“ฝากเจ้าค่ะ ข้ากำลังจะไปเดินหาร้านรับฝากตำลึงอยู่พอดี ขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยมากนะเจ้าคะ ที่กรุณาแนะนำและเป็นธุระจัดการให้ข้าด้วยตนเอง” จางเย่วชิงก้มหัวลงขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยด้วยความขอบคุณอย่างสุดหัวใจ
“อืม ข้ายินดี หากมีเครื่องประดับที่งดงามอีกเจ้าสามารถมาพบข้าได้ทุกเมื่อ และเมื่อใดที่เจ้าอยากจะรับซื้อคืนก็มาติดต่อได้หากข้ายังไม่ขายให้ผู้ใด ข้าก็ยินดีที่จะขายคืนให้เจ้าในราคาเดิม”
น้ำเสียงอบอุ่นคล้ายคลึงกับสหายของนางที่ตายจากกันมาในภพนู้น ทำให้เย่วชิงน้ำตาเอ่อคลอทั้งสองข้างความรู้สึกในยามนี้เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ ที่ได้รับความกรุณาจากคนแปลกหน้ามากถึงเพียงนี้
“ขอบพระคุณเถ้าแก่เนี้ยมากเจ้าค่ะ ท่านจิตใจดีสมคำร่ำลือที่ชาวเมืองกล่าวขานถึงท่าน บุญคุณในครั้งนี้ข้าขอมอบการคารวะให้ท่านด้วยใจจริง”
จางเย่วชิงก้มหัวลงขอบคุณเถ้าแก่เนี้ยอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกเต็มตื้นในอก นางมองออกว่าผู้ใดกระทำด้วยความจริงใจหรือเสแสร้งเพื่อหาผลประโยชน์ ซึ่งเถ้าแก่เนี้ยผู้นี้มีแต่แววตาเอื้ออาทรมอบให้นาง ดียิ่งกว่าคนในครอบครัวที่ปล่อยปละละเลยและทิ้งขว้างนางมาตั้งแต่เยาว์วัย
เมื่อได้ตั๋วเงินที่ลงลายมือชื่อจากร้านเฟิ่งหวงเรียบร้อยแล้ว จางเย่วชิงก็เอ่ยลาเถ้าแก่เนี้ยผู้ใจดี แล้วเดินกลับไปตลาดสดเพื่อหาซื้ออาหารและของใช้ที่จำเป็น เพื่อใช้ในการหลบหนีออกนอกเมืองหลวงในอีกหนึ่งอาทิตย์ข้างหน้า
ที่นางยังไม่ออกเดินทางเสียวันนี้พรุ่งนี้ เพราะต้องพักฟื้นร่างกายที่บอบบางอ้อนแอ้นให้แข็งแรงเสียก่อนที่จะต้องออกเดินทางไกล หากพบเจอโจรผู้ร้ายจะได้เอาตัวรอดได้ ขืนนางดื้อรั้นจะหลบหนีออกไปทั้งๆที่ตนเองยังอ่อนแอ อาจจะพลาดพลั้งต่ออันตรายที่มิรู้ได้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ในยุคที่ไม่ได้มีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์เยี่ยงนี้ยิ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
จุดหมายปลายทางของเย่วชิงคือเมืองเสิ่นหนาน เมืองใหญ่ที่อยู่ถัดจากเมืองหลวงไปทางทิศใต้ประมาณ3เมือง ระยะห่างจากเมืองหลวงราวๆ 200ลี้ (ประมาณ 100 กิโลเมตร)
จางเย่วชิงตั้งใจไปปักหลักใช้ชีวิตใหม่อยู่ที่เมืองเสิ่นหนาน ทันทีที่ไปถึงนางจะดำเนินการเปลี่ยนแซ่มาใช้แซ่เดิมของมารดา เพราะบิดาผู้นั้นทำหนังสือตัดขาดนำมามอบให้นางตั้งแต่ครั้งยังอยู่ที่จวนตระกูลจางแล้ว จึงไม่มีเหตุที่นางจะยังใช้แซ่ของเขาอยู่
ตลาดใจกลางเมืองหลวง
ร้านที่เย่วชิงตั้งใจเข้าไปเลือกซื้อเป็นอันดับแรกคือร้านขายยาสมุนไพร อดีตสายลับหญิงขององค์กรFBI มีอีกอาชีพหนึ่งที่นางปกปิดตัวตนเอาไว้อย่างมิดชิด คือการเป็นนักวิจัยยาระดับหัวกะทิขององค์กรยาแห่งสหประชาชาติ
จางเย่วชิงเป็นศาสตราจารย์อายุน้อยที่มีระดับไอคิวของสมองมากเกิน200 นางสามารถคิดค้นสูตรยาทั้งแผนปัจจุบันและแผนโบราณได้มากกว่า1,000สูตร ในระยะเวลาเพียง2ปีเท่านั้น
ความสามารถที่โดดเด่นอีกอย่างหนึ่ง จนกระทั่งคนในองค์กรยาต่างยอมรับในฝีมือของนางคือ เย่วชิงสามารถปรุงยาอัดเม็ดโดยใช้เทคโนโลยีทางวิทยาศาตร์ ทั้งยังสามารถปรุงยาอัดเม็ดแบบวิธีโบราณด้วยความเชี่ยวชาญ ด้วยระดับไอคิวที่มากกว่าคนปกตินางจึงสามารถจดจำทุกอย่างที่เรียนรู้มาได้อย่างรวดเร็ว
คุณภาพของเม็ดยาแผนโบราณที่จางเย่วชิงลงมือปรุงด้วยตนเองทุกขั้นตอน ไร้ซึ่งเทคโนโลยีใดๆเข้ามาช่วยเหลือ ได้รับการยอมรับจากสมาคมแพทย์แผนโบราณระดับโลก ดังนั้นอาชีพที่นางจะทำมาหากินเลี้ยงดูตนเองกับจูลี่สาวใช้คนสนิท ก็คือผลิตยาอัดเม็ดส่งขายตามร้านขายยา และส่งลงประมูลบ้างในบางครั้งนั่นเอง
ตำลึงจำนวนมากที่ได้รับจากการขายหยกจักรพรรดิ บางส่วนนางจะเก็บไว้ซื้อจวนขนาดกลางในเมืองเสิ่นหนานเมืองที่นางตั้งใจไปปักหลักอาศัยอยู่ถาวร ส่วนที่เหลือทั้งหมดก็เก็บไว้เป็นทุนสำรองในชีวิต
เป้าหมายของจางเย่วชิงในภพนี้คือการเป็นสตรีที่ร่ำรวย แต่ไม่เปิดเผยตัวตนว่าร่ำรวย นางจะใช้ขีวิตอยู่อย่างสงบสุขและเรียบง่ายกับสาวใช้คนสนิท ประหนึ่งเกษียณอายุจากงานที่ตรากตรำมาเนิ่นนานหลายปี
ร้านต่อมาที่เย่วชิงตั้งใจจะเข้าไปเลือกซื้อสิ่งของที่จำเป็น คือร้านขายอุปกรณ์การเขียนหนังสือและตำราต่างๆ นางต้องการกระดาษ น้ำหมึก ที่ฝนหมึก และพู่กันเพื่อเขียนใบหย่าวางไว้ให้สวามีใจร้ายผู้นั้นโดยเร็วที่สุด ก่อนที่นางกับสาวใช้จะหลบหนีออกไปจากตำหนักร้างในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ร้านถัดมาที่เย่วชิงเดินเข้าไปเลือกซื้อด้วยความสนใจมากที่สุด คือร้านขายอาวุธร้านใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เพราะนางต้องการอาวุธหลากหลายชนิดที่คุณภาพดี ครั้นปักหลังที่เมืองเสิ่นหนานแล้วถึงจะลงมือประดิษฐ์อาวุธบางอย่างที่สามารถกระทำเองได้ ทว่ายามนี้เป็นเวลาเร่งด่วนจำต้องหาซื้อไปให้ครบครันก่อนออกเดินทางไกล
เมื่อได้สิ่งของจำเป็นทุกอย่างตามที่ต้องการครบถ้วนทั้งหมดแล้ว เย่วชิงจึงเดินกลับมาสั่งซื้อผักและของสดอื่นๆจากแม่ค้าวัยกลางคนผู้กว้างขวางในตลาดสด แล้วรีบเดินทางกลับเข้าตำหนักร้าง เมื่อแสงสว่างจากพระอาทิตย์สว่างเจิดจ้าจนเต็มดวง
ฝีเท้าที่เงียบกริบเร่งรุดหายเข้าไปยังทิศทางที่ไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมา หากไม่มีวรยุทธ์ก็คงมองไม่ออกว่าสิ่งที่เคลื่อนตัวผ่านไปนั้นเป็นคนหาใช่สายลมที่พัดผ่านมา
วิชาตัวเบาที่อาจารย์จากประเทศจีนในยุคที่จากมา เคยสั่งสอนเอาไว้จนกระทั่งร่างกายของนางบอบช้ำไปหลายเดือน กว่าจะฝึกฝนผ่านหลักสูตรที่อาจารย์ผู้เข้มงวดกำหนดเอาไว้ ยามนี้นางได้นำมาใช้อย่างเต็มความภาคภูมิใจแล้ว