ข้าวเช้าของทุกคนในวันนี้แม่เฒ่าเมิ่งซูเจินลงมือทำน้ำแกงไก่กับไก่ผัดใส่ผักป่าที่ซูอี้เก็บมาในช่วงเช้ามืด
ลี่จูมองอาหารตรงหน้าที่ดูธรรมดาแต่กลับทำให้ทุกคนในบ้านยิ้มกว้างได้อย่างมีความสุข
ตอนนี้เธอถือว่าทุกคนที่นี่เป็นครอบครัวของเธอ ไม่ว่าจะยากดีมีจนเธอก็ไม่มีวันทิ้งทุกคนให้ลำบากแน่นอน
"ทำไมคุณไม่กินข้าวล่ะ อาหารไม่ถูกปากเหรอ?"
ซูอี้เห็นภรรยาหมาด ๆ ของตนเอาแต่นั่งมองทุกคนกินข้าวด้วยรอยยิ้มจึงเอ่ยถาม ต่างจากลูกสาวตัวน้อยของเขาที่ดูจะมีความสุขเป็นพิเศษ
"ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะพี่ แค่เห็นทุกคนกินหนูก็มีความสุขแล้ว"
ลี่จูตอบกลับพลางคีบเนื้อไก่ใส่ถ้วยข้าวต้มให้ลูกสาวตัวน้อยไปด้วย
"หยุด ๆ!! สามีภรรยาที่ไหนเค้าเรียกกันแบบนั้นอาอี้ ลูกต้องเรียกอาลี่จูให้ดูสนิทสนมกว่านี้สิลูก"
"..." "..." "..."
ผู้หญิงทั้งสามคนในบ้านต่างก็จ้องมองไปที่ซูอี้เป็นตาเดียว เพื่อรอดูว่าเจ้าตัวจะทำอย่างไรต่อเมื่อถูกผู้เป็นบิดาทักท้วง
"กินเยอะ ๆ ครับคุณภรรยา"
"..."
ซูอี้ลงมือคีบเนื้อไก่มาใส่ถ้วยข้าวให้ลี่จูแทนคำตอบที่ทุกคนต้องการ เขาสังเกตเห็นใบหน้าของหญิงสาวเกิดสีแดงเรื่อก็อดคันยุกยิกในใจไม่ได้
"ขอบคุณค่ะ สามี"
สามี แค่ลี่จูพูดเบา ๆ กลับทำให้ก้อนเนื้อในอกซ้ายของเมิ่งซูอี้เต้นรัวเร็วกว่าปกติ คนที่โดนรุกหนักไม่ตอบกลับเอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารในถ้วยของตนเอง ดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้จะทำให้ทุกคนอิ่มเอมกว่าทุกวัน
"ลี่จู เห็นว่าหนูมีเรื่องอยากพูดกับทุกคนใช่ไหมจ๊ะ?"
แม่เฒ่าเมิ่งซูเจินเอ่ยถามสะใภ้ในระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันอยู่
"ใช่ค่ะคุณแม่ ตามที่จริงแล้วก่อนจะถูกส่งตัวมาที่นี่หนูได้มีโอกาสเข้าไปหางานในเมืองเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มงานก็เกิดเรื่องซะก่อนค่ะ หนูเลยอยากจะขอเข้าไปเมืองไปถามดูอีกครั้งว่าเค้ายังรับคนงานไหม? แล้วก็มีอีกเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านหลักด้วยค่ะ"
ลี่จูมองหน้าพ่อเฒ่าเมิ่งฉือก่อนจะพูดเบา ๆ เพื่อหยั่งเชิงพ่อเฒ่า ด้วยเกรงว่าพ่อของสามีผู้ที่ยอมก้มหัวให้กับบ้านหลักเป็นอาจินจะไม่พอใจในความคิดของเธอ
"พูดต่อเถอะ สุดท้ายอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราตอบแทนและกตัญญูมามากพอแล้ว"
เมิ่งซูอี้รู้ว่าภรรยาของตนกำลังกังวลเรื่องบิดาจึงเอ่ยเสริม ในเมื่อลี่จูเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว เขาย่อมต้องปกป้องเธอให้ดีเช่นกัน ขอเพียงอย่างเดียวคืออย่าทำร้ายหรือทำให้เมิ่งพู่พู่ต้องเจ็บปวดก็พอ
หากจะบอกว่าเขาเห็นแก่ตัวเมิ่งซูอี้ก็ไม่ปฏิเสธ ในช่วงเวลาไม่นานที่เขาได้เห็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของลูกสาวที่เกิดขึ้นเพราะลี่จู เขาอยากเก็บรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของหนูน้อยเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ซูอี้ยอมรับลี่จูเข้ามาเป็นคนในครอบครัว
"พูดมาเถอะลูกสะใภ้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก"
เมื่อเห็นว่าพ่อเฒ่าเมิ่งฉือและทุกคนเปิดทางให้เช่นนี้ ลี่จูจึงเข้าเรื่องทันที
"หนูอยากทำสัญญาหนี้สินให้เป็นลายลักษณ์อักษรค่ะ ป้องกันไว้ก่อนย่อมดีกว่า หากวันหน้าคนบ้านนั้นเกิดคิดไม่ซื่อเราจะได้มีหลักฐาน"
"ผมว่าเราควรทำตามที่ลี่จูบอกนะครับพ่อ เรื่องความกตัญญูก็ส่วนนึง แต่เรื่องหนี้สินของลี่จูควรมีสัญญาให้ชัดเจนจะดีที่สุด อีกอย่างถ้าเป็นไปได้ เรื่องเงินเดือนที่เราต้องส่งให้บ้านหลักก็ควรระบุเอาไว้เป็นจำนวนเงินที่ชัดเจนด้วยนะครับ"
พ่อเฒ่าเมิ่งฉือมีสีหน้าเคร่งขรึม แม้กำลังกินข้าวอยู่แต่สีหน้าและแววตาก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าท่านค่อนข้างจะคิดหนักเมื่อต้องตัดสินใจเรื่องนี้ ท้ายที่สุดตะเกียบในมือผู้อาวุโสที่สุดในบ้านก็ถูกวางลงก่อนจะพูดกับลูกชายและลูกสะใภ้ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
"เอาตามที่พวกลูกว่าเถอะอาซูอี้อาลี่จู พ่อถือว่าตอบแทนบุญคุณบ้านหลักมาทั้งชีวิตแล้ว จากนี้ไปพ่อคงต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับลูกทั้งสองคนแล้วนะ"
ลึก ๆ แล้วพ่อเฒ่าเมิ่งฉือรู้สึกผิดกับลูกชายและภรรยาอยู่ไม่น้อย ตั้งแต่จำความได้พ่อเฒ่าเมิ่งฉือก็อยู่ใต้อาณัติของคนบ้านหลักมาตลอด รวมถึงการแต่งงานกับแม่เฒ่าเมิ่งซูเจินก็อยู่ภายใต้การจัดแจงของคนบ้านหลักด้วย
โชคดีที่แม่เฒ่าเมิ่งซูเจินเป็นภรรยาที่ดี เชื่อฟังและอยู่ใต้โอวาทของสามีมาโดยตลอด ผิดที่ตัวพ่อเฒ่าเมิ่งฉือเองที่อ่อนแอเกินไป จึงพลอยทำให้ลูกชายและภรรยาต้องลำบากไปด้วย แม้แต่กลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของภรรยา พ่อเฒ่าเมิ่งฉือก็ไม่เคยพาภรรยาไปสักครั้ง
"ครับพ่อ"
แปะ~ แปะ~ แปะ~
"ฝักด้วย ๆ ปู้ปู้ฝักด้วย"
เสียงของหนูน้อยเพียงคนเดียวในบ้านพูดขึ้นอย่างร่าเริงสดใส จนใบหน้าของทุกในบ้านต่างก็มีรอยยิ้มอิ่มเอมใจไปตาม ๆ กัน
หลังจากที่จบมื้ออาหาร พ่อเฒ่าเมิ่งฉือและเมิ่งซูอี้พร้อมกับลี่จูก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของผู้นำหมู่บ้านทันทีเพื่อปรึกษาถึงเรื่องการทำหนังสือสัญญาการชดใช้หนี้สิน
"คุณอาครับ มีใครอยู่บ้านไหมครับ ผมมีธุระอยากจะขอคำปรึกษาสักหน่อย"
เสียงของเมิ่งซูอี้ทำให้คนในบ้านที่กำลังตรวจเอกสารเพื่อเตรียมเดินทางเข้าไปในตัวเมืองต้องวางมือจากสิ่งต่าง ๆ แล้วรีบเดินออกมาหาผู้มาเยือนอย่างรวดเร็ว
"นั่นใครกัน อาซูอี้เรอะ อ้าวพี่ฉือก็มาด้วย เชิญ ๆ มีอะไรเข้ามาคุยกันในบ้านก่อนดีกว่า ไปยังไงมายังไงกันล่ะเนี่ย ผมไม่เจอพี่นานแล้วนะพี่ฉือ ลืมน้องลืมนุ้งแล้วรึยังไง?"
