หยาดฟ้า รัมย์สุดา ฤทธิกรวดี ไฮโซสาวสุดฮอตและเปรี้ยวจี๊ดที่สุดในเมืองไทย เธอบินลัดฟ้าไปท่องเที่ยวทั่วยุโรปเป็นเวลาสามเดือนเต็ม วันนี้เดินทางกลับมาบ้านพร้อมกับข้าวของพะรุงพะรังมากมาย ทว่าใบหน้าที่ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางราคาแพงกลับบูดสนิท คงเป็นเพราะปลายนิ้วเล็กๆ ซึ่งกำลังกดโทร. ไปยังบ้านฤทธิกรวดีแล้วไม่มีใครรับสายเลยแม้แต่คนเดียว ผมสวยเงางามสีน้ำตาลสั้นเคลียลำคอ เจ้าของทรงบ๊อบเทสุดเก๋สะบัดหน้าแรงๆ ให้กับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศเมืองไทยที่แสนร้อนระอุราวกับอยู่กลางทะเลทราย ไหนจะการจราจรสุดห่วย นั่งรถแท็กซี่มาร่วมชั่วโมงเต็ม เธอยังไม่มีทีท่าจะถึงเป้าหมายง่ายๆ ครั้นจะแว้ดใส่คนขับแท็กซี่ก็ขยาดจะเจอกับฤทธิ์เดช ถ้าเจอคนดีก็ดีไป แต่ถ้าเจอแท็กซี่มหาประลัย อาจจะตกเป็นข่าวหน้าหนึ่ง เบาะๆ หน่อยก็เรื่องถูกปล้น ถ้าแรงกว่านี้คงถูกข่มขืนหรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย
ร่างเล็กเอนหลังแนบกับเบาะ ขณะดูเวลาซึ่งบ่ายคล้อยลงทุกที จากการอดทนกับเครื่องปรับอากาศเกรดต่ำ ซึ่งมันไม่ได้ทำให้ภายในรถเย็นฉ่ำแม้แต่น้อยอยู่ร่วมสองชั่วโมงเต็ม ในที่สุดรถก็มาจอดบริเวณหน้ารั้วอัลลอยด์ขนาดใหญ่ จึงก้าวลงจากรถด้วยท่าทีเชิดหน้า ลำคอตั้งตรงดุจนางพญา เมื่อคนขับขนกระเป๋าและข้าวของลงมาให้ทั้งหมด ก็หยิบแบงค์พันออกจากกระเป๋าแล้วส่งให้
“ขอบใจ...ไม่ต้องทอน”
เหยียดปากบอกแค่นั้นก็เดินเร็วๆ ไปกดกริ่งหน้าบ้าน แต่ก็ต้องหัวเสียอีกระลอก เมื่อไม่มีใครโผล่หน้ามาต้อนรับ ปกติรอบๆ บ้านของเธอต้องเต็มไปด้วยผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนสวน คนรับใช้ต่างก็วิ่งกันจนขวักไขว่ ทว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น กดจนมือแทบหักก็ไม่มีใครโผล่หน้ามาสักคน กำลังจะร้องแว้ดๆ อยู่แล้วเชียว ถ้าไม่เหลือบเห็นร่างอวบอ้วนของคนผมดำแซมด้วยผมขาวเดินแกมวิ่งมาใกล้
“เดินเร็วๆ สิคะ ป้ามะลิ หยาดฟ้าร้อนจะแย่แล้วนะ”
โบกมือพัดดวงหน้า เหงื่อกาฬซึ่งผุดขึ้นเต็มจมูกกับพวงแก้มทำให้ต้องซับมันด้วยท่าทีหงุดหงิด “ถ้าปล่อยให้หยาดฟ้ายืนรอนานกว่านี้ เหงื่อคงท่วมตัวกันบ้างล่ะคะ” ประชดประชันด้วยใบหน้างอๆ ขณะแม่บ้านนามมะลิซึ่งรับใช้บ้านฤทธิกรวดีมาร่วมสิบปีรีบเปิดประตูให้ด้วยมือไม้เก้ๆ กังๆ
“แล้วคนรับใช้ไปไหนหมดคะ ทำไมไม่เรียกมาขนกระเป๋า”
