวิต
หญิงสาวเข้ามาในห้องเก็บฟืน และเห็นว่าอีกฝ่ายนอนนิ่งๆ อยู่บนกองฟาง แผลของเขาได้นางช่วยทำความสะอาด หนวดเคราก็เป็นนางโกนให้ เสื้อผ้านางหามาเปลี่ยน ยามนี้หวินมู่ถังจึงเหมือนคุณชายผู้หนึ่ง ที่นางยอมรับว่าเขาไม่ใช่แค่รูปงาม หากองอาจ ทั้งยังมีส่วนแข็งแกร่ง ซึ่งอวี้เพ่ยเอ๋อร์มิอาจ สลัดภาพดังกล่าวให้ออกจากหัว
นางคิดเลื่อนเปื้อนต่อเขา หลายคืนที่ผ่านมา อวี้เพ่ยเอ๋อร์ กลายเป็นสตรีที่มักมาก ทั้งยังแอบช่วยตัวเองยามที่อยู่ในห้องนอนของตน แล้วถวิลหากายแกร่งของบุรุษผู้นี้
และเมื่อวานอวี้เพ่ยเอ๋อร์ อยู่กับชายลึกลับตัวโตทั้งวัน ออดอ้อนออเซาะเขาอย่างไร้ยางอาย
ซึ่งอาการเขาดีขึ้นเป็นลำดับ แต่พอขยับตัวนางจึงเห็นว่า มีเลือดซึมออกจากบาดแผล เมื่อเป็นเช่นนั้น รุ่งเช้าอีกวัน อวี้เพ่ยเอ๋อร์จึงเข้าไปในเมือง นอกจากส่งผ้าที่ปักให้ลูกค้า ก็นำขนมอบไส้เนื้อไปด้วย จากนั้นก็หาซื้อยาสมานแผล กับสุราชนิดพิเศษ เพื่อนำมาทำความสะอาดแก่เขา สิ่งเหล่านี้นางเรียนรู้ในช่วงก่อนบิดาเสียชีวิต ซึ่งนางเคยได้รับคำชมจากอาจารย์ กับแพทย์หลวงประจำบ้านเกิดว่า นางมีพรสวรรค์เรื่องการรักษาคน และค่อนข้างหัวเร็ว
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ใช้เวลาอยู่ในโรงเก็บฟื้นเกือบหนึ่งชั่วยามกว่าๆ นางดูแลเหวินมู่ถังอย่างดี พอเดินออกมาเก็บผักที่ตากแห้ง ก็พบชิงถง อยู่ที่ด้านนอกรั้วดิน ท่าทางเขาเหมือนมาที่นี่นานแล้ว!
“ท่านแม่ ให้ข้าเอาหัวผักกาด และเนื้อกวางตากแห้งมาให้เจ้า” ชิงถงบอกนาง
“พี่ถง มาถึงตั้งแต่เมื่อใด” อวี้เพ่ยเอ๋อร์ถามด้วยน้ำเสียงห้วนอยู่สักหน่อย ขณะเดียวกันก็รักษาระยะห่างจากเขา
“มินาน เรียกหลายรอบแล้ว แต่เหมือนเจ้าไม่ได้ยิน”
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ไม่อยากเชื่อคำพูดเขา นางอยู่กับเหวินมู่ถังในโรงเก็บฟื้นก็จริง กระนั้นหากใครเรียกหา ย่อมได้ยินเป็นแน่
“ขอบใจพี่ถง กับป้าเจี้ยน ครั้งหน้ามีของอยากแบ่งปัน ข้าจะไปรับที่ร้านดีกว่า พี่ถงจะได้ไม่ต้องลำบากมาถึงเรือน”
“เสี่ยวเอ๋อร์...” คราวนี้ชิงถงทอดเสียงนุ่มๆ และมองหญิงสาวด้วยสายตาที่ยากจะคาดคิดเป็นอื่น หากไม่ใช่ปรารถนาเรือนร่างนี้
“โปรดให้เกียรติข้า เรียกเสี่ยวเอ๋อร์เช่นนั้น นับว่าไม่สมควร!”
ชิงถงยิ้ม และตอบกลับ
“ได้สิ แม่นางเจี่ยง และหวังว่าสักวันเจ้าจะเปิดใจให้แก่ชายคนนี้ ซึ่งไม่ถือสา หากเจ้าพลาดพลั้งหรือเผลอไผลทำเรื่องไม่งาม ขอเพียงแต่ข้าได้ดูแลเจ้า และเราได้มีความสุขอย่างล้นเหลือด้วยกัน”
กล่าวจบชิงถงก็วางของฝากจากมารดาให้แก่อวี้เพ่ยเอ๋อร์ ซึ่งก่อนก้าวจากไป เขามิวายใช้สายตาหื่นกระหายมองสำรวจเนื้อตัวอวี้เพ่ยเอ๋อร์ โดยจดจ้องเป็นพิเศษคือลำคอระหง กับริมฝีปากนางที่บวมเจ่ออยู่สักหน่อย ด้วยเมื่อครู่ นางถูกดูด จูบ และยังใช้ความอวบอิ่มของริมฝีปากชื้นๆ ของตน ทำรักให้แก่ขาที่สามของ
เหวินมู่ถัง และเขาก็สาดความอุ่นจัดขาวขุ่นออกมาอย่างหอมหวาน
สองวันต่อมาฝนไม่ตกแล้ว และอากาศอบอ้าวกว่าทุกวัน
อวี้เพ่ยเอ๋อร์เข้าเมืองอีกหน และไม่ได้ไปส่งขนมไส้เนื้ออบที่ร้านจางเจี้ยน นางรู้สึกไม่ปลอดภัยจากลูกชายของอีกฝ่าย
ทว่าในช่วงที่นางเดินออกมาจากร้านขายยา นางต้องตกใจจนขนลุกทั่วทั้งร่าง มือเท้าก็เย็นจัด หญิงสาวนึกว่าตนเห็นผี จู่ๆ น้องชายเจี่ยงซาน สามีผู้ล่วงลับ ซึ่งมีนามว่า เจี่ยงเซียน ปรากฏตัวในเมืองเล็กๆ นี้
หญิงสาวไม่รู้ว่าเขามาที่นี่ด้วยเหตุใด และภาวนาขออย่าให้เขามีธุระอันใดเกี่ยวข้องกับนางเลย นางยังจำได้ว่าอีกฝ่าย คือคนที่มาพร้อมกับแม่สื่อก่อนที่นางจะแต่งเข้าเป็นฮูหยินเรือนเจี่ยงและเขาก็มักมองนางด้วยสายตาไม่สมควร!