หวังต้าเซียน(ผู้นำหมู่บ้าน)เดินออกมาถึงประตูหน้าบ้านก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าพ่อเฒ่าเมิ่งฉือกับลูกชายมาหาตนเอง เมื่อครั้งกาลก่อนในตอนที่พวกเขายังเป็นเด็ก หวังต้าเซียนและพ่อเฒ่าเมิ่งฉือต่างก็เป็นเพื่อนเล่นและสหายร่วมชั้นเรียนกันมานานหลายปี แต่น่าเสียดายที่ชีวิตของพ่อเฒ่าเมิ่งฉือถูกคนบ้านหลักกดขี่จนไม่สามารถวาดฝันอนาคตของตนเองได้ ท้ายที่สุดพ่อเฒ่าเมิ่งฉือจึงกลายเป็นคนที่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา และทนให้บ้านหลักกดขี่อยู่เรื่อยมา กระทั่งถึงวันนี้ หวังต้าเซียนได้แต่คิดในใจว่าการมาของสองคนพ่อลูกบ้านรองสกุลเมิ่งในวันนี้คงมีเรื่องใหญ่พอสมควร ไม่เช่นนั้นคนที่ก้มหน้ายอมทนมาช้านานคงไม่ฮึดสู่เช่นวันนี้
"อย่าพูดแบบนั้นเลยท่านผู้นำ ครอบครัวผมค่อนข้างยากจน ผู้คนต่างก็รังเกียจ เพราะแบบนั้นผมถึงไม่อยากให้ท่านผู้นำต้องมาเป็นขี้ปากชาวบ้านไปด้วย"
พ่อเฒ่าเมิ่งฉือส่งยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยวาจาเจียมตน ด้วยว่าไม่อยากให้คนที่ดีกับตนต้องลำบากและพลอยถูกชาวบ้านรังเกียจไปด้วย เหตุก็เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ต่างก็กู้ยืมเงินจากบ้านหลักสกุลเมิ่ง หากใครไม่อยากเดือดร้อนก็ต้องไหลไปตามน้ำ ห้ามเอาเรือเข้ามาขวางเด็ดขาด
"พี่อย่าพูดแบบนั้น ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่าพี่เป็นคนที่จริงใจและดีกับผมมากที่สุด ถ้าไม่ติดว่าชาวบ้านเห็นผิดเป็นถูกเพราะความจำเป็น ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบนี้ ว่าแต่ที่มาวันนี้พี่มีอะไรอยากให้ผมช่วยรึเปล่า?"