“เอ่อ...เดี๋ยวป้าขนเองค่ะคุณหนู” มะลิไม่กล้าบอกจริงๆ ว่าตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“โอ๊ย! ป้าแก่ขนาดนี้แล้ว จะหอบหิ้วไหวได้อย่างไรกัน มาค่ะเดี๋ยวหยาดฟ้าช่วย” บอกพลางคว้าเอากระเป๋าใบโตเดินลากเข้าบ้าน ปล่อยให้แม่บ้านหิ้วถุงของฝากร่วมสิบใบ “แล้วคุณพ่อกับคุณแม่อยู่ไหมคะ” ถามแล้วก็ไหวไหล่โดยไม่รอคำตอบ “สงสัยคงไม่อยู่อีกตามเคยล่ะสิ ป่านนี้คงบินลัดฟ้าไปทัวร์ลาสเวกัสแล้วกระมัง”
“คุณท่านทั้งสองคนอยู่บ้านค่ะ” มะลิตอบเสียงอ่อยๆ
“คุณหนูกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปพักนะคะ เดี๋ยวมะลิไปหาอะไรมาให้รับประทาน”
“ไม่ล่ะค่ะ หยาดฟ้าไม่หิว อีกอย่างว่าจะไปพบคุณพ่อคุณแม่เสียก่อน ไม่ได้พบกันร่วมสามเดือน ไม่รู้ว่าท่านจะจำลูกคนนี้ได้หรือเปล่า”
‘อาจจะจำไม่ได้ค่ะคุณหนู’
แม่บ้านวัยห้าสิบห้าปีได้แต่ตอบอยู่ในใจ ก่อนจะได้เห็นแผ่นหลังเล็กภายใต้ชุดเกาะเอกแสนเซ็กซี่สีแดง คลุมไหล่มนด้วยผ้าพันคอขนสัตว์สีขาวเดินเข้าบ้านด้วยมาดนางพญา หารู้ไม่ว่า...อีกไม่กี่วันข้างหน้าชีวิตคุณหนูไฮโซที่เคยเป็นมาร่วมยี่สิบสี่ปี อาจถึงเวลาต้องพลิกผันเหลือเพียงความอับจน แม้แต่บ้านก็จะไม่มีให้ซุกหัวนอนเสียด้วยซ้ำ
ก้าวเข้ามาในคฤหาสน์แสนโอ่อ่าประจำตระกูลได้ ดวงตากลมโตสีดำสนิทก็มองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา ข้าวของบางชิ้นดูเหมือนจะหายไปจนบ้านดูโล่งอย่างประหลาด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสนใจหรอก เพราะว่าข้าวของเครื่องประดับตกแต่ง หาได้มีความหมายสำหรับเธอไม่ ทว่าถึงอย่างไรคิ้วเล็กๆ ก็ขมวดยุ่งเข้าหากันอย่างสงสัยอยู่ดี เมื่อมองไม่เห็นบรรดาสาวใช้แม้แต่คนเดียว หนำซ้ำฝุ่นยังเกาะอยู่มุมโน้นมุมนี้ราวกับบ้านร้างก็ไม่ปาน
“นี่มันอะไรกันคะป้า ทุกคนหายไปไหนหมด ทำไมปล่อยให้บ้านรกอย่างนี้”
“ขอโทษค่ะ พอดีป้าอยู่คนเดียว ป้าก็เลยดูแลไม่ทัน” นางมะลิว่าพลางหอบหิ้วข้าวของขึ้นชั้นบน
“เดี๋ยวป้าเอาของไปเก็บให้นะคะคุณหนู”
“ค่ะ...”
ได้แต่อ้อมแอ้มตอบรับ คงเป็นเพราะยังแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าเพียงสามเดือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ บ้านสุดหรูของเธอกลายสภาพมาเป็นบ้านเก่าๆ คนรับใช้ร่วมยี่สิบชีวิตก็เหลือเพียงคนเดียว ดังนั้นคนที่ให้คำตอบกับเธอได้ดีที่สุดคงไม่ใช่ใครที่ไหน ปลายเท้าเล็กจึงเดินเร็วๆ มุ่งไปหาบิดายังห้องทำงานทันที ทว่าเพียงเปิดประตูก็ต้องจามเสียจนจมูกแดงเพราะเจอเข้ากับฝุ่นละออง
“นี่มันอะไรกันเนี่ย...”
บ่นอุบเพียงเท่านั้นก็หันหลังหนี เลือกมุ่งตรงไปยังห้องนอนใหญ่ของบ้านทันที เปิดประตูเข้ามาได้ ดวงตากลมโตก็ต้องเพ่งมองแผ่นหลังกว้างของบิดาซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกสีดำ ส่วนมารดากำลังมองอะไรบางอย่างบริเวณหน้าต่าง จึงเดินเข้าไปใกล้ โน้มลำแขนสวมกอดท่านจากด้านหลังพร้อมกับหอมแก้มคนเป็นพ่อทั้งซ้ายทั้งขวา “คิดถึงจังเลยค่ะพ่อ...หยาดฟ้าค่อนข้างแปลกใจนะคะที่วันนี้คุณพ่อกับคุณแม่อยู่บ้าน นึกว่าจะไปทัวร์ที่ไหนกันเสียอีก แล้วมานั่งทำอะไรเงียบๆ ที่นี่คะ” ว่าพลางหมุนกายมาเผชิญหน้า แต่คิ้วเล็กๆ ถึงกับขมวดเข้าหากัน เมื่อดวงตาของบิดาว่างเปล่า สีหน้าท่าทางของท่านไม่ได้ยินดียินร้ายกับการกลับมาของเธอเลย
“คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ”
เขย่าแขนของท่านเบาๆ แล้วเพิ่งสังเกตเห็นก็ตอนนี้เองว่า ร่างกายที่เคยสมบูรณ์แข็งแรงดูซูบผอมอย่างประหลาด พูดด้วยท่านก็ไม่ตอบสนองแม้แต่คำเดียว ทำเหมือนกับว่าสติไม่อยู่กับร่องกับรอย “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ...ตอบหยาดฟ้าสิคะ” เร่งเร้าให้ท่านพูดด้วยขอบตาที่เริ่มแดง แต่ท่านก็เอาแต่นั่งนิ่งๆ แล้วมองไปเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาเลื่อนลอย
“คุณพ่อ...”
รัมย์สุดาครางเรียกด้วยเสียงสั่น น้ำตาแห่งความกลัวมันกำลังไหลเปื้อนแก้มจนต้องรีบเช็ดทิ้ง เมื่อคุยกับพ่อแล้วท่านไม่ตอบ หยาดฟ้าก็รีบเดินเร็วๆ ไปหาแม่ กอดเอวแม่ไว้แน่น “คุณแม่คะ คุณพ่อเป็นอะไรไป...”
มีรอยยิ้มจางๆ ของแม่เปื้อนใบหน้า ทำให้เธอใจชื้นขึ้นมาบ้าง
“คุณแม่...คุณแม่บอกหยาดฟ้าสิคะ ว่าคุณพ่อเป็นอะไรไป”
ทว่าแม้แม่จะยิ้มให้ แต่ท่านก็ไม่ตอบอะไร นอกจากมองออกไปข้างนอก สิ่งที่เกิดขึ้นทำเอาปลายเท้าเล็กต้องขยับถอยห่าง นัยน์ตาดำขลับมองพ่อกับแม่อย่างไม่อยากเชื่อว่าจะได้เห็นท่านตกอยู่ในสภาพนี้ พ่อกับแม่ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน หรือว่าสิ่งที่ท่านเป็นมันคือการแสดงเท่านั้น ใบหน้าเล็กจึงเอาแต่ส่ายไปมา “พ่อกับแม่อย่าแกล้งหนูแบบนี้สิคะ พูดอะไรกับหนูบ้าง หนูขอโทษก็ได้ที่ไปเที่ยวนานหลายเดือน แต่ตอนนี้หนูกลับมาแล้ว พูดกับหนูบ้างสิคะ!” ปากอิ่มเรียกร้องด้วยร่างกายอันสั่นเทิ้ม ความรู้สึกบางอย่างกำลังทำให้เธอร้องไห้ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“พ่อคะ! นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“คุณหนู...” น้ำเสียงอารีของใครบางคนทำให้รัมย์สุดาต้องเหลียวมอง นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
“ป้ามะลิ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ ทำไมพ่อกับแม่ถึงไม่พูดกับหยาดฟ้าเลยสักคำ”
“คุณหนู...ทำใจดีๆ นะคะ” มะลิได้แต่เดินเข้ามาปลอบ จับจูงคุณหนูของบ้านเดินออกมานอกห้อง
