CHAPTER 2
มหาวิทยาลัย
ผมจอดรถแล้วเดินไปหาพวกเพื่อนที่ซุ้มของตึกคณะวิศวะ พวกมันมากันครบแล้ว ผมเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง สายตาเกือบสิบคู่มองมาที่ผม ไม่รู้ว่าผมมีอะไรที่ผิดปกติ พวกมันถึงได้มองกันเป็นตาเดียว
“มันเป็นอะไรวะ” ฟองหันไปถามไอ้มาร์ช
เป็นอะไร? ผมเป็นอะไร? ผมก็งงกับคำถามที่ฟองถามมาร์ชเหมือนกัน
“จะรู้เหรอ มาร์ชก็อยู่แต่กับฟอง”
“เป็นเชี่ยอะไรเหรอ” ฟองยังคงข้องใจกับผมไม่เลิก เธอเลยถามผม แต่คำถามที่ถามมานั้นไม่ค่อยลื่นหูสักเท่าไหร่ ก็เลยเบิดกะโหลกมันไปสักที
“ถ้ามึงจะตบหัวเมียกูแบบนี้…”
“มึงจะทำไม?” ผมเลิกคิ้วขึ้นถามไอ้มาร์ช รักเมีย ห่วงเมีย เจ็บแทนเมียเสียเหลือเกิน จนผมรู้สึกหมั่นไส้
“กูจะฝากมึงตบอีกทีอะดิ ตั้งแต่คบกันกูก็ตบไม่ได้อีกเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ” ผมและเพื่อน ๆ หัวเราะออกมา ไอ้มาร์ชก็โดนฟองถลึงตาใส่แบบดุ ๆ ก็รู้แหละว่ามันพูดเล่น มันดูแลฟองดีจะตาย มันไม่มีทางทำฟองหรอก
“สรุปมึงเป็นไร ถึงยิ้มหน้าบานมาแต่ไกล” นุ่นถามบ้าง
ที่แท้ก็เรื่องที่ผมยิ้ม ผมว่าผมก็ไม่ได้เดินยิ้มมาสักหน่อย แต่มันคงเป็นความสุขที่เอ่อล้นจนแสดงออกทางสีหน้าในแบบที่ผมก็ไม่รู้ตัว
จะไม่ให้มีความสุขได้อย่างไรกัน เมื่อวานพอผมตอบไลน์อุ๋มกลับไป เราก็คุยกันดีมากกกก มากกว่าที่เคยเป็น อุ๋มตอบไลน์ผมทันที ไม่ต้องรอนาน ๆ เหมือนช่วงก่อน แถมคุยกันหวานแหวว อ้อนผมงี้ ใจผมก็อ่อนยวบเลยสิ และล่าสุด เมื่อเช้าอุ๋มโทรมาปลุก เราคุยกันจนผมจะขับรถออกจากบ้าน
“กูว่าเป็นบ้า มึงคิดเหมือนกูปะ” ฟองหันไปหามีน
“คิดเหมือนพี่สะใภ้เป๊ะ” มีนแตะมือกับฟอง ปกติมันก็สนิทกันมากอยู่แล้ว พอฟองพ่วงตำแหน่งพี่สะใภ้ มันยิ่งสนิทกันมากกว่าเดิม
“พริตตี้รับรัก?” ปลาหัวเราะกับสองสาว แล้วหันมาถามผม
“ก็ประมาณนั้น” ผมเกาท้ายทอยแก้เขิน ไม่กล้าสบตากับใคร เพราะรู้ดีว่าตอนนี้ใบหน้ามีสีแดงระเรื่อมาแต่งแต้ม
“มึงอย่าเพิ่งมีแฟนนะไอ้กราฟ มึงโสดเป็นเพื่อนกูก่อนดิ” ไอ้ภีมส่งสายตาอาลัยอาวรณ์ ไม่อยากให้ผมมีแฟน
ผมปรายตามองไอ้ภีมด้วยความหมั่นไส้ ถึงตัวมันจะยังโสด แต่ก็แทบไม่ได้มีเวลาให้เพื่อน ปากบอกไม่ได้คิดอะไรกับน้ำผึ้ง แต่แค่เขาโทรมา มันก็รีบแจ้นไปหาเขาแล้ว สภาพนี้อย่าเรียกว่าโสดเลย
“เขาง้อแปลว่าเขารับรัก?” กลอยเลิกคิ้วขึ้นถาม ถามแบบนี้นี่ตั้งใจจะดับฝันผมชัด ๆ
“ถ้าเขาไม่มีใจ เขาจะง้อเหรอ” ไอ้ปืนเป็นคนย้อนกลับไป
“ก่อนถามนี่คิดก่อนปะวะ” ไอ้มาร์ชต่อว่ากลอย แล้วมันก็โดนแฟนมันตบกบาล “ตบมาร์ชทำไมอะ”
“แล้วว่ากลอยทำไม” ฟองถามไอ้มาร์ช แล้วมองหน้าผมด้วยรอยยิ้มที่โคตรกวนส้นตีน รอยยิ้มของมันบ่งบอกว่าสิ่งที่มันจะพูดออกมาต้องไม่น่าฟังแน่ ๆ
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหู ไม่อยากฟังมันพูด ไม่อยากดับฝันตอนนี้ ขอละเมอเพ้อไปเองแบบนี้ต่อไป
“เขาอาจจะแค่กั๊กมึงไว้ก็ได้” ฟองพูด พวกสาว ๆ มันก็แท็กทีมกันเห็นด้วยกับสิ่งที่ฟองพูด
เห็นไหมล่ะว่าคำพูดของมันต้องดับฝันผมแน่ ๆ แต่ไม่ว่าพวกมันจะพูดอย่างไร ผมก็ยังคงมั่นใจในสิ่งที่ผมคิด ถ้าไม่มีใจ ใครเขาจะง้อ
“พรุ่งนี้เย็น ๆ จะมีละครเวทีที่ตึกนิเทศ เหมือนเป็นกิจกรรมของคณะ จะไปดูปะ” มีนหันมาถามผม มันหันหน้าจอสมาร์ตโฟนมาให้ดูด้วย เป็นโพสต์จากเพจคณะ
ผมยิ้มแล้วพยักหน้ารัว ๆ เมื่อเห็นว่าเป็นกิจกรรมของพวกปีสี่
คิดว่าอุ๋มน่าจะร่วมกิจกรรมด้วย ได้ไปให้กำลังใจอุ๋มบ้างก็ดีเหมือนกัน
พวกสาว ๆ หันมองหน้ากัน ผมรีบยกมือขึ้นห้าม อย่าพูดอะไรออกมาอีกเลย พวกนั้นไหวไหล่อย่างกวน ๆ แล้วแยกย้ายกันไปเรียน
ขณะที่ผมกำลังเรียนอยู่ ก็เอาโทรศัพท์มือถือมากดดูเพจคณะนิเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าอุ๋มจะร่วมกิจกรรมด้วย กลัวว่าพรุ่งนี้จะไปเก้อ แต่พอเห็น
ชื่อสาขาที่ร่วมกิจกรรม ก็มั่นใจในทันที
“มึงรักอุ๋ม?” ไอ้ไฟหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปกติมันก็หน้านิ่ง ๆ แบบนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้กลับรู้สึกหวั่นใจอย่างไรชอบกล ไม่อยากให้มันทำหน้านิ่งแบบนี้
“มึงถามทำไมวะ”
“กลัวมึงอกหัก” มันตอบกลับมาทันที
“ทำไมถึงคิดว่ากูจะอกหัก นี่มึงก็ไม่ไว้ใจอุ๋มเหมือนพวกสาว ๆ เหรอวะ”
“อืม” มันพยักหน้ารับ ไอ้ไฟมันเป็นคนที่พูดตรง ๆ คิดอะไรก็พูดแบบนั้นเลย แต่ก็ใช่ว่ามันจะพูดทุกเรื่อง บางครั้งมันแค่คิดแต่ไม่พูด รอให้ถึงที่สุดแล้วค่อยพูด
ครั้งนี้ก็คงถึงที่สุดของมัน จนมันอดไม่ได้ที่จะต้องพูดออกมา
“เอาจริงกูก็คิดแบบนั้นนะ แต่แค่ไม่อยากให้มึงเศร้า” ไอ้ภีมเอ่ยออกมา ไอ้นี่นั่งเงียบ ๆ แล้วแอบฟังนี่หว่า
“ถ้าเป็นกูนะ เขาผิดนัดครั้งสองครั้ง กูก็บายแล้ว ไม่มาทนให้เขาเบี้ยวนัดตลอดแบบมึงหรอก” ไอ้มาร์ชหันมาคุยด้วย มันนั่งข้างหน้าคู่กับไอ้ปืน
“แล้วกูต้องทำไง” ผมถามพวกมันกลับไป ผมก็ไม่รู้ว่าผมต้องทำตัว
อย่างไร ผมชอบเขา ก็อยากทำทุกอย่างเต็มที่เพื่อเขา
“ถอยออกมาสักนิด ทั้งใจทั้งการกระทำ” ไอ้ปืนหันมาพูด
“อืม” ก็คงต้องเป็นแบบนั้น เพื่อนเตือนทั้งแก๊งแบบนี้ก็ต้องฟังบ้างแหละวะ