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ยืนหลบมุมมองอยู่นาน เห็นว่าเขาพูดคุยกับผู้คนมากมาย จับตาอยู่สักพักก็มีสตรีนางหนึ่งที่สวมหมวกตาข่ายเดินมาหาเขา ท่าทางอีกฝ่ายมีความสนิทสนมต่อเจี่ยงเซียนมิน้อย
เมื่อใช้เวลาอยู่นานเกือบครึ่งชั่วก้านธูปดับ จึงประเมินว่า เจี่ยงเซียนอาจเดินทางมาที่นี่ ด้วยมีบางสิ่งต้องทำ ซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับนาง สิ่งนี้จึงทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์โล่งใจได้เปลาะหนึ่ง
หลังจากนั้น นางก็ระมัดระวังตัว และคิดว่าจะไม่ออกจากเรือนพักใหญ่จึงเลือกซื้อวัตถุดิบหลายชนิดเพื่อใช้ในการปักผ้า และทำอาหาร เมื่อได้ของครบ คราวนี้นางใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพื่อกลับเรือน ด้วยไม่อยากให้เป็นที่สนใจของผู้อื่น จึงเลือกนั่งรถม้ากับการเดินเท้า เส้นทางที่นางใช้ผ่านตรอกเล็กๆ ลัดเลาะมาเรื่อย พยายามไม่ให้เป็นที่สะดุดตาใคร
ทว่าสุดท้ายเมื่อเปิดประตูบ้านเข้าไป และวางของเรียบร้อย โดยไม่ทันไปดูอาการคนตัวโตที่ห้องเก็บฟืน เสียงร้องเรียกที่หน้ารั้ว ก็ทำให้อวี้เพ่ยเอ๋อร์ตกใจ
“ฮูหยินหม้าย มีคนมาตามหาเจ้า”
เสียงของป้าที่อยู่เรือนห่างออกไปร้องดัง พร้อมเคาะประตูรั้วไปด้วย อวี้เพ่ยเอ๋อร์ เหงื่อเย็นชื้นเต็มแผ่นหลัง นางไม่อยากออกไป แต่พอแง้มหน้าต่างดู ก็เห็นว่า คนที่มาคือเจี่ยงเซียน พร้อมสตรีที่สวมหมวกตาข่าย
อวี้เพ่ยเอ๋อร์หรือจะมีเวลา ได้เตรียมสิ่งใด เพราะจู่ๆ เจี่ยเซียนก็สั่งคนปีนรั้วดิน ให้เปิดประตูด้านหน้า นิสัยอันธพาลเช่นนั้น แจ้งชัดว่าเขาเป็นพวกที่ชอบใช้กำลัง
“พี่สะใภ้”
เสียงอีกฝ่ายดังโหวกเหวก ก่อนบุกเข้ามาถึงประตูด้านใน ยามนั้นอวี้เพ่ยเอ๋อร์ จำต้องแสดงตน หาไม่แล้วเจี่ยงเซียนคงพังเข้ามาเป็นแน่
“โอ้ มีสิ่งใดหรือ”
อวี้เพ่ยเอ๋อร์ร้องทักทาย
ดวงตาเรียวของเจี่ยงเซียนมองสำรวจพี่สะใภ้สาวสุดสวย ไม่ได้เจอกันพักใหญ่ นางยังงดงามไม่เปลี่ยน
“ข้ามาเป็นตัวแทนของท่านแม่ ที่ตอนนี้นอนป่วยไม่อาจเดินเหินสะดวก อีกทั้งพูด หรือสื่อสารใดๆ ไม่ได้”
สำหรับไท่ฮูหยินนั้น อวี้เพ่ยเอ๋อร์ย่อมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ฝ่ายนางแต่งเข้าสกุลเจี่ยง และคืนเข้าหออยู่อย่างโดดเดี่ยว ด้วยเจ้าบ่าวติดภารกิจสำคัญ กระทั่งสิบวันต่อมา นางต้องย้ายมาอยู่ข้างนอก ด้วยเป็นความประสงค์ของบ้านสามี ซึ่งในเวลาต่อมา นางทราบข่าวว่าเขาเสียชีวิตแล้ว จึงได้รับแต่ป้ายวิญญาณมาตั้งไว้ในเรือนหลังนี้