มะลิทำใจเหลือบมองใบหน้าสะสวยซึ่งเคลือบไปด้วยหยาดน้ำตาด้วยความรู้สึกเวทนา สิ่งที่คุณหนูรัมย์สุดาจะรับรู้ต่อจากนี้ คงจะทำให้เธอเจ็บปวดมากจนเกินจะรับไหว คนที่ร่ำรวยและมีทุกสิ่งทุกอย่างถ้าวันหนึ่งจะไม่เหลืออะไรเลยสภาพคงน่าอดสู แต่ด้วยความรัก ความสงสารนางจึงต้องบอกคุณหนูด้วยตัวเอง ดีกว่าจะปล่อยให้รับรู้ผ่านคุณทนายในวันพรุ่งนี้
“คุณหนูฟังป้าดีๆ นะคะ”
มืออวบย่นแตะไล้เรียวแขนเนียนเบาๆ “หลายปีมานี้ คุณหนูคงจะพอรู้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่ชอบไปเที่ยวต่างประเทศ ลงทุนกับการเสี่ยงโชค แล้วก็ธุรกิจอีกหลากหลายชนิด ดูเหมือนแรกๆ ก็จะพอไปได้ดี แต่แล้ว...สิ่งที่ได้มาโดยง่ายมันก็ค่อยๆ หายไป จนต้องควักเนื้อหนังตัวเองออกมาฉาบหน้า นับปีมานี้ฤทธิกรวดีของคุณหนูจึงเหลือแต่เปลือก ไม่มีทรัพย์สมบัติใดๆ บริษัทก็ถูกยึด บ้านก็กำลังจะถูกขายทอดตลาดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า สมบัติภายในบ้านคุณนายท่านก็ขายจนหมด ส่วนที่เหลือก็จ่ายค่าแรงให้กับคนงานคนรับใช้ ซึ่งค้างเงินเดือนพวกนั้นร่วมสามเดือนเต็ม”
“ทำไมหยาดฟ้าถึงไม่เคยรู้เรื่องนี้ละคะ”
“คุณท่านมอบเงินก้อนสุดท้ายให้คุณหนูไปเที่ยว เพื่อที่จะไม่ให้คุณหนูต้องแบกรับกับความอดสูที่เกิดขึ้น”
“คุณพ่อ...” น้ำตาแห่งความเจ็บปวดไหลบ่าอาบแก้ม
“หลังจากคุณหนูไปเที่ยวยุโรปเพียงไม่กี่วัน คุณผู้หญิงก็ค่อยๆ ซึมเศร้า ไม่เที่ยว ไม่ออกไปข้างนอก เอาแต่ขังตัวเองอยู่ในห้อง ป้าจะพาไปหาหมอก็ไม่ยอมไป สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาพนี้...ส่วนคุณผู้ชาย เพราะยอมรับกับการสูญเสียทั้งหมดไม่ได้ ท่านจึงตกอยู่ในสภาพไม่แตกต่างจากคุณผู้หญิง แต่หนักกว่าก็คือ ท่านไม่รับรู้อะไรอีก ไม่ยิ้ม ไม่พูด วันๆ ก็เอาแต่นั่งอยู่ตรงที่เดิม”
“ทำไมป้าไม่บอกเรื่องนี้กับหยาดฟ้าบ้างละคะ” น้ำเสียงเล็กเจือความเจ็บปวดชัดเจน ช่วงเวลาที่เธอเอาแต่เที่ยว จับจ่ายสุรุ่ยสุร่ายอยู่อีกฝั่งของโลก ไม่เคยรู้เลยว่าที่บ้านจะประสบปัญหาหนักหนาเช่นนี้ จากครอบครัวไฮโซมีทุกสิ่งทุกอย่างที่ทุกคนต่างพากันอิจฉา แต่เวลานี้กลับไม่เหลือแม้แต่บ้านจะซุกหัวนอน พ่อกับแม่ก็ตกอยู่ในสภาพน่าเวทนา “ถ้าหยาดฟ้ารู้เรื่องนี้สักนิด...หยาดฟ้าคงรีบกลับมาแล้วช่วยเหลือครอบครัวของเราให้พ้นภัย แต่นี่...หยาดฟ้าไม่ได้ช่วย แถมยังผลาญเงินก้อนสุดท้ายไปจนหมดอีก”
“มันไม่ใช่ความผิดของคุณหนูหรอกนะคะ...ถึงคุณหนูจะสูญเสียทรัพย์สมบัติทุกอย่าง แต่คุณหนูก็ยังมีคุณพ่อ คุณแม่และก็ป้า...ป้าจะไม่มีวันทิ้งคุณหนูไปไหนเด็ดขาด ป้าจะอยู่ช่วยคุณหนูให้ข้ามพ้นเรื่องเลวร้ายนี้ไปให้ได้ค่ะ”
“ป้ามะลิขา...”
เรียวแขนสลักเสลาโอบเอวของคนที่อยู่ดูแลเธอมาร่วมสิบปี ใบหน้าอันเปื้อนหยาดน้ำตาซุกซบลงกับอกอุ่น ไม่รู้จริงๆ ว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไรดี จะมีวิธีใดบ้างที่จะทำให้พ่อกับแม่กลับมาเป็นปกติ จะมีวิธีใดบ้างที่จะรักษาบ้านหลังนี้ แต่ไม่ว่าจะครุ่นคิดเท่าไร สมองน้อยๆ ของเธอก็คล้ายตีบตัน สิ่งที่เห็นในอนาคตก็คือภาพหัวเราะเยาะจากบรรดาเพื่อนฝูง และก็เหล่าไฮโซไฮซ้อ ซึ่งคงจะซ้ำเติมเธอกับครอบครัวจนไม่เหลือที่ยืนในวงสังคม