ตอนที่ 10 หนูอยู่กับพี่เสมอ

1514 คำ
ความไม่คาดหวังกับอะไรทำให้เจ้าตัวไม่ต้องเจ็บปวดกับความผิดหวัง...เรื่องนี้เป็นสิ่งที่เด็กอย่างเธอเรียนรู้เพื่อจะมีชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนแสนใจร้าย ทว่านับตั้งแต่วันนั้นมาความเป็นอยู่ของทุกคนก็เริ่มดีขึ้น มีข้าวกินครบสามมื้อ ไม่ต้องทนกับความหนาวจากผ้าห่มไม่พอใช้หรือไฟฟ้าที่ไม่ค่อยจะติด แรงสนับสนุนเริ่มเข้ามาไม่ขาด จนวันหนึ่งหวังอันฉีได้รับคัดเลือกให้เป็นนักกีฬาเยาวชนที่อายุน้อยที่สุด วันนั้นเข่อซิงได้รับการรักษาเป็นครั้งแรก ความหวังที่หยิบยื่นมาให้หอมหวานและเย้ายวนทำให้ไฟชีวิตซึ่งดับมอดไปนานปะทุขึ้นมาอีกครั้ง พี่เป็นคนที่ต่อไฟชีวิตให้ฉัน ทำให้โลกที่เคยเหน็บหนาวมาตลอดอบอุ่นขึ้นมา.... “หนูรู้สึกขอบคุณมากจริงๆ ค่ะ ทั้งหมดที่ได้รับจากพี่ฝ่ายเดียวมาตลอดหลายปีหนูก็ตอบแทนได้ไม่หมดแล้ว” “มันบ้ามากเลยที่ได้คุยกับเธอตอนนี้ทั้งที่ร่างกายตนเองก็ยังนั่งอยู่ข้างหน้า เมื่อกี้ฉันฝันไปว่าได้เป็นนางเอกในนิยายที่เธอเขียนด้วย ฮะๆ” แม้จะพูดแบบนั้นแต่การได้จ้องมองร่างกายหน้าหลุมศพของนางสาวซึ่งจากไปไม่มีวันกลับ อันฉีก็เริ่มรับรู้ได้ว่าตนคงละทิ้งกายหยาบมาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรเสียใจไปก็ไร้ค่าอย่างน้อยตอนนี้เธอก็มีน้องสาวอยู่เคียงข้าง “ตอนนี้ต่างหากที่เป็นความฝัน” เข่อซิงเฉลย “เอ๊ะ?” “หนูอยากให้พี่เห็นเรื่องราวหลังจากนี้ค่ะ ภายภาคหน้าคงไม่เป็นสุขหากมัวห่วงหน้าพะวงหลัง ดังนั้นบ่วงชีวิตนี้พี่ต้องเป็นคนตัดมัน” เด็กสาวมองไปยังฝั่งตรงข้ามกับตนเองทำให้อันฉีหันไปมองตาม โค้ชของเธอวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมกันนั้นร่างกายขาวซีดที่นั่งอยู่หน้าหลุมศพก็ล้มลง เส้นเลือดสีม่วงคล้ำขึ้นเต็มใบหน้าของนักกีฬาสาวจนดูน่ากลัว ชายหนุ่มตกใจไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรก่อนดี เขาอุ้มร่างของเธอไปพร้อมตะโกนขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าไม่มีใครตอบกลับ สถานที่แห่งนี้มีแต่คนตายทั้งนั้น คนเป็นคงจะมีเพียงผู้มาเยือนทั้งสอง ไม่สิ.... ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่โค้ชหนุ่มคนเดียวแล้ว เหตุการณ์ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็วทุกสถานที่ที่ร่างกายของเธอไป วิญญาณของเธอก็ตามติดไปด้วยแต่ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเสียงสะอื้นของเจ้าตัวเลย ร่างเย็นชืดของหวังอันฉีถูกวางลงบนเตียงเพื่อรอการอนุมัติจากกรมตำรวจให้ตรวจสอบถึงสาเหตุการตาย