ตอนที่ 2
ฉันโยนผ้าปูที่นอนที่เอามาผูกรวมกับผ้าห่มเพื่อให้มันยาวพอที่จะใช้ปีนลงจากหน้าต่างห้อง ใช่แล้ว...ฉันจะหนีออกจากบ้าน! ฉันเกลียดการถูกบังคับและการมีบอดี้การ์ด ในเมื่อคุณพ่อคิดจะบังคับฉันในเรื่องนี้ ก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นหน้าฉันอีกต่อไปเลย!!!
ตุ้บ!
ฉันกระโดดลงสู่พื้นได้อย่างสวยงาม เอาล่ะ...ลงมาจากห้องได้ดีโดยที่ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปัญหามันหลังจากนี้ต่างหากล่ะ ก็บ้านฉันมีบอดี้การ์ดแน่นเอี๊ยดทุกตารางเมตรแบบนี้แล้วจะหนีออกไปทางไหนได้เล่า -*- ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเสี่ยงเดินไปทางหลังบ้าน แต่พอไปถึงก็พบบอดี้การ์ดมากมายยืนปฏิบัติหน้าที่กันอย่างเคร่งครัด ฉันรีบถอยกรูดกลับไปตั้งหลักใหม่ที่กำแพงใหญ่ของบ้าน
“ปวดฉี่เว้ย!”
ฉันก้มหัวหลบหลังพุ่มไม้เมื่อเสียงชายชุดดำคนหนึ่งที่ยืนเฝ้ากำแพงตรงจุดที่ฉันอยู่พูดขึ้น เขากุมเป้าตัวเองแล้วทำสีหน้าเหยเก ไปสิไป! ไปเข้าห้องน้ำเลย ไปๆๆๆ
“แค่แป๊บเดียว ไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
พูดจบเขาก็วิ่งหายลับไปทางตึกคนใช้ ฉันรีบใช้จังหวะนี้เหยียบกระถางต้นไม้ที่วางเรียงอยู่แล้วดันตัวเองขึ้นไปนั่งบนกำแพงอย่างรวดเร็ว ดีนะที่เชี่ยวชาญเพราะเมื่อก่อนฉันกับพี่ชายแอบปีนหนีคุณพ่อเที่ยวบ่อยๆ ฮ่าๆๆ
ตุ้บ!
ฉันกระโดดลงบนพื้นได้อย่างสวยงามอีกครั้งหนึ่ง หันซ้ายแลขวาไม่พบใครก็ติดสปีดวิ่งทันที นี่เพิ่งจะตีสองเอง กว่าจะมีคนรู้ว่าคุณหนูของบ้านได้หนีออกจากบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็คงจะสายๆ ของวันนี้ล่ะมั้ง
“จอดด้วยค่ะ” ฉันโบกมือเรียกแท็กซี่ที่หน้าปากซอยซึ่งจอดเรียงกันอยู่เป็นแถว พวกแท็กซี่นี่เขาไม่กลับบ้านไปหลับไปนอนบ้างหรือไงนะ?
“ไปไหนครับ”
“สวนซินแบคค่ะ” ฉันเปิดประตูหลังขึ้นไปนั่งก่อนจะบอกสถานที่ที่ต้องการจะไป โชเฟอร์มองฉันด้วยสายตางงๆ
“สวนซินแบคมันเป็นสวนส่วนตัวของตระกูล ‘ศิลาวาลัย’ นี่ครับ”
“หนูนี่แหละค่ะ...คุณหนูของตระกูลศิลาวาลัย”
ฉันเดินเข้ามาในสวนพร้อมดอกไม้นานาชนิดที่พี่ซินแบคชอบ สวนนี้เป็นสวนที่คุณพ่อสร้างขึ้นเพื่อพี่ซินแบคโดยเฉพาะ พี่ชายเป็นคนที่ชอบดอกไม้และต้นไม้มาก หลังจากที่พี่ชายจากไป คุณพ่อก็สร้างที่นี่ขึ้น เพื่อเป็นการไถ่โทษและระลึกถึงพี่ซินแบค
“เซลมาเยี่ยมนะพี่ซิน” ฉันยิ้มพร้อมกับไล้นิ้วมือลูบไปที่กลีบของดอกลิลลี่ป่าที่พี่ซินแบคชอบ ผิวของกลีบดอกลิลลี่ป่านวลสวย สีขาวอ่อนๆ กระทบกับแสงไฟที่สาดส่อง มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อเลยล่ะ
“เซลจะมาอยู่กับพี่นะ อยู่กับพ่อแล้วไม่สบายใจ ไม่อยากอยู่” ฉันพูดออกมาตามที่ใจคิด ก้มลงสูดกลิ่นหอมของดอกลิลลี่ป่าที่อยู่ในกระถางเป็นแนวยาว ฮ้า~ หอมสดชื่นจริงๆ เลย
จากนั้นฉันก็นั่งเล่านู่นเล่านี่ คุยจิปาถะไปเรื่อยเปื่อยกับพี่ซินแบค ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่คุณพ่อคิดจะหาบอดี้การ์ดมาให้ฉัน ดอกลิลลี่ป่าช่างเป็นผู้ฟังที่ดีอะไรอย่างนี้นะ ไม่พูดแทรกฉันสักคำเลย ฮ่าๆๆ พี่ซินแบคก็ด้วย ไม่พูดแทรกฉันแม้แต่คำเดียวเหมือนกัน
“บางที...ฉันก็อยากให้พี่โต้ตอบฉันเหมือนกันนะ”
ฉันยิ้มบางๆ แม้จะไม่ร้องไห้ แต่ความเจ็บปวดก็อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจจนเหมือนจะ...หายใจไม่ออก ทรมานจริงๆ อาการแบบนี้...
................
........
ฉันค่อยๆ ลืมตาเมื่อรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่างที่สัมผัสบริเวณใบหน้าและต้นคอ มันชวนให้จั๊กจี้ยังไงพิกลอยู่ -*- กำลังหลับสบายๆ เลยนะ
“เฮ้ยยย!”
“อ๊ะ! เงียบๆ นะ” เขาเอามือมาอุดปากฉันที่กำลังจะร้องตะโกนออกไป แล้วมองไปทางด้านซ้ายเหมือนกำลังแอบใครอยู่ ผมสีดำไฮไลท์เทาของเขาประปรายลงมาที่ใบหน้าของฉัน นี่คือที่มาของสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้สินะ ว่าแต่นี่มัน...สายขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย
“เอาล่ะ มีอะไร” บีเอปล่อยมือที่อุดปากฉันอยู่ออก ก่อนที่ตัวเขาจะเขยิบถอยห่างออกจากฉัน ทำไมเขาถึงใส่แต่ชุดยูคาตะนะ ครั้งก่อนก็ใส่ยูคาตะเหมือนกันแต่สีน้ำเงิน คราวนี้เป็นสีดำ
“นาย! นายมาได้ยังไง!”
“ขับรถมา -_-“
“อีตาบ้า! ฉันหมายถึงมาที่นี่ทำไม”
“มาตามยัยคุณหนูบางคนกลับบ้านน่ะสิ -_-“ เขาพูดพร้อมกับใช้นิ้วชี้หน้าฉันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ทำหน้าตึงๆ ตลอดเวลาไม่เมื่อยหรือไงยะ -*-
“นี่นาย...รู้แล้วเหรอ!”
“อืม”
“ระ...รู้ได้ไง!”
“คุณพ่อของเธอโทรไปหาคุณพ่อของฉัน บอกให้ฉันไปหาที่บ้าน พอไปถึง คุณพ่อของเธอก็เล่าให้ฟัง” เขาตอบด้วยสีหน้าเหมือนเดิม ไม่มีความตื่นตระหนกอยู่ในแววตาสักนิด
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่”
“คุณหนูที่ดีแต่ใช้อารมณ์ ไม่ใช้สมองและปัญญาอย่างเธอ ก็มีที่นี่ที่เดียวเท่านั้นแหละที่พึ่งได้น่ะ -_-“
“ว่าไงนะ!!!”
“เอาล่ะคุณหนู ได้เวลาเลิกเล่นซ่อนแอบแล้ว กลับเถอะครับ”
เขาโค้งหัวให้ฉันแล้วผายมือให้เดินไปที่ทางออกของสวน
“นายไม่มีสิทธิ์!!!” ฉันตะโกนใส่หน้าก่อนจะผลักเขาจนกระเด็นแล้ววิ่งหนีออกมา บ้าที่สุดเลย! คุณพ่อไม่ได้กระวนกระวายเรื่องที่ฉันหนีออกจากบ้านเพราะคัดค้านการมีบอดี้การ์ดเลยใช่มั้ย!!!
“วิ่งช้าจังนะครับคุณหนู” บีเอที่ตามมาพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้านิ่งเรียบ ทั้งๆ ที่กำลังวิ่งอยู่ แต่หน้าตาและจังหวะการวิ่งของเขาราวกับเราสองคนกำลังเดินไม่มีผิด!
“ตามฉันมาทำไมไม่ทราบ!”
“ตามมาปกป้องน่ะสิ”
คำตอบสั้นๆ แต่กลับทำให้หัวใจฉันเต้นเป็นจังหวะแปลกๆ รู้สึกหายใจติดขัด เอาอีกแล้ว...อาการแบบนี้อีกแล้ว
“ฉันไม่ต้อง...”
“ระวัง!” ยังไม่ทันที่ฉันจะพูดจบ บีเอก็พูดแทรกก่อนจะกระชากตัวฉันพาวิ่งไปอีกทาง
“อะไรของ...”
ปัง!
“กรี๊ด!!!” ฉันกรี๊ดลั่นให้กับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่แทนการอาละวาด สะ...เสียงปืนนี่นา!
“มีคนลอบยิงคุณหนูอยู่ อย่าหยุดวิ่งเป็นอันขาดนะ” บีเอสั่ง สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมา เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นเต็มใบหน้าเขา ฉันมองไล่ตั้งแต่ใบหน้าลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงไหล่ของเขา...
“เฮ้ย! นายถูกยิงนี่!!!”
“ผมไม่เป็นไร คุณหนูห่วงตัวเองเถอะ” บีเอตอบโดยไม่มองหน้าฉัน เขายังคงตั้งหน้าตั้งตาพาฉันวิ่งหนีต่อไป มือของเขาที่จับมือฉันไว้ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดไม่น้อย เหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลวนอยู่รอบๆ ตัวฉัน จนเจ็บ...
“พวกมันยังตามมาอยู่” วิ่งไปได้สักพักเขาก็พูดขึ้นมาอีก ฉันหันกลับไปมองก็พบว่ามีผู้ชายสองคนกำลังวิ่งตามเรามา ในมือของสองคนนั้นมีปืนอยู่ด้วย ต่างจากเราสองคนที่ไม่มีอะไรเลย มีเพียงดาบไม้ไผ่ของเขาที่สะพายอยู่ที่หลัง
“นายปล่อยฉันได้มั้ย” ฉันพยายามสะบัดมือเขาออก ทำไมฉันต้องมาทนอยู่กับบอดี้การ์ดที่คุณพ่อหามาให้ด้วยเนี่ย
“ผมมีหน้าที่ปกป้องคุณหนู -_-“
“แต่ฉันไม่ต้องการ ปล่อยสิ!!” ฉันสะบัดมือออกได้ในที่สุด และผลักเขาที่กำลังวิ่งอยู่จนล้มลงไป จากนั้นก็แยกตัววิ่งมาอีกทาง พอหันกลับไปมองเพื่อจะดูว่าผู้ชายสองคนนั้นตามมาถึงไหนแล้วก็พบว่าบีเอกำลังต่อสู้กับสองคนนั้นอยู่ โดยที่เขาโดนยิงเพิ่มที่ต้นขา!!
“บ้าเอ๊ย!”
ฉันขยี้หัวตัวเองอย่างโมโห แล้วไอ้หมอนั่นมันไปบ้าสู้กับสองคนนั้นทำไมเล่า แทนที่จะหนี โธ่เอ๊ย! ฉันวิ่งเข้าไปหลบหลังต้นไม้ใกล้ๆ กับที่ที่บีเอต่อสู้อยู่ มันใกล้พอที่จะได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกันบ้างระหว่างที่สู้กัน
“ห้ามทำร้ายคุณหนูราพันเซลเด็ดขาด!” คำพูดนี้ดังชัดมาแต่ไกล ฉันถึงกับสะอึกในคำพูดของบีเอที่กำลังใช้ดาบไม้ไผ่ป้องกันตัวเองจากกระสุนปืน ฉันมองบีเอที่สู้ยิบตาด้วยความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน
“ตำรวจ!ตำรวจมา!” ฉันแกล้งตะโกนออกไปเมื่อบีเอเสียท่าล้มลงและกำลังจะถูกพวกมันยิงอีกครั้ง
“เฮ้ย! ตำรวจมา ไปก่อนเว้ย” แล้วมันสองคนก็รีบวิ่งหนีไปอีกทางเมื่อฉันเปิดซาวนด์เอฟเฟกต์เสียงหวอของรถตำรวจที่อัดไว้ในโทรศัพท์มือถือ (อัดเล่นๆ น่ะ ไม่คิดว่าจะใช้ประโยชน์ได้ =_=)
พอเห็นว่าสองคนนั้นวิ่งหายไปแล้วฉันก็รีบออกมาจากที่ซ่อนตรงไปหาบีเอที่ลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งด้วยท่าทีที่สบายสุดๆ
เพียะ!
ฉันตบหน้าบีเอเต็มแรงจนเขาหน้าหัน ก่อนที่เลือดจะไหลออกจากมุมปาก บีเอใช้นิ้วโป้งเช็ดเลือดที่มุมปากแล้วหันมาสบตากับฉัน ให้ตายสิ...นัยน์ตาเขามันว่างเปล่าจริงๆ เย็นชาเหลือเกิน
“บ้าหรือไงถึงได้ไม่หนีน่ะ!” ฉันผลักอกเขา บีเอเซถอยหลังไปเล็กน้อยแต่ไม่ล้ม เขายังคงนิ่งและเงียบไม่พูดอะไร ได้แต่จ้องหน้าฉันเท่านั้น
“ฉันถามทำไมไม่ตอบเล่า! ทำไมไม่หนี ไปสู้กับมันสองคนทำไม นายเป็นคนนะไม่ใช่ควาย อย่าโง่นักจะได้มั้ย!!” ฉันทุบบีเอเป็นว่าเล่น โกรธจริงๆ นะ ทำไมถึงไม่หนี ทำไมถึงยังบ้ามาสู้กับพวกนั้นทั้งๆ ที่ตัวเองบาดเจ็บขนาดนี้ ทำไม!!
“กลับบ้านเถอะครับคุณหนู คุณพ่อเป็นห่วงคุณหนูมาก” เขารวบมือฉันไว้ทั้งสองข้างแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ มันตัดขั้วหัวใจฉันได้เลย
“ไม่กลับ อย่ามายุ่งกับฉัน!!”
“ไม่ยุ่งไม่ได้ มันคือหน้าที่ ผมรับปากคุณพ่อของคุณหนูไปแล้วว่าจะดูแลคุณหนูให้”
“ฉันไม่ต้องการ ฉันเกลียดนาย! ได้ยินมั้ยว่าฉันเกลียดนาย!”
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ฉันตบหน้าบีเอไปอีกชุดใหญ่ แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือจากฉัน ทำไมถึงดื้อแบบนี้นะ!
“ต่อให้คุณหนูตบผมมากกว่านี้ ผมก็จะไม่ปล่อยคุณหนูไป เพราะสิ่งที่คุณหนูจะได้เจอหลังจากนี้ มันเดิมพันชีวิตทั้งชีวิตของคุณหนูและผู้คนอีกมากมาย”
“พล่ามบ้าอะไร ปล่อยฉันนะ!” ฉันบิดมือออกมาจากเขาได้หนึ่งข้าง ก่อนจะใช้มือข้างที่เป็นอิสระนั่นบีบแผลที่โดนยิงตรงแขนของเขาจนเลือดไหลล้นออกมาตามซอกนิ้วของฉัน แต่สีหน้าของบีเอก็ยังคงนิ่งเหมือนเดิม ไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาสักนิด
“ทำไม...ทำไมยังทนอยู่อีก ฉันร้ายกับนายขนาดนี้แล้วนะ ทำไมถึงยังทน!”
“เพราะผม...อยากจะปกป้องคุณหนู”
“ทำไม...ทำไมต้องอยากปกป้องฉัน เราเพิ่งเคยเจอกันแค่สองครั้งเท่านั้นนะ”
“ครับ เราเจอกันแค่สองครั้ง”
“แล้วทำไม...”
“เพราะผมกับคุณหนูสูญเสียเหมือนกัน”
“.....”
“ได้เวลากลับบ้านแล้วนะครับ มีอะไรค่อยไปคุยกับคุณพ่อที่บ้านดีกว่า อย่าทำแบบนี้เลย”
คำพูดของเขาอ่อนโยนและนุ่มนวลมาก แต่สีหน้าของเขากลับเย็นชาจนน่ากลัว ตกลงอย่างไหนคือตัวจริงของเขากันแน่นะ?
“ฉันไม่ต้องการบอดี้การ์ด”
“คุณหนูกลับไปคุยกับคุณพ่อได้ เชิญครับ“ บีเอปล่อยมืออีกข้างของฉันแล้วโค้งหัวให้พร้อมกับผายมือเช่นเดิม ฉันมองหน้าเขาอย่างขัดใจนิดหน่อยที่ทำตัวตรงตามสเต็ปบอดี้การ์ดแบบนี้
“ฮึ่ย!!”
ฉันจำใจต้องกลับบ้านไปกับเขาในที่สุด เพราะรู้สึกเห็นด้วยในคำพูดของเขานิดๆ ฉันควรจะคุยกับคุณพ่อให้รู้เรื่อง และที่สำคัญคือ...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้ฉันรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณประมาณ 50% ว่า ขาของฉันเหยียบเส้นความตายมาข้างหนึ่งแล้ว
“แล้วที่บ้านฉันเป็นยังไงบ้าง” ฉันถามเมื่อเราสองคนขึ้นมานั่งบนรถอัลฟ่า โรมิโอสีดำสนิท โดยบีเอทำหน้าที่เป็นคนขับ นี่เป็นรถของเขาแน่เลย เพราะบ้านฉันไม่มีใครใช้รถหรูแบบนี้หรอก
“วุ่นวายมากถึงมากที่สุด” เขาตอบด้วยสีหน้านิ่งแล้วหักเลี้ยวปาดซ้ายอย่างรวดเร็ว กรี๊ดดดด เห็นหน้านิ่งๆ ไม่นึกว่าจะขับรถเหมือนเหาะได้แบบนี้นะเนี่ย TOT
“นายขับช้าๆ หน่อยก็ได้นะ ฉันไม่รีบ”
“.....”
ขอบคุณที่ตอบนะยะ อีตาบอดี้การ์ดมาดนิ่งงงงงงงง >O<