บทที่ 6 ปีนเกลียว

1912 คำ
บทที่ 6 ปีนเกลียว     “แล้วท่านอ๋องคิดว่ายังไงดี” เสนาบดีกรมพระคลังฝ่ายซ้ายพูดขึ้น   “อันดับแรก ข้าจะไปที่ เมืองฝาย เพราะที่นั่น ติดกับเขาอสูร และที่สำคัญ ถูกฝนกรด ข้าจะไปแก้ไข และจะไปที่วังอสูรด้วยเช่นกัน” อ๋องโม่หรานพูด เหล่าอำมาตย์ต่างพยักหน้า และบางคนดีใจ ที่ไม่ต้องออกหน้าไปจัดการอสูรเหล่านั้น   “อ๋องสี่จำเป็นต้องไปเองเหรอ” มังกรตรัสถาม อ๋องมองหน้าอนุชา แล้วก็พยักหน้า   “ข้าจะต้องไปเอง เพราะการที่หวังพึ่งเหล่าอำมาตย์ของ เซี่ย ไม่น่าจะรอด” จัดไปหนึ่งดอกเหล่าเสนาธิการและทหารทั้งหลาย ต่างก็หน้าม้านไปตาม ๆ กัน  โอรสสวรรค์พอพระทัยเป็นที่สุด เพราะพระเชษฐากล่าวออกมา บางทีพระองค์ก็อยากทำอะไร แบบที่พระเชษฐาพูดเหมือนกัน แต่เพราะบัลลังก็ทองค้ำไว้อยู่ จึงไม่อาจกระทำได้   “ตามใจท่าน” ตรัสออกมา กำลังจะไปเรื่องอื่น ผู้เป็นพระเชษฐาก็พูดขึ้น   “ท่านอำมาตย์เสวี่ยน ท่านเสนาธิการยานพาหนะโจ   ท่านรองแม่ทัพอวี้ ท่านอำมาตย์เหม่ย ข้ามีบางอย่างจะบอกพวกท่าน” ลูกเขยเกริ่นออกมา ทำให้ทุกคนต่างหูผึ่ง   “เนื่องด้วยบุตรของพวกท่าน ได้กระทำย่ำยีและทารุณอนุเฟยของข้า จนร่างกายบอบช้ำอย่างหนัก มาเป็นเวลาสองปี เมื่อข้าได้รู้ความจริง ข้าได้ตัดสินใจปลดพวกนางออกจากการเป็นพระชายา” หยุดพูดไป แต่บิดาของเหล่าพระชายาต่างเอะอะเสียงดัง   “ท่านทำแบบนี้ได้ยังไงท่านอ๋อง ลูกสาวของข้า เซี่ยเป็นผู้ประทานให้” ท่านอำมาตย์พูดด้วยความไม่พอใจ “ถูกแล้ว แค่อนุเพียงผู้เดียวท่านถึงกับทำกับบุตรของข้าแบบนี้” รองแม่ทัพโจพูด   “อ้อ ลูกของพวกท่านเป็นคน แต่อนุของข้าไม่ใช่คนงั้นเหรอ แล้วอีกอย่างอนุเฟยก็เป็นบุตรของท่านใช่หรือไม่ท่านอำมาตย์เสวี่ยน แล้วทำไม ท่านถึงไม่รัก ผู้ที่มีเลือดของท่าน ทำไมท่านรักแค่เสวี่ยนซ่านเพียงคนเดียว” ท่านอ๋องถามขึ้นด้วยแววตานิ่งและเย็นเฉียบ ท่านอำมาตย์และทุก คนไม่อาจให้คำตอบได้   “เพียงคำว่า ลูกอนุ พวกท่านทั้งหลายที่มียศ กลับไม่เอา ไม่ต้องการ และไม่รัก ทั้งที่เลือดในกายของเขาก็เป็นลูกของพวกท่าน และอีกอย่าง ลูกของพวกท่านจะตบตีและเข่นฆ่าคนอื่นได้ แต่พอเขาฆ่าคืน กลับไม่ได้งั้นเหรอ นี่พวกท่านยังเป็นคนอยู่ไหม” แรงชัดจัดเต็ม ขุนนางทุกคนต่างอึ้งกันถ้วนหน้า   “ลูกของพวกท่าน มีชีวิตจิตใจ ทานข้าวเป็น และต่างมีความสุข ที่มีข้าทาสบริวารปรนนิบัติ แล้วอนุของข้า มีใครปรนนิบัติบ้าง การที่ลูก ๆ ของพวกท่านตบตี เฆี่ยน กระทืบ รวมทั้งจัดกดน้ำ นี่คือคนใช่ไหม ที่ทำ ข้านึกว่าเป็นสัตว์นรกมาเกิด” จัดให้เต็ม ๆ   “ท่านอ๋อง” เสียงของบิดาอดีตพระชายาพูดขึ้น   “ท่านจะกล่าวแบบไหนกัน หรือพวกท่านสั่งสอนบุตรให้มีนิสัยสันดานแบบนี้ ถึงได้คิดฆ่าใครก็ได้ เพียงเพราะไม่ถูกใจ หรือเกลียด อย่างนั้นเหรอ พวกเขาไม่ใช่คน แต่บุตรของพวกท่านเป็นคนได้ ใชไหม” ยิ่งพูด อ๋องโม่หรานยิ่งไม่พอใจ เห็นชีวิตของคนที่ด้อยกว่าไม่มีค่าแบบนี้ เป็นเพราะถูกบิดามารดาปลูกฝังมาแบบนี้นี่เอง   “งั้นก็เหมาะสมแล้ว ที่ข้าให้แยกร่าง” จบคำของอ่องสี่ ทุกสิ่งต่างเงียบงัน ก่อนที่บิดาของเหล่าอดีตพระชายาจะเบิกตาโพลงขึ้น   “ท่านว่าอะไรนะ ท่านอ๋อง” ท่านอำมาตย์เสวี่ยนถามพร้อมกับท่านรองแท่ทัพอวี้ “ข้าบอกว่า มันสมควรแล้ว ที่ข้าแยกร่างบุตรของพวกท่าน เพราะแนวคิดแบบชั่วร้ายที่พวกท่านสั่งสอนกันมานี่เอง”   “ท่านฆ่าลูกของข้า” ท่านรองแม่ทัพเหม่ย พูดขึ้น   “ถูกแล้ว ข้าฆ่าพระชายาเอง จะได้รู้ไง ว่า การที่ถูกคนอื่น ๆ ฆ่า ก่อนตายจะมีความรู้สึกอย่างไง” อ๋องสี่พูดเน้น ๆ   “ท่าน ใจร้ายกับลูกของข้าแบบนี้ได้ยังไง” เสนาธิการยานพาหนะโจ พูดขึ้น   “ทำไมข้าจะทำไม่ได้ ในเมื่อบุตรของพวกท่าน เป็นคนทำกับคนอื่นก่อน ทีนี้ พวกท่านจงรับในความเสียใจไปตลอดชีวิตก็แล้วกัน เพราะการสั่งสอนของพวกท่าน มันทำให้เหล่าพระชายา มีจุดจบแบบนี้เอง” บอกอย่างไม่ยี่หระ และหันไปหา เซี่ย “ข้าต้องกลับพระตำหนัก เพราะข้ามีนัดกับอนุเฟย จะพานางไปเที่ยวที่ตลาด อ้อ ถ้าพวกท่านกำแหงมากไปกว่านี้ ทุกตำแหน่ง แม้แต่พลังยุทธ์ ข้าจะริบคืน กลับไปไตร่ตรองด้วยล่ะพวกท่าน” อ๋องโม่หรานเดินออกไปจากท้องพระโรง   ทำให้บิดาของอดีตพระชายาทั้งสี่ ต่างก็มองตามด้วยความคับแค้นใจ ภายในท้องพระโรง ต่างก็เงียบกริบ เมื่อเจอแบบนี้เข้า    จะต้องคิดหาวิธีเพื่อที่จะเอาคืนอ๋องสี่โม่หรานให้จนได้ ความแค้นใจของผู้ที่สูญเสียบุตรอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันกลับ มันกำลังจะก่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น ต่อจากนี้     เซี่ย ทอดพระเนตรตามหลังพระเชษฐา แล้วก็ต้องยกพระปรางขึ้น พระองค์อยากเด็ดเดี่ยวแบบนี้บ้าง ถ้าทำได้ พวกขุนนางทั้งหลาย คงไม่กล้าวุ่นวายกับพระองค์เป็นแน่   “มาประชุมกันต่อ องครักษ์ เนี่ย” เรียกหาองครักษ์ประจำวรกาย “ขอรับ” เนี่ยจวินค้อมกาย “…” ตรัสเบา ๆ เนี่ยจวินก็พยักหน้า