พวกเขาสรุปได้ว่าเกิดจากยาพิษทั้งที่อาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดของเธอถูกนำมาจากสมาคมทั้งนั้น แม้ในวันที่เธอจากโลกนี้ไปแล้วคนรอบตัวต่างไม่มีใครพูดเรื่องสาเหตุการตายของอันฉีหรือเศร้าโศกเลย มีเพียงเรื่องของธุรกิจเท่านั้นที่เป็นประเด็น “เราเสียทรัพย์สินของชาติไปตั้งเท่าไหร่ ใครช่วยคำนวณให้ผมที ผมต้องการตัวเลข!!” “เรื่องนี้ประกาศออกไปไม่ได้ตลาดกำลังเติบโต ไหนจะผู้สนับสนุนที่เข้ามาอีก จะจัดการยังไง!” เด็กสาวคนหนึ่งเดินฝ่ากลุ่มผู้บริหารที่กำลังถกเถียงถึงความเสียหายที่ด้านนอกเข้ามา เสี่ยวจิ่ววางตุ๊กตารูปหม่าซือเมี่ยวข้างๆ ร่างไร้วิญญาณของหวังอันฉี ไม่กี่ชั่วโมงก่อนพวกเขายังร่วมยินดีกับความสำเร็จของรุ่นพี่อยู่เลยมาเวลานี้กลับต้องมาจากลากันตลอดกาล “วันนี้พี่ประสบความสำเร็จมากแล้วค่ะ ไม่ใช่แค่ระดับประเทศพี่ไปไกลถึงจุดสูงสุดของนักกีฬาเยาวชน ทุกคนจะจำพี่ที่เก่งกาจเอาไว้ไม่ลืม” เสี่ยวจิ่วกล่าวออกมาทั้งน้ำตา ตั้งแต่เข้ามาเป็นคนของสมาคมพวกเธอก็สนิทกันมากที่สุด ต่างคนต่างมาจากบ้านที่ไม่ต้องการเหมือนกัน มีชีวิตคล้ายกันมากจนทำให้เข้าใจกันได้ไม่ยาก “…” เสี่ยวจิ่วเดินมากุมมือของอันฉีไว้อย่างไม่รังเกียจแม้อีกฝ่ายจะเป็นร่างเย็นไร้ลมหายใจแล้วก็ตาม “ฉันอายุ 16 ปีแล้วค่ะ อีกสองปีคงไม่มีโอกาสได้เป็นนักกีฬาเยาวชนอีกหากพี่ยังอยู่ เพราะพี่เก่งจนฉันไม่สามารถนึกถึงช่วงเวลาที่ตนเองจะก้าวข้ามพี่ไปได้ ฉันถึงต้องเลือกวิธีนี้” มือเล็กซึ่งเต็มไปด้วยบาดแผลจากการฝึกฝนปาดน้ำตาก่อนจะเผยใบหน้าเย็นชาที่อันฉีไม่รู้จักออกมา “ธะ เธอกำลังพูดอะไร...” ราวกับว่าคำถามนี้ส่งไปถึงเสี่ยวจิ่วไม่กี่อึดใจต่อมาเธอตอบมันด้วยใบหน้าที่ปราศจากความเสียใจ “พี่อภัยให้ฉันเถอะนะคะ ฉันเลือกยาที่ทำให้พี่ไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเดียวมาให้แล้ว พี่จะรู้สึกชาทั่วร่างก่อนหลับลึกจนไม่ตื่นอีกตลอดกาล ฉันกะปริมาณไม่ถูกแต่เพื่อให้มั่นใจได้ว่าพี่จะไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลยใส่เยอะไปหน่อยพี่ถึงได้มีสภาพแบบนี้” คนเยี่ยมเปิดผ้าขาวบางที่คลุมศพของอันฉีออกเผยให้เห็นใบหน้าม่วงคล้ำไม่น่าดูแล้วปิดมันลง อีกไม่นานหลังจากได้คำอนุมัติพวกเขาก็จะแยกส่วนร่างกายเธอเพื่อหาสาเหตุของการตาย ถ้าผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ก็คงไม่มีสิ่งใดต้องกังวลอีก “หลังจากนี้ชีวิตที่ขโมยไปจากพี่ ฉันสาบานว่าจะใช้มันทุกนาทีให้คุ้มค่าค่ะ” เสี่ยวจิ่วพูดทิ้งไว้เท่านั้นก่อนเดินออกจากห้องไปทันที ห้องเย็นนั้นเงียบสนิทเพราะไม่มีแม้แต่ลมหายใจของผู้ใด