ปิณฑิราก้มหน้านิ่งน้ำตาร่วงเผาะลงมาตามร่องแก้มอย่างหักห้ามไว้ไม่อยู่เมื่อนึกถึงความเป็นจริงตามที่มารดาพูดออกมา ใครเลยจะจำหญิงสาวที่อยู่ด้วยกันแค่เพียงคืนเดียวได้ ยิ่งเป็นชีคเป็นเจ้าแห่งทะเลทรายผู้ยิ่งใหญ่ที่มีหญิงสาวมากหน้าหลายตาสวยระดับนางงามนางแบบที่เข้ามาในชีวิตแทบจะตลอดเวลาอย่างชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ยิ่งไม่มีทางจดจำผู้หญิงหน้าตาจืดๆ อย่างเธอได้แน่นอน
แต่...สิ่งที่ทำให้เธอหวาดหวั่นก็คือถ้อยคำที่ชีคฟาซิซต์เขียนใส่ด้านหลังเช็คซึ่งเป็นสิ่งย้ำเตือนทำให้เธอกลัวมาจนถึงทุกวันนี้ กลัวว่าชีคจะมาพรากลูกชายที่รักไปจากอ้อมอกของเธอ ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเธอคงจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้
“นั่นน่ะสิค่ะ ใครจะมาจำพริ้นซ์ได้ ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างพริ้นซ์มีเป็นโหล ต่อให้เดินเข้าไปบอกว่าครั้งหนึ่งเราเคยอยู่ด้วยกัน ชีคฟาซิซต์ก็ไม่มีทางจำได้แน่นอน”
หญิงสาวกล้ำกลืนก้อนสะอื้นด้วยความร้าวรานเอ่ยสนับสนุนคำพูดของมารดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแผ่วเบา
“โธ่...พริ้นซ์ลูกแม่ แม่ขอโทษ...เพราะแม่ไม่ดี แม่ปล่อยให้ผีการพนันเข้าสิงจนทำให้หนูต้องลำบากจนต้อง...”
ซุ่มเสียงสั่นเครือของหญิงหม้ายขาดหายไปในลำคอและถูกแทนที่ด้วยเสียงสะอื้นร้องไห้ของคนที่สำนึกผิดกับการกระทำของตนเองจนพลอยให้ลูกหลานต้องได้รับความเดือดร้อนไปด้วย
ปิณฑิราโอบกอดร่างของมารดาที่สั่นเทาจากแรงสะอื้นไว้ก่อนจะเอื้อมมือไปเช็ดคราบน้ำตาให้มารดาพร้อมกับฝืนยิ้มบางๆ
“คุณแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ ต่อให้พริ้นซ์ต้องทำมากกว่านี้พริ้นซ์ก็จะทำ เพราะพริ้นซ์เป็นลูกของแม่ พริ้นซ์ต้องตอบแทนที่แม่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูพริ้นซ์มา แต่หนูขอแค่อย่างเดียว...ขอแค่แม่อย่าหวนกลับไปหามันอีกก็เพียงพอแล้วค่ะ”
“พริ้นซ์ลูกแม่...”
คุณปิยาพัชรโผเข้าไปกอดลูกสาวไว้แน่น เสียงสะอื้นร้องไห้ของนางหนักกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกเอื้อนเอ่ยวาจาออกมา
“แม่ขอโทษ แม่ทำให้หนูต้องกลายเป็นแบบนี้”
“ไม่หรอกค่ะแม่ ลองคิดในแง่ดีสิค่ะ ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ในคืนวันนั้น แม่กับพริ้นซ์ก็ไม่มีเจ้าชายสุดหล่อที่ชื่อฟารีสต์ให้เชยชม”
หญิงสาวฝืนหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่เอ่ยพูดเบี่ยงเบนความเศร้ารู้สึกผิดออกไปจากใจของมารดา
“ฟารีสต์กับพริ้นซ์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของแม่ แม่สัญญาว่าตลอดชีวิตที่เหลือของแม่ แม่จะไม่ให้พวกอบายมุขต่างๆ ได้เข้ามาทำลายชีวิตแม่กับหนูได้อีก”
“ขอบคุณค่ะแม่ ได้ยินแบบนี้แล้วทำให้พริ้นซ์มีกำลังใจขึ้นมามาก” หญิงสาวรวบมือมารดามากุมไว้แน่นขณะที่เอ่ยพูด
“บอกตามตรงว่าแม่เข็ดแล้ว” คุณปิยาพัชรตีหน้าม่อยเอ่ยสารภาพเสียงอ่อน
“จะว่าไปพริ้นซ์ก็ตีตนก่อนไข้เหมือนที่แม่พูดจริงๆ นั่นแหละ ป่านนี้ชีคฟาซิซต์คงจะมีพระชายาที่สวยสง่างดงามที่เหมาะสมเคียงคู่กัน ท่านชีคและพระชายาคงจะให้กำเนิดเด็กหญิงเด็กชายนัยน์ตาคมสักครึ่งโหลได้แล้วมั้ง ต่อให้เขาเห็นฟารีสต์เขาก็คงไม่ต้องการลูกชายคนนี้หรอก”
หญิงสาวยิ้มขื่นเอ่ยกับมารดาด้วยน้ำเสียงราบเรียบติดประชดประชันคนที่อยู่ห่างไกลหลายหมื่นพันไมล์ โดยหารู้ไม่ว่าซุ่มเสียงที่เอ่ยออกมาเจือไปด้วยความเจ็บปวดระคนเสียใจจนมารดาเธอต้องร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“พริ้นซ์...”
นางเรียกลูกสาวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ถ้าหากชีคฟาซิซต์เขาไม่ต้องการตาหนูก็ไม่เป็นไรแม่จะเลี้ยงดูหลานของแม่อย่างดี หรือถ้าหากชีคเขารู้ว่าตาหนูเป็นลูกเขาและจะพรากตาหนูไปจากอกแม่...แม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน”
“เขาคงไม่ต้องการฟารีสต์หรอกค่ะ เหมือนที่เขาไม่ต้องการพริ้นซ์เลยไงค่ะ” หญิงสาวเอ่ยเสียงสั่นเครือปล่อยให้น้ำตาไหลลงเป็นทางยาวโดยปราศจากเสียงร้องไห้
“แม่ว่าเลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะน่ะลูก หนูจะออกเดินทางเมื่อไหร่เผื่อว่าแม่จะได้ทำพวกอาหารแห้งที่พอจะเอาขึ้นเครื่องได้ให้หนูเอาไปกินระหว่างอยู่ที่อัสดารานส์”
คุณปิยาพัชรชวนลูกสาวพูดถึงเรื่องอื่นเพราะยิ่งพูดถึงเรื่องของชีคฟาซิซต์ ซัลฮาบินด์ อัลวาสต์ ก็ยิ่งเป็นการเปิดบาดแผลทำให้ลูกสาวของนางเสียใจมากยิ่งขึ้น
“คงจะไม่ทันแล้วล่ะค่ะ เพราะพริ้นซ์ต้องออกเดินทางพรุ่งนี้ เครื่องจะออกตอนตีห้าครึ่ง” หญิงสาวเอ่ยบอกยิ้มๆ ยอมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาตามที่มารดาขอร้อง
“อะไรกันลูก ทำไมมันกะทันหันแบบนี้ล่ะ” นางร้องออกมาเสียงหลงเมื่อได้ยินคำตอบของลูก
“คุณกรกฏไม่อยากรอช้า ทางอัสดารานส์เขาก็เร่งมาด้วยนะคะ”
“แล้วหนูต้องไปกี่วันล่ะลูก”
“พริ้นซ์ตอบยังไม่ได้ค่ะแม่ ขึ้นอยู่ที่ว่าชีคฟาซิซต์จะเซ็นเอกสารให้เร็วแค่ไหน แต่พริ้นซ์จะพยายามตะล่อมให้เขาเซ็นให้เร็วที่สุด”
หญิงสาวเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลกับเรื่องนี้อยู่ไม่น้อย เธอไม่สามารถกำหนดกะเกณฑ์ได้เลยว่าการเดินทางไปอัสดารานส์ครั้งนี้จะต้องพำนักอาศัยอยู่ที่ประเทศที่ร่ำรวยด้วยบ่อน้ำมันนับร้อยๆ บ่อนานเพียงใด เพราะคนที่จะกำหนดและตัดสินได้ก็มีแค่ชีคฟาซิซต์คนเดียวเท่านั้น
“เฮ้อ...แบบนี้ก็แย่น่ะสิลูก” คุณปิยาพัชรถอนหายใจยาวรู้สึกหนักใจไม่แพ้ลูกสาว
“แย่ที่สุดค่ะแม่ แต่งานก็ต้องเป็นงาน”
“ถ้างั้นพริ้นซ์ไปจัดกระเป๋าเถอะลูก แล้วก็นอนพักสักงีบเก็บแรงไว้พรุ่งนี้”
“ค่ะแม่ ถ้าใกล้เวลาที่รถโรงเรียนมาส่งฟารีสต์แม่ตะโกนบอกพริ้นซ์ด้วยนะคะ นานๆ ทีจะได้เลิกงานแต่หัววันมารอรับเจ้าชายตาคม ถ้าฟารีสต์เห็นพริ้นซ์คงจะยิ้มแก้มปริด้วยความดีใจแน่ๆ เลย”
หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้าที่ยิ้มละไมไปด้วยความสุขเมื่อได้พูดถึงลูกชายที่เธอรักยิ่งกว่าดวงใจ
“ถ้าฟารีสต์เห็นพริ้นซ์รอรับอยู่หน้าบ้านแม่ว่าคงจะกระโดดลงจากรถแทบไม่ทันเลยแหละ”
“พริ้นซ์ไปจัดกระเป๋าก่อนนะคะแม่”
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแม่จะเข้าไปเรียกหนูเอง”
คุณปิยาพัชรยิ้มอบอุ่นให้ลูกสาวที่ลุกขึ้นยืนแล้วสาวเท้าแผ่วเบาเข้าไปในตัวบ้าน สายตาของคนที่เป็นแม่ผ่านโลกมามากมองตามเรือนร่างบางระหงอรชรอ้อนแอ้นของลูกสาวด้วยความเป็นกังวล นางรู้ว่าการเดินทางไปประเทศอัสดารานด์ในครั้งนี้กำลังจะทำให้ชีวิตของลูกสาวต้องประสบกับความเจ็บปวดเสียใจอีกครั้ง