ผู้นำหมู่บ้านได้แต่ปลงตกกับเรื่องราวที่ผ่านมาก่อนจะเอ่ยถามถึงธุระที่ทำให้พ่อเฒ่าเมิ่งฉือต้องมาหาตนเองในวันนี้ แม้ว่าเขาจะได้ยินข่าวลือหนาหูจากลูกบ้านมาบ้างแล้วว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นกับบ้านรองสกุลเมิ่ง สายตาของหวังต้าเซียนไม่วายที่จะชำเลืองมองไปยังทิศทางที่หญิงสาวที่คาดว่าจะเป็นคนในข่าวลือยืนอยู่อย่างพินิจ
"ผู้นำน่าจะพอได้ยินข่าวลือบ้างแล้ว ผมขอแนะนำให้รู้จักกับเจียงลี่จูลูกสะใภ้ของผม"
"สวัสดีค่ะท่านผู้นำ ฉันไม่รู้จักใครที่นี่เลย ถ้ามีอะไรที่ฉันทำไม่ถูกต้องฝากท่านผู้นำช่วยติเตือนด้วยนะคะ"
ลี่จูรีบทำความเคารพผู้นำหมู่บ้านอย่างนอบน้อม พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ตามมารยาทแต่กลับทำให้คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีรู้สึกคันยุกยิกในใจเหมือนว่าซูอี้เริ่มจะไม่ค่อยชอบใจเวลาที่เธอส่งยิ้มให้คนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัว
"เรียกฉันว่าอาเถอะแม่หนู พ่อสามีของของเธอก็เหมือนพี่ชายของอาอีกคนนึง ส่วนเรื่องคนในหมู่บ้านก็ไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดของพวกเค้ามาก หัวใจของคนที่นี่เริ่มบิดเบี้ยวเพื่อเอาตัวรอด เราแค่ยืนหยัดทำสิ่งที่ถูกต้องปกป้องดูแลคนในครอบครัวของเราให้ดีก็พอแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรให้ช่วยก็มาหาอาได้ตลอดเวลา"
"ขอบคุณค่ะคุณอาผู้นำ"
"อาครับ ที่มาวันนี้พวกเราอยากให้อาช่วยเขียนสัญญาขึ้นมาให้สักหนึ่งฉบับ เมื่อวานบ้านใหญ่พาตัวลี่จูมาที่บ้านและบอกว่าลี่จูเป็นหนี้บ้านใหญ่ 200 หยวน ให้ผ่อนจ่ายเดือนละ 20 หยวน แต่ที่พวกเราเป็นห่วงก็คือพวกเราไม่มีหนังสือสัญญา ผมเกรงว่าอนาคตอาจจะมีปัญหา ขนาดเรื่องเงินเดือนที่บ้านรองต้องส่งให้บ้านหลักเดือนละ 10 หยวน บางเดือนก็มารีดไถเอาเพิ่มจนพวกเราไม่เหลืออะไรเลย และอีกเรื่องที่ผมกังวลก็คือ อนาคตถ้าป้าของลี่จูสร้างหนี้ขึ้นอีกผมกลัวว่าลี่จูจะถูกกระทำเหมือนในครั้งนี้อีกครับ"
ซูอี้เล่าทุกอย่างให้ผู้นำหมู่บ้านฟังด้วยความละเหี่ยใจ ที่ผ่านมามีหลายครั้งที่เขาอยากจะโต้แย้งบ้านหลัก แต่ทุกครั้งก็ถูกผู้เป็นพ่อห้ามเอาไว้ตลอด ครั้งนี่มีเรื่องของลี่จูเข้ามาจึงถือเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้จัดการเสียคราวเดียว
"ได้สิอาซูอี้ เดี๋ยวอาจะร่างหนังสือสัญญามาให้อ่านคร่าว ๆ แต่อาว่าเราควรไปหาพยานที่บ้านหลักให้ความเกรงใจมาด้วยนะ ทางนั้นจะได้ไม่กล้าบิดพลิ้วอีกแล้วเราค่อยไปที่บ้านหลักพร้อมกัน"
ผู้นำหมู่บ้านเสนอแนวความคิดของตนเองหลังจากที่คิดอย่างรอบคอบแล้ว อย่างที่รู้กันว่าบ้านหลักสกุลเมิ่งมีแต่คนฉลาดแกมโกง หากไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคงหนีไม่พ้นต้องเสียเปรียบฝ่ายนั้นเป็นแน่ หลังจากพูดจบผู้นำหมู่บ้านจึงเดินเข้าไปหยิบกระดาษกับปากกาเพื่อนำออกมาร่างสัญญาให้ทุกคนได้อ่านก่อน
"อาซูอี้ ลูกลองไปเชิญปู่เล็กมาเป็นพยานให้เราดีไหม?"
พ่อเฒ่าเมิ่งฉือนึกขึ้นได้ว่าแซ่เมิ่งของตนยังเหลือปู่เล็กที่เป็นผู้อาวุโสอยู่อีกหนึ่งคน แม้ว่าท่านจะอยู่คนละหมู่บ้านแต่ก็ไม่ได้ไกลเกินที่จะไปขอความช่วยเหลือได้
"ได้ครับพ่อ หมู่บ้านที่ปู่เล็กอยู่เป็นทางผ่านเข้าไปในตัวเมือง ผมคิดว่าเราลองดูสัญญากับอาผู้นำเสร็จก่อนแล้วค่อยไปหาปู่เล็กทีเดียวเลยดีกว่าครับ ผมจะได้พาลี่จูไปดูทางลัดเข้าเมืองด้วย"
"เอาอย่างนั้นก็ได้ แล้วลี่จูเป็นยังไงบ้างลูก อาการป่วยไข้ดีขึ้นรึยัง มีแรงพอจะเดินลัดป่าเข้าเมืองไหม"
พูดกับลูกชายจบพ่อเฒ่าเมิ่งฉือก็หันไปถามไถ่อาการของลูกสะใภ้ด้วยความเป็นห่วง
"หนูดีขึ้นแล้วค่ะคุณพ่อ เสร็จธุระจากที่นี่ก็ไปได้เลยค่ะ"
ลี่จูตอบกลับพ่อสามีพร้อมกับลองนึกถึงภาพในตัวเมืองว่าจะเป็นอย่างที่เธอเคยเห็นผ่านตามอินเทอร์เน็ตในกาลเวลาที่เธอจากมาหรือไม่ เท่าที่เธอเดินผ่านบ้านหลังต่าง ๆ มาเมื่อครู่ก็เห็นได้ว่าไร่นาแห้งแล้ง ผู้คนอดอยาก ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ซูบผอมไร้เรี่ยวแรง ถึงจะเป็นนอกหมู่บ้านลี่จูก็คิดว่าสถานการณ์คงไม่ต่างกัน
"มาแล้ว ๆ ลองอ่านดูก่อนนะ ถ้าขาดเหลืออะไรจะได้เพิ่มเติมลงไป แต่ถึงตอนที่ร่างสัญญาตัวจริงเราคงต้องเขียนขึ้นต่อหน้าทุกคน"
ผู้นำหมู่บ้านกลับออกมาพร้อมกับหนังสือสัญญาหนี้สินที่ร่างคร่าว ๆ เพื่อนำมาให้ทุกคนได้อ่าน เนื้อหาในนั้นมีอยู่ว่า
ส่วนที่ 1
สัญญาฉบับนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานว่า เจียงลี่จู ลูกสะใภ้บ้านรองสกุลเมิ่ง ภรรยาของ เมิ่งซูอี้ มีหนี้สินคงค้างบ้านหลักสกุลเมิ่งเป็นจำนวน 200 หยวน เจียงลี่จูต้องชำระเงินให้กับบ้านหลักสกุลเมิ่ง เดือนละ 20 หยวน เป็นเวลา 10 เดือน จึงจะหมดสิ้นหนี้สินที่มีต่อกัน หลังจากหมดสิ้นพันธะต่อกันผู้เป็นเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมได้อีก แม้ว่าผู้เป็นป้าของลี่จูจะสร้างหนี้ขึ้นมาอีกก็ตาม บัดนี้เจียงลี่จูแต่งเข้าบ้านรองสกุลเมิ่งแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไปเมิ่งลี่จูถือเป็นคนของสกุลเมิ่งและเปลี่ยนมาใช้แซ่เมิ่งอย่างสมบูรณ์ จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเจียงอีก
หมายเหตุ หนี้สินผู้ใดเป็นคนก่อ ผู้นั้นย่อมต้องรับผิดชอบชดใช้ด้วยตนเอง หากนาง......สร้างหนี้ขึ้นอีก ต้องหาเงินมาจ่ายหนี้สินด้วยตนเอง ห้ามมาเรียกร้องความกตัญญูอะไรจากเมิ่งลี่จูอีก เพราะครั้งนี้ถือว่าเมิ่งลี่จูได้ตอบแทนด้วยการชดใช้หนี้สินแทนเป็นจำนวน 200 หยวนแล้ว
ส่วนที่ 2
สัญญาในส่วนนี้เขียนขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานว่า บ้านรองสกุลเมิ่งต้องส่งเงินเดือนเข้าบ้านหลักเดือนละ 10 หยวนทุกเดือน เพื่อแสดงความกตัญญู แต่หากบ้านรองมีความจำเป็นที่ต้องใช้เงิน บ้านหลักที่เป็นคนถือเงินกองกลางก็ต้องนำออกมาช่วยเหลือเกื้อกูลตามความเหมาะสม
หมายเหตุ บ้านหลักไม่สามารถเรียกเก็บเงินนอกเหนือจากที่ระบุในสัญญาได้ หากบ้านหลักละเมิดสัญญามาทำการขอเงินในส่วนนี้เพิ่ม จะถือว่าบ้านหลักทำผิดสัญญาและบ้านรองไม่จำเป็นต้องส่งเสียงเงินให้บ้านหลักอีกต่อไป เพราะถือว่าส่งเสียและถูกกดขี่มาเป็นเวลาช้านานแล้ว
(ลงนามคนที่ 1 เมิ่งคุน หัวหน้าบ้านหลักสกุลเมิ่ง )
...................................................................