ทว่าเวลานี้อันฉีกำลังร้องไห้เสียใจอย่างแสนสาหัสกับสิ่งที่เธอต้องเจอ เสียงสะอื้นและหยาดน้ำตานี้คงมีเพียงเข่อซิงเท่านั้นที่รับรู้ เด็กสาวกอดพี่สาวเอาไว้แน่น น่าแปลกที่พวกเธอจับต้องอะไรไม่ได้ด้วยร่างกายโปร่งแสงนี้ แต่หากเป็นร่างกายที่เหมือนกันแล้วกลับสัมผัสกันได้เหมือนร่างมนุษย์ทั่วไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไร้เหตุผลแต่จุดนี้หวังอันฉีก็ไม่สนใจจะตั้งคำถามอีกต่อไป “ใครมันจะทนได้กันที่เห็นครอบครัวเพียงคนเดียวมาตายต่อหน้า ดังนั้นพี่คะ...แม้จะเป็นแค่โลกในนิยาย หนูก็อยากให้พี่ได้มีความสุข ชีวิตหลังจากนี้ช่วยใช้มันเพื่อตัวเองและมีความสุขมากๆ นะคะ หนูจะเป็น ‘เป่ยจี๋ซิง (ดาวเหนือ) ’ ที่นำทางให้พี่ตลอดไปค่ะ!” “เข่อซิง นั่นเธอจะไปไหน…” อันฉีถามเมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างคนทั้งสองค่อยๆ มากขึ้นทุกที “หนูไม่ได้ไปไหนค่ะ หนูอยู่กับพี่เสมอ ทั้งในหัวใจที่กำลังเต้นอยู่แล้วก็ในความทรงจำด้วย” เด็กสาวยังคงยิ้มอย่างสดใส แต่ไม่รู้ทำไมอันฉีรู้สึกว่ามันเหมือนกับรอยยิ้มบอกลา “เดี๋ยวสิอย่าทิ้งพี่นะ ฮึก” ร่างกายที่เคยเบาโหวงหนักขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่หญิงสาวจะสะดุ้งตื่นท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายชาจนปวดหนึบไปหมดแต่สัมผัสนุ่มของเตียงที่ตนนอนอยู่ให้ความรู้สึกดีกว่าแผ่นไม้ในโลงศพหลายขุม ‘ที่ไหนอีกเนี่ย?’ เพดานห้องนี้ต่างกับฝาโลงและตำหนักเทพของซือเมี่ยวอย่างสิ้นเชิงเพียงแต่ความรู้สึกนี้เหมือนกับตอนที่ตื่นมาอีกครั้งไม่มีผิด ร่างกายนี้ยังคงเป็นของเทพพยากรณ์นางนั้น ถ้าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงแสดงว่า ‘หวังอันฉี’ ตายไปแล้วและตอนนี้กลายมาเป็นหม่าซือเมี่ยวที่มีชีวิตอยู่ในโลกของนิยายแทน เรื่องทั้งหมดคงไม่ใช่สิ่งที่นางคิดไปเองแต่อย่างใดเพราะมันแจ่มชัดเกินกว่าจะเป็นเพียงความฝัน กระทั่งไออุ่นของสองมือที่กุมเอาไว้หญิงสาวก็สามารถสัมผัสได้ “จากนี้พี่จะมีชีวิตอยู่ตามที่เธอบอกเอาไว้ได้รึเปล่านะ” คนงามพึมพำกับตนเองหลังจากทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดจนไม่ได้สังเกตรอบตัวให้ถี่ถ้วน เมื่อประสาทสัมผัสกลับเข้าร่างหญิงสาวพบว่าแขนข้างหนึ่งของนางนั้นหนักผิดปกติ ซือเมี่ยวลองขยับดูจึงรู้ว่าเตียงกว้างนี้ไม่ได้มีนางเพียงลำพัง… “…” ผ้าแพรผืนใหญ่ค่อยๆ ถูกยกขึ้นด้วยมืออีกข้างที่ยังว่าง พยายามทำทุกอย่างให้เบามือที่สุดเท่าที่จะทำได้คงมีเพียงหัวใจเจ้ากรรมที่ดื้อรั้นส่งเสียงโครมครามไม่เกรงกลัวเลยว่าจะทำให้ใครบางคนตื่น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม