5
“เธออยากได้ความสุกระดับไหนดี?”
“….”
“หรือจะเอาแรร์แบบฉัน?”
“ผม…ผมเอาเป็นความสุกที่สุดครับ” ใบว่านเงยหน้าขึ้นไปบอกบริกรด้วยท่าทีตื่น ๆ เมื่อเวลาต่อมาเชฟและบริกรได้เดินทางขึ้นมายังชั้นบนแห่งนี้เพื่อจัดเตรียมดินเนอร์ให้ จนในที่สุดมันก็เกิดเป็นภาพการดินเนอร์หรูอยู่บนชั้นสูงสุดของโรงแรม
ไม่มีเสียงสนทนาที่วุ่นวาย ไม่มีผู้คนแปลกหน้าเดินผ่านไปมา มีเพียงแค่ใบว่านและคุณเกื้อเท่านั้น
“ดูเธอประหม่ากว่าวันแรกที่เราเจอกันอีกนะ” ขณะที่ต่างฝ่ายต่างนั่งมองเชฟลงมือปรุงอาหารอย่างพิถีพิถัน คุณเกื้อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันก็คุยกับใบว่านด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
“ไม่นะครับ ผมว่าคุณเกื้อรู้สึกไปเอง” ใบว่านปฏิเสธกลับไป พร้อมพยายามเก็บซ่อนความประหม่าที่อีกฝ่ายกล่าวถึงเอาไว้ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉย เนื่องจากจู่ ๆ เขาก็เกิดกลัววว่าคุณเกื้อจะใช้ความประหม่าที่ใบว่านกำลังมีเอาเปรียบกัน
เพราะคุณเกื้อในวันนี้ ดูไม่เหมือนคุณเกื้อในวันนั้นเลย หรือเพราะอีกฝ่ายยังโกรธเคืองที่ถูกใบว่านไล่กลับบ้านตั้งแต่วันนั้นก็ไม่รู้
“เห็นคุณกานต์บอกว่าวันนี้ที่คุณเกื้อเรียกผมออกมาเจอ เพราะคุณเกื้ออยากคุยเรื่องการแลกเปลี่ยนกับผม ไม่ทราบว่าคุณเกื้ออยากให้ผมรับใช้เรื่องอะไรเหรอครับ” ใบว่านตัดสินใจเข้าประเด็นอย่างตรงไปตรงมา แต่ดูเหมือนคุณเกื้อจะไม่ให้ความร่วมมือเลยแม้แต่นิด
“เรายังไม่ได้เริ่มมื้อดินเนอร์กันเลยนะ ทำไมนายถึงรีบนักล่ะ”
“….”
“รออาหารมาเสิร์ฟก่อนสิ เพราะมาถามแบบนี้มันดูเสียมารยาทนะ” อีกฝ่ายพูดต่อทั้งรอยยิ้ม แต่ทว่าคำพูดและการแสดงออกกลับสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง
“แล้วนี่จัดการเรื่องธุระของพ่อเธอเสร็จหรือยัง” คุณเกื้อถามต่อ ขณะที่อีกฝ่ายหันกลับไปให้ความสนใจกับการปรุงอาหารอีกแล้ว
“เรียบร้อยหมดแล้วครับ”
“ดี… จะได้ไม่ต้องมาติดนั่นติดนี่อีก” สิ้นเสียงของคุณเกื้อ ภาชนะใบเล็กที่เขาเรียกกันว่าออเดิร์ฟก็ถูกบริกรนำมาวางไว้ตรงหน้าพอดี ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะเป็นหอยอะไรสักอย่าง คลับคล้ายคลับคลาเหมือนใบว่านจะเคยเห็นมันมาก่อน
ต้องใช่แน่ ๆ
“นี่มันหอยเชอรี่เหรอครับ” ใบว่านถามออกไปอย่างซื่อ ๆ เมื่อเขานึกไปถึงภาพตอนที่มันอยู่ในเมนูส้มตำป่าที่มักจะตั้งขายอยู่ตามตลาดนัด
“ไม่ใช่นะครับ” บริกรที่กำลังดูแลความเรียบร้อยบนโต๊ะอาหารให้รีบพูดขึ้นโดยพลัน และอธิบายต่อให้ใบว่านเข้าใจเสียใหม่ “มันคือหอยแอสการ์โกหรือหอยทากฝรั่งเศสที่มีฟาร์มเลี้ยงอย่างดีครับ ไม่ใช่หอยเชอรี่”
“อ—อ๋อ ขอโทษด้วยครับ” พูดจบ ใบว่านก็รีบผงกหัวเชิงขอโทษขอโพยยกใหญ่ เมื่อเขารู้สึกว่าคำถามของตัวเองมันเป็นเรื่องที่ผิดมหันต์ ทั้งที่ก่อนจะถามออกไป ใบว่านก็มั่นใจมากแล้วเชียวว่านี่คือหอยเชอรี่
“เธอเล่นมุกเหรอ” คุณเกื้อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันถามขึ้น
“….”
“ไม่ใช่มุกสินะ งั้นแสดงว่าที่ถามแบบนี้เธอคงไม่รู้ว่าเรากำลังทานอาหารฝรั่งเศสกัน”
“ครับ ผมไม่รู้” ใบว่านยอมรับตามตรง เพราะวันก่อนเขาเพิ่งจะกินข้าวคลุกน้ำพริกกะปิพร้อมไข่ต้มไปแท้ ๆ แล้วเขาจะมารู้จักพวกอาหารฝรั่งเศสอะไรแบบนี้ได้ยังไง
“อืม ฉันก็พอเข้าใจได้นะ” คุณเกื้อตอบกลับมา พลางละเมียดละไมจัดการอาหารเรียกน้ำย่อยในส่วนของตัวเอง ซึ่งหลังจากที่จัดการอาหารเรียกน้ำย่อยพอเป็นพิธีแล้ว ลำดับต่อมาบริกรก็นำซุปมาเสิร์ฟและตามมาด้วยอาหารจานหลักที่เป็นสเต็กเนื้อวัวอย่างดี
แล้วพอถึงจานนี้ ใบว่านจึงถามเรื่องธุระออกไปอีกครั้ง
“ตกลงเราจะเริ่มคุยเรื่องนั้นได้หรือยังครับ” ทันทีที่ใบว่านถามออกไปอย่างนั้น มือของคุณเกื้อที่กำลังหั่นเนื้อสเต็กก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ต่อมาอีกฝ่ายจะพูดขึ้น
“ได้สิ เราเริ่มคุยกันเลยก็ได้”
“….”
“เดี๋ยวเธอจะไปอยู่กับฉันนะ”
“ครับ?”
“จะทำหน้าแปลกใจอะไร ก็ตามสัญญาไง” คุณเกื้อพูดต่อทั้งหน้านิ่ง แต่ใบว่านก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสัญญาฉบับไหน เพราะเขายังไม่เคยลงนามในสัญญาอะไรเลย
“สัญญา…สัญญาอะไรเหรอครับ ผมไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”
“ก็สัญญาฉบับนี้ไง เธอเป็นคนเซ็นเองไม่ใช่เหรอ?” คราวนี้คุณเกื้อไม่พูดเปล่า แต่อีกฝ่ายยังรับซองเอกสารสีน้ำตาลมาจากคนของเจ้าตัวด้วย ซึ่งคุณเกื้อก็ไม่ได้ส่งมาให้ใบว่านดูอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่อีกฝ่ายทำเพียงแค่เปิดเอาเอกสารจากในซองมาชูให้ใบว่านดูเท่านั้น
“นี่ไง… เอกสารฉบับนี้ เธอพอจะจำได้หรือยัง”
“สัญญานี้ มันไม่ใช่เอกสารที่ผมเซ็นมอบอำนาจให้คุณกานต์ไปจัดการเรื่องของพ่อไม่ใช่เหรอครับ”
“เหรอ ฉันว่าเธอน่าจะเข้าใจผิดไปนะ เพราะเอกสารที่กานต์ให้เซ็นวันนั้นมันมีสองฉบับ” คุณเกื้อเอ่ย โดยนั่นก็ทำให้ใบว่านนิ่งไปพักหนึ่ง เมื่อเขากำลังนึกย้อนไปถึงวันเซ็นเอกสารให้คุณกานต์ตอนที่อยู่โรงพยาบาล
“น—นี่คุณกับคุณกานต์หลอกผมเหรอครับ”
“ไม่ได้หลอก แต่เพราะเธอสะเพร่าเองต่างหาก”
“ฉันไม่ใช่คนใจร้อนอะไร เพราะงั้นวันนี้ฉันจะปล่อยให้เธอกลับไปก่อน ให้เธอได้กลับไปเตรียมตัวเตรียมใจก่อนแล้วเราค่อยกลับมาเจอกันใหม่”
“….”
“แต่อย่ากลับไปเตรียมตัวเตรียมใจนานนักล่ะ” นั่นเป็นประโยคที่คุณเกื้อพูดกับใบว่าน หลังจบคอร์สดินเนอร์แล้ว
“แล้ว…ถ้าผมอยากยกเลิกสัญญาล่ะครับ” ใบว่านถามกลับไป ไม่มีการโวยวายอะไรออกมาทั้งนั้น น้ำตาสักหยดก็ไม่มีไหลออกมาให้เห็น เนื่องจากเขามองว่ามันเปล่าประโยชน์ ร้องไห้ตอนนี้ก็คงไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ใบว่านควรมีที่สุดคือสติ ก่อนที่เขาจะเผลอทำอะไรโง่ ๆ
“เซ็นสัญญาได้ มันก็ต้องยกเลิกสัญญาได้ไม่ใช่เหรอครับ” ใบว่านพูดย้ำ เมื่อเขาเห็นว่าคุณเกื้อนิ่งไป คล้ายกับนึกไม่ถึงว่าใบว่านจะถามอะไรทำนองนี้
“ห้าล้าน”
“….”
“ค่ายกเลิกสัญญาห้าล้าน”
“ถ้างั้นผมผ่อนจ่ายได้หรือเปล่า” เขาถามต่อ เพราะใบว่านคิดว่าเขาสามารถหาได้แต่อาจต้องใช้เวลาพักใหญ่ และอาจต้องเป็นการผ่อนจ่ายเอา
“ไม่ได้ ฉันต้องการเป็นเงินก้อน”
“แล้วทำไมมันถึงห้าล้านเหรอครับ มันมีที่มาที่ไปหรือเปล่า หรือว่าคุณคิดเงินตามอำเภอใจ”
“ก็ทุนที่ฉันเคยให้เธอมาตลอดไง ไหนจะค่าจัดงานศพของพ่อเธอ บวกกับค่าเสียเวลาของฉันอีก รวม ๆ มันก็เท่านี้แหละ” คุณเกื้อบอกกลับมา พร้อมจ้องลึกเข้ามาในดวงตาของใบว่านราวกับอยากรู้ว่าใบว่านจะแก้ปัญหานี้ยังไง
“เงินก้อนห้าล้าน ไม่มีการผ่อนจ่ายเธอไหวไหมล่ะ”
“….”
“ถ้าไม่ไหว เราก็คงต้องว่าตามนั้น”
“แล้วการที่ผมไปอยู่กับคุณ คุณจะได้ประโยชน์อะไรเหรอครับ” ใบว่านยังคงซักไซ้ต่ออย่างข้องใจ “คุณเกื้อเป็นนักธุรกิจ เพราะงั้นคุณคงไม่ได้ให้ผมไปกินนอนที่บ้านคุณแบบสบาย ๆ อยู่แล้ว อย่างน้อยคุณคงต้องใช้ประโยชน์จากผมบ้าง ผมคิดถูกไหมครับ?”
“เธอเป็นคนฉลาดและทันคนมากนะใบว่าน สมแล้วที่เธอได้ทุนจากฉัน” คุณเกื้อเอ่ยชมทั้งรอยยิ้ม แต่ทว่าใบว่านกลับไม่ได้รู้สึกดีกับคำชมเหล่านั้นเลย ซึ่งก็อาจเป็นเพราะสถานการณ์ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้
“เพราะในชีวิตผมมีแต่คนแบบคุณมั้งครับ ผมก็เลยต้องทันคนให้มาก” ใบว่านบอกกลับไป
“….”
“ผมพยายามเป็นเด็กดีกับคุณมาตลอด เพื่อให้คุณรู้สึกว่าทุนการศึกษาที่คุณให้ผมมามันไม่ได้สูญเปล่า แต่ทำไมคุณเกื้อถึงทำแบบนี้กับผมเหรอครับ”
“นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ทำไมเธอถึงตัดพ้อกันแล้วล่ะ” คุณเกื้อถามกลับมาพร้อมพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะให้เธอไปทำอะไร ฉันพูดแค่เรื่องยกเลิกสัญญาที่เธอถามเท่านั้น แต่ทำไมเธอถึงทำเหมือนฉันเอาเปรียบเธอนักล่ะ”
“….”