(ลงนามคนที่ 2 เมิ่งฉือ หัวหน้าบ้านรองสกุลเมิ่ง )
...................................................................
(ลงนามคนที่ 3 เมิ่งลี่จู ชื่อเดิม เจียงลี่จู)
...................................................................
(ลงนามคนที่ 4 นางเจียง ผู้เป็นป้าของเมิ่งลี่จู)
....................................................................
(ลงนามคนที่ 5 หวังต้าเซียน ผู้นำหมู่บ้านเทียนซวง)
....................................................................
(ลงนามคนที่ 6 ผู้เฒ่าเมิ่งหยาง ผู้อาวุโสสกุลเมิ่ง)
.....................................................................
หากผู้ใดที่มีส่วนลงนามในสัญญาฉบับนี้ละเมิดสัญญา ต้องยินยอมให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องดำเนินการตามกฎหมายหรือหากจะประนีประนอมฝ่ายที่ทำผิดสัญญาต้องชดใช้เงินให้ฝ่ายที่ถูกกระทำเป็นจำนวน 500 หยวน/ต่อ 1 ครั้ง
"..."
"..."
"เป็นยังไงบ้าง มีอะไรขาดตกบกพร่องไหม? แต่เนื้อหาในส่วนของชื่อนางเจียงเราค่อยลงชื่อจริงไปอีกที แต่อาคิดว่าพวกเราคงต้องไปส่งข่าวที่บ้านเจียงแล้วก็บ้านของผู้อาวุโสให้มาพร้อมกันที่บ้านหลักสกุลเมิ่งในวันพรุ่งนี้เพื่อทำสัญญานะ"
"คุณอาทำสัญญาได้รอบคอบมากเลยครับ ลี่จูอยากเพิ่มเติมอะไรไหม?"
ซูอี้หันไปถามภรรยาหลังจากที่อาหนังสือสัญญาจบพร้อมกัน
"ไม่ค่ะ เอาตามที่คุณอาผู้นำระบุไว้เลยก็ได้ เรายังต้องไปทำธุระต่ออีกหลายที่"
สาวน้อยส่งยิ้มบาง ๆ ให้กับสามี จากที่เธอเคยได้ยินมาว่าคนในยุคนี้ไม่ค่อยมีความรู้แต่ทำไมเมิ่งซูอี้ถึงทำเหมือนรู้รายละเอียดทุกอย่างในสัญญา ทั้งยังดูเหมือนจะอ่านได้รวดเร็วและสะกดถูกทุกตัวเสียด้วย
"เอาตามนี้เลยครับท่านผู้นำ เอาเป็นว่าพวกเราเจอกันที่บ้านหลักสกุลเมิ่งในวันพรุ่งนี้ตอน 8 โมงเช้านะ วันนี้ผมต้องขอตัวกลับก่อน ขอบคุณมาก ๆ ครับ"
พูดจบพ่อเฒ่าเมิ่งฉือก็ลุกขึ้นยืนเพราะมีธุระอีกหลายอย่างที่ต้องทำ
"ได้ครับพี่ เรื่องบ้านเดิมของลี่จูเดี๋ยวผมจะเป็นคนส่งข่าวให้เอง พี่ไม่ต้องเป็นห่วงทางนี้ ให้อาซูอี้ไปส่งข่าวให้ปู่เล็กก็พอครับ แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้"
"โอ้ว ขอบคุณมาก ๆ ต่อไปนี้ถ้ามีอะไรที่พวกเราพอจะช่วยเหลือได้ก็บอกได้ตลอดเลยนะท่านผู้นำ ครั้งนี้พวกเราคงต้องรบกวนท่านผู้นำแล้ว"
หลังจากพูดคุยกันเสร็จทั้งสามคนก็มุ่งหน้ากลับบ้านของตนเองทันที ซูอี้กับลี่จูยังต้องเข้าเมืองระหว่างทางก็ยังต้องแวะหาปู่เล็กที่หมู่บ้านถัดไปอีกด้วย