แล้วรีบไปทันที ต่อจากนั้นก็ประชุมกันต่อไป ท่ามกลางความเดือดเป็นไฟของบิดาอดีตพระชายาอ๋องโม่หราน   ร่างกายสูงใหญ่ กำลังจะขึ้นหลังม้า เนี่ยจวินก็โผทะยานมา แล้วรีบคาราวะ “คาราวะท่านอ๋องสี่” “เจ้ามีอะไร เนี่ยจวิน” โม่หรานถามขึ้น มือใหญ่ก็ลูบที่แผงคอของมู่กวาอย่างนุ่มนวล “เซี่ย ตรัสว่า อยากจะไปเที่ยวตลาดด้วยขอรับ” เนี่ยจวิน องครักษ์ของ เซี่ย เอ่ยตามที่ได้รับคำสั่งมา “หือ เซี่ย อยากไปตลาดด้วยงั้นเหรอนี่” “ครับ” “อืม งั้นข้าระรออยู่ที่พระตำหนักของข้าก็แล้วกัน” บอกไป “ขอรับ” เนี่ยจวิน คาราวะแล้วรีบไปที่ท้องพระโรง เพื่อป้องกันภัยให้ เซี่ย อ๋องสี่มองตาม ก่อนจะขึ้นม้า แล้วควบกลับพระตำหนักของตน โดยที่ตามหลังอยู่ก็คือโอวหยู และเว่ยเทียน     ที่ตำหนักของจินลู่   “พวกเจ้า จะขัดอะไรข้านักหนานะ เปื่อยหมดแล้วเนี่ย” เฟยจูบ่น เพราะตอนนี้นางกำนัลแฝดช่วยกันขัดผิดของนางจนซีด น่าจะแช่น้ำนานด้วยแหละ “โธ่อนุเฟยเจ้าคะ โชคดีแค่ไหนคะที่อ๋องสี่จะพาไปตลาด เพราะตั้งแต่ข้ามาอยู่กับท่าน ข้าก็ไม่เคยเห็นว่า ท่านอ๋องจะพาอนุหรือพระชายาคนไหนไป” หนิงเจียวพูดขึ้น   “ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หนิงเอ๋อหงึกหงักเห็นด้วย “นี่ข้าต้องดีใจใช่ไหมนี่” หญิงสาวกรอกตาอย่างระอา “เจ้าค่ะ” ประสานเสียงกัน เฟยจูได้แต่ส่ายหัว ‘ตามใจเลย อยากทำอะไรทำ ข้าจะไม่ยุ่ง’   เมื่ออาบน้ำขัดผิวเสร็จ ก็ได้เวลาแต่งองค์ทรงเครื่อง ชุดที่ใส่ เป็นสีฟ้าอ่อน ขลิบทอง ลายนกยูง อยู่ที่มิตินี้ ก็มีนกยูงเหมือนโลกของเธอเหมือนกัน จินลู่ชอบใจที่สุด อีกอย่าง เธอชอบชุดแบบนี้เข้าแล้ว แม้มันจะใส่ยากก็เหอะ แต่โปร่งสบายดี และสวยงามเป็นอย่างมาก   อดีตนายทหารหญิงยิ้มชอบใจ แล้วก็ต้องยิ้มค้าง เพราะจิตสัมผัสของเธอบอกว่า ท่านอ๋อง กำลังมองอยู่ จินลู่ก็เงยหน้าขึ้น ก็จ๊ะเอ๋เข้ากับดวงตาคมของโม่หราน   อ๋องสี่ชะงักเท้า ที่กำลังก้าวเข้าห้องอนุ เพราะสายตาดันไปจับภาพของเฟยจู ที่กำลังเชยชมกระโปรงสีฟ้า แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหมือนไม่เคยได้ใส่ชุดแบบนี้มาก่อน   รอยยิ้มของอนุเฟย ช่างสว่างสดใสและมีเสน่ห์น่าลุ่มหลง จนหัวใจของโม่หรานเต้นแรง จึงชะงักงันอยู่กับที่ พลันอนุคนงามก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วก็สบตากัน ราวกับว่ามีไฟที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น เพราะมันทำให้โคนตัวโตถึงกับได้ยินเสียงเปรี๊ยะ อยู่ในร่างกายกันเลยทีเดียว “อุ้ย ท่านอ๋อง” นางกำนัลแฝดรีบทำความเคารพอย่างรวดเร็ว “อนุเฟย เรียบร้อยดีแล้วใช่ไหม” ถามด้วยเสียงที่แปลกออกไป สายตาจับจ้องอยู่ที่เฟยจู “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” ตอบพร้อมกัน “ถ้างั้น เจ้าไปเดินชมสวนกับข้าไหม อนุเฟย” เสียงยังคงแปร่งปร่า “หือ... ไปก็ได้เจ้าค่ะ” จินลู่ในร่างของเฟยจูพูด ก่อนจะเดินเข้าไปหาอ๋องโม่หราน “เราจะไปตลาดตอนไหนเจ้าคะ” ถามขึ้น เมื่อหยุดอยู่ตรงหน้าของอ๋องสี่ พลางจ้องหน้ากันนิ่ง ๆ “รอ เซี่ย ก่อน” อ๋องสี่บอก พลางจับแขนอนุของตนเดินไป แม้ไฟจะเปรี๊ยะๆ ก็ตาม เฟยจูก็สงสัย นี่ร่างกายของเธอเป็นอะไรกัน ทำไมถึงมีไฟออกมาแบบนี้ หัวใจก็เต้นแรง จนจะกระเด็นออกมาข้างนอก   อ้อ ลืม เธอลืมไป ว่าอนุเฟยจูคนนี้ เคยรักท่านอ๋อง คงเพราะอ๋องโม่หรานเคยช่วยและรับเป็นอนุ เลยฝากความรักและความหวังเอาไว้ ที่ผู้ชายเมียเยอะนี่เอง คิดแล้วก็เซ็ง คนที่มีเมียเยอะแบบนี้ เขาจะรักใคร มันแทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะทุกอย่าง มันเป็นเพราะอำนาจทั้งนั้น ที่จะแต่งงานอยู่ด้วยกัน   สายตาของอ๋องสี่ จับจ้องดูคนข้างกายตลอดเวลา เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของอนุคนงาม ที่ดูมีชีวิตชีวา และมีเสน่ห์ล้นเหลือ แล้วถ้าออกนอกตำหนัก จะมีใครเมียงมองและสนใจอนุของตนหรือเปล่านะ   อ๋องโม่หรานชักจะไม่อยากให้อนุคนงามไปตลาดแล้วสิ หญิงสาวชะงักกึก เมื่อได้ยินความคิดของสามี เอ๊ย ไม่ใช่สามีของเธอ แต่เป็นของเฟยจูต่างหาก   คนบ้านี่ ชอบคิดเองเออเอง แล้วจะมาเกิดหวงของอะไรตอนนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้น ไม่มีแม้แต่จะมามอง จนเกิดเรื่องให้เฟยจูน้องตาย คิดแล้วก็ขุ่นเคืองในใจ เบื่อ คนมีเมียเยอะจริง ๆ   โม่หรานมองอนุของตนอย่างไม่มีการว่าเบื่อ ความรู้สึกมันอ่อน ไหววูบวาบไปตามร่าง ยิ่งมองยิ่งเห็นความน่ารักน่าใคร่ของเจ้าร่างบางคนนี้ หัวใจแกร่งของอ๋องสี่ ก็เต้นรัวเร็ว หนักขึ้นเรื่อย ๆ คนที่ได้ยิน ก็พลันหน้าแดง ไม่คิดว่าการที่ได้ยินความคิดในทางชู้สาวแบบนี้ เธอจะเขินได้ แต่เดิมที่เธอรับราชการทหาร แทบไม่มีผู้ชายคนไหนเข้ามาข้องแวะ ทั้งที่เธอเองก็สวยคนหนึ่ง    แต่เพราะเก่งและจริงจัง ทำให้เหล่าผู้ชายต่างขยาด คงกลัวว่าเธอจะไปเตะก้านคอเอาหล่ะมั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม