เข้าเมือง

1311 คำ
“พะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมจะไปเร่งจัดการให้แล้วเสร็จ ให้ได้ทันเวลาออกเดินทางกลับเมืองหลวงเป็นแน่” องครักษ์คนสนิทรีบตอบรับคำสั่งการของนายเหนือหัว เมื่อเห็นใบหน้าที่เคร่งเครียดดุดันยิ่งกว่ายามออกไปสู้รบกับศัตรู “ส่งสารบอกพ่อบ้านฉี ให้งดส่งอาหารไปตำหนักร้างทั้งหมด ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่านางจะเอาตัวรอดเช่นไร อยู่ในตำหนักสุขสบายมาหลายเดือนแล้ว ควรจะต้องดิ้นรนด้วยตนเองดูเสียบ้าง นางจะได้เข็ดหลาบไม่คิดไปหลอกลวงผู้ใดอีก” ชินอ๋องหยางหนิงหลงเอ่ยสั่งการออกไปด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม มุมปากหยักแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว จนองครักษ์ข้างกายนึกสงสารพระชายาผู้นั้น “เอ่อ แล้วพระชายาจางเย่วชิงกับสาวใช้จะกินอะไรเป็นอาหารหรือกระหม่อม แบบนี้พวกนางจะไม่แย่เลยหรือ” องครักษ์ซีซวนเอ่ยถามด้วยความสงสารสตรีที่ถูกขับไล่ไปอยู่ตำหนักร้าง เมื่อลองทบทวนดูดีๆ คนที่ผิดก็คือเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้นั้นมิใช่หรือที่สับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวเยี่ยงนี้ เหตุใดสตรีผู้น่าสงสารถึงได้ถูกลงโทษหนักหนาเพียงนี้ “นางกล้าสวมชุดเจ้าสาวมาหลอกลวงข้าว่าเป็นจางซูเม่ย ก็ให้พวกนางหาอาหารกินกันเอง คงจะมีตำลึงอยู่ไม่น้อยเพราะเสนาบดีจางก็ต้องมอบสินเดิมมาอยู่บ้าง ข้าแค่อยากให้พวกนางลำบากมากกว่าเดิมไม่ได้หวังให้ตายจาก เจ้าอย่าทำสีหน้าประหนึ่งว่าข้ากำลังรังแกสตรีไม่มีทางสู้เยี่ยงนี้” ชินอ๋องเลิกหัวคิ้วขึ้นสูงและจ้องมองใบหน้าองครักษ์คนสนิท ที่พูดจาเหมือนเขากำลังรังแกสตรีที่ไร้ทางสู้อย่างไรอย่างนั้น “พะย่ะค่ะ กระหม่อมจะจัดการทุกอย่างตามพระประสงค์ของท่านอ๋องอย่างเร่งด่วน” องครักษ์ซีซวนจำต้องเลิกซักไซ้ชินอ๋อง และเลิกแสดงท่าทีเห็นใจพระชายาจางเย่วชิงที่เขาไม่เคยพบเห็นใบหน้าของนางเลยสักครั้ง ก่อนที่นายเหนือหัวจะกรุ่นโกรธไปมากกว่านี้ เมืองหลวง เรือนร่างอ้อนแอ้นผอมบางราวกับเมื่อลมพัดมาก็จะปลิวไปได้ง่ายๆ ทว่าทรวดทรงองค์เอวเฉพาะส่วนของสตรีนั้นทะลักล้นจนต้องสวมใส่อาภรณ์เนื้อหนาสีเข้มที่ปกปิดมิดชิด เพื่ออำพรางรูปร่างจากสายตาของบุรุษที่มักจะจ้องมองมาอยู่เรื่อย ทั้งๆที่นางสวมผ้าปกคลุมใบหน้าไว้เป็นอย่างดี จางเย่วชิงก้าวเดินมาหยุดอยู่ใจกลางเมืองหลวง ในย่านที่มีตลาดค้าขายของกินของใช้กันอย่างคึกคัก หัวใจของนางเต็มไปด้วยความลิงโลดเมื่อได้พบเห็นตลาดค้าขายของจีนในยุคโบราณด้วยสายตาตนเอง “ไม่อยากจะเชื่อ ว่าข้าจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่ในยุคโบราณนี้จริงๆ” นัยน์ตากลมโตไร้เดียงสาเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกตะลึงกับภาพความงดงามตรงหน้า เมื่อปรับอารมณ์ให้กลับมา สงบนิ่งดังเดิมแล้วจางเย่วชิงจึงก้าวเดินไปข้างหน้า เพื่อมองหาร้ายขายเครื่องประดับประจำเมืองหลวง ทว่านางก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าร้านที่นางต้องการตั้งอยู่ส่วนไหนของเมืองหลวง ร่างเพรียวบางเดินหาสถานที่มุ่งหมาย จนแสงแดดในยามเช้าเริ่มจะเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น ดวงตาสวยภายใต้แพขนตางอนกวาดสายตาไปทั่วบริเวณท้องถนน และถอนหายใจออกมา เมื่อไม่สามารถพบเจอร้านขายเครื่องประดับได้โดยง่ายดังใจนึก จางเย่วชิงมองเห็นแม่ค้าวัยกลางคนผู้หนึ่ง ที่กำลังจัดเตรียมผักสดไว้เตรียมขายอยู่ในตลาด ท่าทางของนางคงจะเป็นผู้กว้างขวางในย่านนี้อยู่พอสมควร จึงเดินเข้าไปสอบถามทันที “ท่านน้าเจ้าคะ ร้านขายเครื่องประดับร้านไหนที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงหรือเจ้าคะ ข้ามาจากต่างเมืองเลยไม่ค่อยรู้เรื่องสักเท่าไหร่ จึงขอรบกวนสอบถามท่านน้าคนงามสักเพียงนิดได้หรือไม่” น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูชวนฟังเอ่ยสอบถามแม่ค้าวัยกลางคน ที่กำลังยืนจัดผักสดของนางไว้เตรียมขายให้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอยหาซื้อของสดไปปรุงอาหาร “อ้อ แม่หนูเจ้าถามถูกคนแล้ว น้านี่แหละที่รู้เรื่องเครื่องประดับดีที่สุดในตลาดแห่งนี้ เจ้าเดินตรงไปพอผ่านพ้นตรอกแรกให้เลี้ยวซ้ายก็จะเจอร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ มีป้ายหน้าร้านเขียนว่าร้านเฟิ่งหวง หากจะซื้อก็มีเครื่องประดับคุณภาพดีให้เลือกสรรหลากหลายราคา หากจะขายก็ขายได้ราคางามที่สุดในเมืองหลวงแล้ว” “ขอบคุณท่านน้าคนงามเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าเสร็จกิจธุระแล้ว จะกลับมาเลือกซื้อผักของท่านไปปรุงอาหารนะเจ้าคะ ดูสิผักพวกนี้ช่างงามเหมือนคนขายจริงๆ” สตรีที่มีวาทะศิลป์เป็นเลิศเอ่ยขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือนาง เห็นทีว่าท่านน้าคนนี้คงเป็นแหล่งข่าวที่ดีในเมืองหลวงเป็นแน่ หากมีตำลึงแล้วนางคงกลับมาเลือกซื้อข้าวของในร้านนี้ เพื่อแลกกับข้อมูลหลายอย่างที่นางต้องการรับรู้ “อุ้ย เจ้านี่ปากหวานเสียนี่กระไร รีบกลับมาล่ะประเดี๋ยวน้าจะแถมผักให้เยอะๆ” แม่ค้าขายผักยิ้มแย้มออกมาเต็มใบหน้าเมื่อถูกสตรีอายุน้อยกล่าวชม ร้านเฟิ่งหวง จางเย่วชิงก้าวเดินเข้าไปในร้านขายเครื่องประดับที่ใหญ่โตโอ่อ่า หลงจู๊ของร้านรีบออกมาต้อนรับลูกค้าที่สนใจเข้ามาเลือกซื้อเครื่องประดับของร้าน ตามมารยาทที่ถูกอบรมมาเป็นอย่างดี “หลงจู๊ ข้านำเครื่องประดับมาฝากขาย มิทราบว่าในร้านเฟิ่งหวงยังรับซื้ออยู่ไหมเจ้าคะ” น้ำเสียงอ่อนหวานสุภาพเอ่ยสอบถามหลงจู๊ผู้ดูแลร้านเพื่อความแน่ใจว่านางมาถูกร้านแน่แล้ว “รับเช่นเคยแม่นาง เชิญท่านตามข้ามาทางนี้เดี๋ยวข้าจะพาไปพบเถ้าแก่เนี้ยของร้าน” หลงจู๊ของร้านเดินนำหน้าจางเย่วชิงขึ้นไปบนชั้นสองของร้าน ซึ่งเป็นห้องทำงานของเถ้าแก่เนี้ยเจ้าของร้าน ดวงตาคู่งามมองสำรวจไปทั่วๆร้านด้วยความพึงพอใจในการบริการ และการตกแต่งที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆฟุ้งกระจายไปทั่วร้าน “คนโบราณก็มีน้ำหอมแล้วหรือ เก่งกันจริงๆ” น้ำเสียงหวานบ่นพึมพำแผ่วเบาอยู่เพียงลำพัง ด้วยความชื่นชมในมันสมองของคนในยุคนี้ ที่ไร้ซึ่งเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ยังสามารถผลิตน้ำหอมกลิ่นหอมหวานสดชื่น ไม่น้อยหน้าน้ำหอมแบรนด์ดังที่นางคุ้นเคยมาแต่ภพก่อน ก๊อก!ก๊อก! เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องทำงานของเถ้าแก่เนี้ย หลงจู๊ก็เคาะประตูเป็นสัญญาณว่ามีแขกผู้มาเยือนมาติดต่อพูดคุยกิจธุระ เมื่อได้ยินเสียงตอบรับอนุญาตกลับมา หลงจู้จึงเปิดประตูแล้วเดินนำหน้าจางเย่วชิงเข้าไปในห้องทำงานของเถ้าแก่เนี้ยทันที “คารวะเถ้าแก่เนี้ยเจ้าค่ะ ข้าเย่วชิงไม่มีแซ่ มาติดต่อเพื่อฝากขายเครื่องประดับของบรรพบุรุษ จึงมาขอรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านสักประเดี๋ยวนะเจ้าคะ” “เชิญนั่งเถิดแม่นาง ข้าขอดูเครื่องประดับของเจ้าสักหน่อยเถิด” เถ้าแก่เนี้ยเจิ้งอี้เหมย กล่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพ นางจ้องมองสตรีที่คงจะอายุไม่มากสักเท่าไหร่ ทว่าการพูดจากลับดูมีสัมมาคารวะ ไม่เหมือนสตรีหลายๆคนในเมืองหลวง ที่มักจะพูดจายกตนข่มท่านอยู่เรื่อย ถึงจะมองไม่เห็นใบหน้าภายใต้ผ้าสามเหลี่ยมปกคลุม แต่นางก็มั่นใจว่าสตรีอายุน้อยผู้นี้คงจะมีใบหน้าที่งดงามมากเป็นแน่
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม