มือถือในมือของตีรณาที่เธอจ้องมันแบบนั้นอยู่นานแล้ว
‘ทำยังไงดีนะ เขียนไม่ออกเลยวันนี้ แฟนคลับรอแย่เลย เฮ้อ...’ เสียงถอนหายใจดังมาก ๆ จนเจ้าชาลี แมวจรสีขาวที่แวะเวียนมาหาอาหารในห้องของตีรณากินยังตกใจ
“อุ้ย! ขอโทษ” พลางลูบหัวมัน และหยิบเอาถุงอาหารแมวขึ้นมาเทอาหารลงไปในจานข้าว
เธอรักแมวนะ แต่จะให้เลี้ยงที่นี่ไม่ได้ ขอเลี้ยงพวกแมวจรที่ผ่านไปผ่านมาก็แล้วกัน พวกมันก็เป็นมิตร เพราะรู้ว่ามาที่นี่จะได้กินอาหารและดื่มน้ำ มันรอจนตีรณาใส่อาหารเสร็จ ก็ก้มลงกิน
บิลค่าใช้จ่ายที่กองอยู่บนโต๊ะสะดุดสายตาของตีรณาอีกครั้ง เธอหยิบมันมาดูครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งนี้ทำให้เธอต้องเร่งหาและสมัครงาน
นั่งไป คิดไป ในสมองมีแต่เรื่องวุ่น ๆ หนี้พวกนี้เธอไม่ได้เป็นคนก่อสักหน่อย จดหมายทุกฉบับ คือการทวงหนี้จากธนาคาร หนี้สินพวกนี้มาจากการกระทำของคุณการุณ พ่อเลี้ยงของเธอ
ตอนที่พ่อจริง ๆ เสียชีวิตไป ตีรณาอายุเพียงแค่หนึ่งขวบเท่านั้น ไม่นานแม่ก็แต่งงานใหม่และมีราชัน ราชันมีอายุห่างจากเธอไม่มากนัก แทนที่เขาจะรู้จักรับผิดชอบและโตเป็นผู้ใหญ่ กลับไม่มีเสียเลย
ตีรณาได้แต่ถอนหายใจกับชีวิตที่เส็งเคร็งในตอนนี้ หลังจากที่แม่เสียชีวิตไป เธอก็กลายเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว หญิงสาวหยิบทิชชูที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่เริ่มเอ่อลงมา
แม่ป่วยอยู่หลายปี เธอต้องคอยดูแลปรนนิบัติแม่อย่างใกล้ชิด การที่เธอไม่เคยได้รับอ้อมกอดของพ่อ ทำให้เธอไม่อยากให้แม่จากไปอีกคน แต่จะทำอย่างไรได้ ท้ายสุดเธอก็ไม่สามารถยื้อยุดลมหายใจของแม่เอาไว้ได้ หากว่าท่านมัจจุราชท่านต้องการ
ตอนที่แม่เสียชีวิต เธอได้แต่นั่งร้องไห้แบบเงียบ ๆ ไม่ตีโพยตีพาย เริ่มเข้าใจว่าทุกคนมีจุดเริ่มต้นเหมือนกัน และจุดจบเช่นเดียวกันคือความตาย
ตีรณานั่งมองไปรอบ ๆ บ้านหลังเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองไม่ไกลจากความศิวิไลซ์นัก ดีที่ไม่มีค่าเช่า แต่ก็มีค่าใช้จ่ายทุกเดือน ซึ่งบางเดือนพ่อเลี้ยงและราชันก็จะมาไถเพื่อเอาไปใช้หนี้ที่เธอไม่ได้สร้าง
เงินที่ตีรณาเก็บหอมรอมริบ เงินในบัญชีที่เธอแอบเก็บเอาไว้ เป็นรายรับที่ได้จากการเขียนนิยายขายในออนไลน์
รายได้เลี้ยงชีพ การเป็นนักเขียน เป็นการระบายสิ่งที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจ ให้ออกมาเป็นตัวหนังสือ ซึ่งเธอก็ทำได้ดีทีเดียว จากเดือนแรกได้รับมาห้าพัน หลังจากนั้นเธอก็เห็นโอกาสและตั้งใจเขียนผลงานออกมาเรื่อย ๆ พร้อมกับทำงานอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย คนเราหากตั้งใจจริง มันก็ทำได้ดีเสมอ แม้จะเหนื่อย แม้จะอยากพัก แต่ค่าใช้จ่ายไม่พัก
จากที่ต้องออกโรงเรียนตอน ม.สี่ เธอตัดสินใจเรียน กศน. จนจบ ม.หก แล้วไปเรียนที่สุโขทัยธรรมาธิราช ในเอกวิชาภาษาไทย เธอเลือกที่จะเรียนเพราะคิดว่าเป็นผลดีต่อการเป็นนักเขียนของตัวเองในอนาคต
เว็บไซต์ที่เธอลงนิยายเป็นที่แรก และให้เงินก้อนแรกกับเด็กผู้หญิงที่อายุยังน้อย ได้ต่อลมหายใจและเป็นหนึ่งกำลังใจ ต่อความหวังในหัวใจของเธอให้ยืนหยัด และอยากมีชีวิตต่อ เริ่มมองเห็นหนทางที่จะเป็นไปได้ ว่ารายได้ของตัวเอง หรือที่เรียกว่าเงินมันจะหาได้จากที่ไหน
ตีรณาดีใจมาก เมื่อเธอทราบข่าวว่าที่นี่รับเลขานุการ มันเป็นความกล้าและความเสี่ยงที่เธอตัดสินใจเข้ามาเขียนใบสมัครงาน ในวันนั้นตีรณาคิดอย่างเดียวว่า แค่ได้ลองดูก็ไม่เห็นจะเสียหาย
ตอนที่ได้อ่านประกาศ แจ้งแค่ว่า ต้องการเลขานุการที่เก่งภาษาไทย และสามารถเป็นผู้ช่วยบรรณาธิการได้ เธอก็คิดว่า ตัวเองมีคุณสมบัติตามที่เขาประกาศเท่านั้น
ตีรณาก็แอบคิดเล่น ๆ ถ้าได้งานนี้ก็ดี เธอก็จะได้คลุกคลีกับวงการหนังสือ วงการนักเขียน และผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของหลายคน รวมถึงเธอด้วย ที่ได้กินได้ใช้ และได้เก็บ ก็เพราะเว็บไซต์นี้
หญิงสาวได้ไปสมัครงานเอาไว้หลายที่เหมือนกัน ทั้งงานทำความสะอาด แคชเชียร์ร้านสะดวกซื้อ พนักงานพาร์ตไทม์เสิร์ฟอาหารในร้านชาบูมีชื่อ เธอทิ้งหลังลงไปนอนก่อนจะวางมือถือลงไปใกล้ตัว
เสียงถอนหายใจยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากจะเขียนนิยายไม่ออกแล้ว ยังรอคอยว่าจะมีที่ไหนรับเธอเข้าทำงานบ้าง
ทันใดนั้น ตีรณาก็หูผึ่งและหุนหันลุกขึ้นนั่ง มือถือที่ใกล้ตัวสั่นขึ้น เบอร์นี้เป็นเบอร์ใหม่
คุณการุณกับราชันไม่มีทางรู้แน่นอน และจะเป็นใครไปไม่ได้ ต้องเป็นที่ไหนสักแห่งที่จะรับเธอเข้าทำงาน
‘ศูนย์สอง สองศูนย์สองห้าห้าแปดเก้า เบอร์ที่ไหนหนอ’ ใบหน้าหมองเมื่อกี้เปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม เธอรีบกดรับทันที
“สวัสดีค่ะ ตีรณารับสายค่ะ”
(“สวัสดีค่ะคุณตีรณา ดิฉันชื่อไหมฟ้านะคะ เป็นหัวหน้าแผนกบุคคลของบริษัทเอ็นจอยบุ๊กคลับค่ะ”)
“ค่ะ” ตอบกลับด้วยความตื่นเต้น
(“คือทางเราจะโทรมาแจ้งว่า คุณตีรณาได้รับคัดเลือกให้เข้าทำงาน เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการนะคะ”)
“จริงหรือคะ” ถลันตัวลุกขึ้นยืน มือไม้สั่นไปหมด
“แล้วดิฉันต้องทำอย่างไรต่อไปคะ”
(“วันนี้โทรมาแจ้งและก็จะโทรมาสอบถามด้วยนะคะว่า คุณตีรณาสามารถเริ่มงานได้วันไหนคะ”)
“วันไหนก็ได้ค่ะ ดิฉันพร้อมเสมอ”
(“จริงหรือคะ”) อีกฝ่ายที่ได้ยินก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกัน งานที่มากองอยู่ที่เธอจะได้ขยับขยายออกไปให้ตีรณาได้ดูแล
(“พรุ่งนี้ได้ไหมคะ”)
“กี่โมงคะ แต่งตัวแบบไหน แล้วดิฉันพาอะไรไปที่ทำงานได้บ้าง” ถามกลับแบบไม่ยั้ง ดีใจจนเนื้อเต้นทีเดียว คนที่อยู่ปลายสายรีบบอกรายละเอียดมาให้ในทันที
ตีรณานั่งยิ้มอยู่บนที่นอน มันเป็นความสุขสมหวังในอีกครั้งหนึ่งในรอบหลายปี
เธอแทบจะไร้รอยยิ้มบนใบหน้ามานานแล้ว นานเท่าไรนะหรือ ก็ตั้งแต่ออกจากโรงเรียนตอน ม.สี่นั่นแหละ
คำถามที่วนเวียนอยู่ในหัวของเธอ คือทำไมชีวิตของเธอต้องเป็นแบบนี้ ทำไม และก็ทำไม
แต่คำตอบที่เธอได้มันก็อยู่ตรงหน้า แม่ที่ป่วยไม่มีคนดูแล และฐานะทางบ้านที่ไม่สู้ดี ไม่มีเงินมากพอที่จะเจียดไปจ้างคนมาดูแลแม่ ทั้งยังมีเพียงพ่อที่ทำงานหาเงินเข้าบ้านแค่คนเดียว เธอจึงต้องยอมรับโดยดุษณี
+++++++++++