ทว่าไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำรถที่ฉันนั่งมาก็จอดที่บ้านหลังใหญ่ โจ๊กลงจากรถ ฉันจึงรีบลงตาม ฉันก้มหน้าเดินตามหลังโจ๊กต้อย ๆ ไม่ได้มองรอบข้างแม้แต่น้อย ฉันกลัวจนไม่กล้ามองอะไรทั้งนั้น
เรามาหยุดที่หน้าห้องหนึ่ง โจ๊กพูดว่า “เปลี่ยนชุดครับ” เขาชี้เข้าไปในห้องนั้น ฉันทำตามเพราะมันมีในข้อตกลงที่เขียนบอกไว้อย่างละเอียด
ภายในห้องที่ฉันเข้ามามีผู้หญิงสองคน เธอยืนทำหน้านิ่งดูไร้ความรู้สึกทั้งคู่ พวกเธอเดินเข้ามาหาฉัน ถอดเสื้อผ้าของฉันออกจนหมด แล้วยื่นชุดคลุมมาให้ ฉันรับชุดคลุมมาใส่เมื่อใส่เรียบร้อย เธอพยักหน้าก่อนจะเปิดประตูให้ฉันเดินออกมา
ยอมรับว่าอายมากที่ต้องมาแก้ผ้าให้คนอื่นตรวจเช็กร่างกาย ทว่าฉันเซ็นรับรู้และยินยอมไปแล้ว ฉันเลือกเองจึงต้องยอมรับสิ่งที่เลือก
จากนั้นโจ๊กก็พาฉันเดินขึ้นบันไดหลายขั้นมาก ๆ ความรู้สึกของฉันนะ ทุกขึ้นที่ก้าวขึ้นมาหัวใจฉันเต้นตึกตัก มันหน่วงที่ใจรู้สึกอยากร้องไห้ อยากพาตัวเองหนี้จากตรงนี้ แต่ทุกครั้งที่อยากหนีใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของย่าจ๋าก็จุผุดขึ้นมา ฉันไม่อยากให้รอยยิ้มของย่าหายไปจึงต้องอยู่ตรงนี้
ในที่สุดโจ๊กก็หยุดที่หน้าห้องห้องหนึ่งจากหลาย ๆ ห้องที่ผ่านมา
ถึงเวลาแล้วสินะ
“อย่าลืมสิ่งที่ระบุในสัญญาที่เซ็นไปนะครับว่ามีอะไรบ้าง” โจ๊กหันมาบอกกับฉัน
“คุณจะรออยู่หน้าห้องนี้จนกว่าฉันจะออกมาใช่ไหมคะ” ฉันแค่รู้สึกกลัว กลัวมาก ๆ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้น และกลัวผลลัพธ์หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งคนที่ฉันคุยด้วยนอกจากกระแตก็คือโจ๊ก การที่รู้ว่าเขาจะอยู่ฉันจึงรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ในความรู้สึกอ้างว้างที่ไร้สิ่งยึดเหนี่ยว
“ครับ” โจ๊กพยักหน้า จากนั้นเขายื่นมือไปกดรหัสที่ประตูและเปิดออก โจ๊กหันมาพยักหน้าให้ฉันอีกครั้ง ฉันจึงก้าวขาเข้ามาในห้องที่มืดสนิท
ปึง ประตูปิดลง ความมืดมิดทำให้ฉันมองอะไรไม่เห็นเลย ฉันกล้า ๆ กลัว ๆ อุณหภูมิในห้องก็เย็นเฉียบ ฉันอยากร้องไห้ออกมาดัง ๆ แต่มันเป็นแค่ความอยาก ฉันไม่สามารถร้องไห้ได้
“จะยืนตรงนั้นอีกนานไหม” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นทำฉันสะดุ้งด้วยความตกใจ
‘อย่าทำให้เฮียอารมณ์เสีย’ คือสิ่งที่โจ๊กแนะนำ
ฉันปลดชุดคลุมออกจากร่างกายอย่างไวหลังจากนึกขึ้นมาได้ว่าอย่าทำให้เขาอารมณ์เสีย
การเปลื้องผ้าตั้งแต่หน้าประตูคือหนึ่งในกฎที่ต้องทำตามในสัญญาที่ระบุไว้ชัดเจน