“เอาเป็นว่าคืนนี้เธอกลับไปเตรียมตัวเตรียมใจและเก็บข้าวของตัวเองเถอะ เราค่อยมาเจอกันใหม่…ในวันที่เธอพร้อม”
เมื่อคุณเกื้อไม่อยากสนทนากับใบว่านแล้ว เวลาต่อมาคุณกานต์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เพื่อพาใบว่านเดินลงมาที่ชั้นล่างของโรงแรม โดยตลอดทั้งการอยู่กับคุณกานต์นั้น ใบว่านก็ไม่ได้พูดอะไรกับอีกฝ่ายสักประโยค เนื่องจากใบว่านไม่สามารถไว้ใจคุณกานต์ได้แล้ว ประกอบกับเขากลัวว่าคุณกานต์จะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ผู้เป็นนายฟังด้วย
“ฮ—ฮึก” ทันทีที่กลับมาถึงบ้านด้วยรถแท็กซี่ ใบว่านก็ถึงกับปล่อยโฮออกมาโดยพลัน ความเข้มแข็งที่เหมือนกับว่าไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ ได้พังทลายลงในพริบตา เพียงแค่ใบว่านกลับเข้ามาในจุดปลอดภัยของตัวเอง
“พ่อจ๋า… แม่จ๋า… ว่านควรทำยังไงดี ว่านกลัวเขาจะเอาว่านไปขาย ฮือออ” ใบว่านเงยหน้าขึ้นถามรูปของพ่อแม่ที่เหลือไว้ให้ดูต่างหน้าทั้งน้ำตา เนื่องจากเขากลัวว่าคุณเกื้อจะเอาตัวเองไปขายจริง ๆ เพราะใบว่านก็ยังเรียนไม่ทันจบ งานที่ถนัดก็มีแต่พวกงานบ้าน งานสวนที่คุณเกื้อไม่ต้องการ
ดังนั้นมันคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากใบว่านจะถูกคุณเกื้อเอาไปขาย อีกฝ่ายอาจเอาว่านไปค้าอวัยวะแน่ เพราะมันน่าจะทำรายได้มากกว่าห้าล้าน
อีกฝั่งหนึ่ง…
“เรียบร้อยหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ ตอนนี้ผมให้คุณว่านกลับแท็กซี่ตามคำสั่งแล้วครับ”
“ดี ว่าแต่เด็กนั่นได้ถามอะไรนายหรือเปล่า”
“ไม่ครับ คุณว่านไม่ได้ถามอะไรครับ” เมื่อได้รับคำตอบกลับมาเช่นนั้น เกื้อการุณย์ก็ทำเพียงแค่พยักหน้ารับและไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เนื่องจากเขาไม่ได้อยากรู้อะไรเพิ่มเติมแล้ว
“แต่ว่าหลังจากที่คุณว่านมาอยู่กับเราแล้ว ไม่ทราบว่าคุณเกื้อจะทำยังไงต่อครับ”
“นายคิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ กานต์” เกื้อการุณย์ถามผู้ช่วยคนสนิทพลางกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เพราะเขามองว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
ใบว่านไม่ใช่เด็กดี อีกฝ่ายก็แค่พยายามเป็นเด็กดีเท่านั้น
“ถึงใบว่านจะดูเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย ดูไม่ได้ขัดขืนหรือโวยวายอะไร แต่นั่นน่ะ… เป็นอาการดื้อเงียบชัด ๆ”
“….”
“เผลอ ๆ ก่อนที่เราจะคิดไปถึงเรื่องนั้น เราน่าจะเป็นฝ่ายไปรับใบว่านให้มาอยู่ด้วยกันเสียมากกว่า” ว่าจบ เกื้อการุณย์ก็ยกไวน์ขึ้นจิบพร้อมมองวิวเมืองไปด้วย ซึ่งอันที่จริงเขาก็อยากจะให้ใบว่านได้ลิ้มลองไวน์ขวดนี้ด้วยกันอยู่หรอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ดื่มด่ำไปกับรสชาติของมัน สุดท้ายเกื้อการุณย์จึงต้องยอมปล่อยให้ใบว่านกลับไปก่อน
“ยังไงนายก็คอยจับตาดูเด็กคนนี้ให้ดีแล้วกัน เพราะเขาไม่ยอมเชื่องกับฉันง่าย ๆ หรอก” สิ้นเสียงของเกื้อการุณย์ เขาก็ลุกขึ้นเต็มสูงตั้งจะเดินกลับเข้าที่พักของตัวเอง เพราะมันถึงเวลาที่เกื้อการุณย์จะต้องพักผ่อนแล้ว